Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 156
สำหรับโค้ชนั้น เครื่องตรวจสอบขั้นสูงนี้เป็นเหมือนอาวุธลับขั้นสุดยอด หลี่ไต้ยังคงตกใจกับตัวเองอยู่
หลี่ไต้เองก็มาอยู่ที่ทีมชาติบางครั้ง เขาเลยรู้ว่าการฝึกนักกีฬาระดับแรกๆจริงๆนั้น จะเน้นหนักไปที่การฝึกเพื่อพัฒนาในจุดรายละเอียดเล็กๆ คุณภาพทางร่างกายของนักกีฬาที่เข้ามาอยู่ในทีมชาตินั้นต้องดีมากๆอยู่แล้ว สำหรับผลที่ได้นั้นก็คือพวกเขาจะไม่มีข้อบกพร่องใหญ่ๆในด้านเทคนิคให้เห็นเลย ดังนั้น นอกจากความต่างทางด้านความสามารถแล้ว รายละเอียดเล็กๆน้อยๆเนี่ยละที่จะเป็นปัจจัยชี้ชะตาของนักกีฬาว่าห่างกันมากแค่ไหน
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องยากโคตรๆเลยที่จะมาจับจุดปัญหาเล็กๆน้อยๆ เทคนิคของนักกีฬานั้นใช้เวลาพัฒนาเป็นเวลานานมาก พวกเขาต้องติดแหงกอยู่กับการฝึกเดิมๆเป็นเวลาหลายปี บางทีก็ถึงขั้น10ปี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับนักกีฬาที่จะต้องมาหาปัญหาเล็กๆด้วยตัวเองโดยปรกติแล้วจะมีแต่นักกีฬาระดับสูงเท่านั้นที่จะสังเกตเห็นได้ถึงปัญหาเล็กๆน้อยๆในการฝึก
นักกีฬาระดับต้นๆจะมีเลเวลการฝึกสูงแล้วเก็บสะสมประสบการณ์การฝึกไว้มากๆอยู่แล้ว นอกจากนี้พรสวรรค์ของพวกเขายังดีกว่าอีกด้วย หลินเฟ่ยเหลียงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้ เขาสามารถมองเห็นปัญหาและจุดบกพร่องเล็กๆของตัวเองได้ในระหว่างที่ฝึกด้วยตัวเองแล้วก็แก้ไขมันได้ด้วยตัวเอง นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้เป็นผู้ครองสถิติโลก แต่ถึงอย่างงั้น ระดับแบบหลินเฟ่ยเหลียงก็ถือว่าหาตัวจับยาก ระดับกลางๆธรรมดาๆไม่สามารถทำได้
เพราะว่านักกีฬาปรกตินั้นจะไม่สามารถหาปัญหาของตัวเองได้ มันจึงเป็นงานของโค้ช มันเป็นเหมือนกับกระดาษข้อสอบของโค้ชที่เอาไว้ใช้วัดความสามารถจริงๆของโค้ชเอง
งานของโค้ชมันก็ไม่มีอะไรมากนอกเหนือไปจากช่วยนักกีฬาฝึกแล้วก็ช่วยพวกเขาระหว่างที่แข่ง โค้ชในกีฬาอื่นๆอย่างเช่น บาสเก็ตบอล ฟุตบอล วอลเลย์บอล ยังต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ระหว่างการเล่นต่างๆด้วย ซึ่งจะเป็นการทดสอบความสามารถโค้ชอย่างมาก
สำหรับโค้ชที่ไม่ใช่กีฬาทางร่างกาย อย่างเช่นแข่งรถ ยิงปืน ยิมนาสติก ดำน้ำ อื่นๆนี้ พวกเขาไม่ต้องวางแผนระหว่างแข่งอะไรเลย คนที่เก่งที่สุดเป็นผู้ชนะ ดังนั้น เกณฑ์การให้คะแนนโค้ชที่ดีที่สุดก็คือการฝึกเนี่ยละ
สำหรับตอนนี้ หลี่ไต้ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้มีส่วนร่วมในการฝึกของกีฬาแบบทีมหรอก มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้เด็กหนุ่มอายุ25ปีมันเป็นหัวหน้าโค้ชของทีมบาสหรือบอลอาชีพ แม้แต่ผู้ช่วยหัวหน้าโค้ชยังไกลเกินเอื้มสำหรับเขาเลย มากสุดถ้าเกิดหลี่ไต้เข้าไปในทีมกีฬาพวกนั้นได้ ก็เป็นได้แค่โค้ชผู้ช่วยนั้นละ
เพราะอย่างงี้ งานหลักๆของหลี่ไต้คือการฝึก เขาต้องหาในสิ่งที่นักกีฬาขาด แล้วก็ช่วยนักกีฬาแก้ไขตรงนั้น และด้วยเครื่องตรวจสอบใหม่นี้ มันคือความขี้โกงอย่างแท้จริงที่แหกกฎของธรรมชาติไปเรียบร้อยแล้ว
…
ระหว่างช่วงสังเกตและเรียนรู้รอบต่อไปนั้น หลี่ไต้ได้เริ่มเข้าใจประโยชน์ของเครื่องตรวจสอบใหม่มากขึ้น
เครื่องตรวจสอบนี้สามารถบอกได้ว่าปัญหาของนักวิ่งส่วนมากนั้นมาจากการที่ใส่แรงเคลื่อนไหวที่สะโพกไม่พอระหว่างวิ่ง โค้ชจากทีมชาติเลยบอกให้นักกีฬาฝึกเหวี่ยงขาซึ่งมันจะส่งผลทำให้ข้อต่อตรงสะโพกยืดหยุ่นมากขึ้น
นักกระโดดสูงส่วนมากปัญหาหลักจะมาจากจุดศูนย์ถ่วงผันผวนมากเกินไปหลังจากที่เข้าออกตัวลอยขึ้นฟ้าไปแล้ว เพราะอย่างนี้ขาที่คืนตัวของพวกเขาทำให้จุดศูนย์ถ่วงที่สะโพกของพวกเขาไม่คงที่ เขาเลยโดนบอกให้ฝึกแบบไม้ต่ำก่อนเพื่อให้ปรับสมดุลจุดศูนย์ถ่วงให้คงที่
นักวิ่งเร็วมักจะมีการที่ใส่แรงเคลื่อนไหวที่สะโพกไม่พอส่วนนักกระโดดสูงปัญหาจุดศูนย์ถ่วงผันผวนมากเกินไป ปัญหาพวกนี้มันเป็นแค่รายละเอียดเล็กๆน้อยที่ไม่ได้มีผลอะไรกับผลลัพธ์สุดท้าย แล้วบางทีในทีมกีฬาเขตนั้น รายละเอียดเล็กๆน้อยๆพวกนี้อาจจะถูกเมินไปเลยก็ได้นะ แต่ถึงอย่างนั้นในทีมชาติ ปัญหาพวกนี้จะโดนเพ่งเล็งโดยโค้ชแล้วกลายเป็นจุดที่ใช้ในการพัฒนาไปเลย
หลี่ไต้เองก็เริ่มหาจุดบกพร่องต่างๆที่หาไม่เจอโดยโค้ชทีมชาติแล้ว
เครื่องตรวจสอบนี้บอกได้แม้กระทั้งปริมาณของการหายใจในนักวิ่งระยะไกลวุ่นวายเกินไปตอนที่เขาถึงลิมิต โค้ชต่างๆดูเหมือนจะมองข้ามปัญหานี้ไป เพราะว่ามันไม่มีวิธีฝึกที่เหมาะสมเท่าไร แต่ถึงอย่างงั้นโค้ชในทีมชาติก็ถือว่ามีความสามารถและประสบการณ์มาก แต่ยังไงซะพวกเขาก็ยังคงเป็นแค่มนุษย์ จะมาเทียบอะไรกับเครื่องตรวจสอบได้
ด้วยเครื่องตรวจสอบนี้ ทั้งข้อดีและข้อเสียของนักกีฬาสามารถเห็นได้อย่างง่ายๆเลย นั้นทำให้หลี่ไต้ทำความเข้าใจแบบลงลึกถึงโปรแกรมการฝึกของทีมชาติได้ แล้วก็เข้าใจถ่องแท้ในหลายๆเรื่องที่เขาไม่เข้าใจก่อนหน้านี้ด้วย
และแล้ว วันสุดท้ายของ2เดือนแห่งการเรียนรู้ก็มาถึง วันที่จะมีการทดสอบคัดเลือกที่ซูหลี่พูดถึงกำลังจะเปิดฉากแล้ว
…
ในตอนเช้า โค้ชหนุ่มเกือบ30คนได้มาถึงที่ห้องประชุม พร้อมกระดาษและปากกาในมือ ทุกคนเฝ้ารอให้การสอบเริ่มตอนขึ้น
8โมงเช้าเป๊ะ ซูหลี่เดินเข้ามาในห้องประชุม
“เราจะมีการทดสอบคัดเลือกกันในวันนี้ คนที่ผ่านการทดสอบจะได้อยู่ต่อและเข้าร่วมโครงการฝึก ที่ผมอยากจะบอกก็คือมันไม่มีคะแนนคำว่า”ผ่าน”สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ มันไม่มีคะแนนอิงเกณฑ์ที่บอกได้ว่าถ้าพวกคุณได้เท่านี้แล้วจะได้อยู่ต่อ อีกอย่าง มันไม่มีจำกัดจำนวนคนที่สอบผ่านข้อสอบ มันอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกคุณทุกคนอาจจะได้อยู่ต่อกันหมด หรือไม่ก็ไม่มีใครผ่านซักคนเดียว”
ซูหลี่ทำหน้าเข้ม ด้วยความที่หน้าตาเขาก็โหดเหี้ยมอยู่แล้วทำให้โค้ชหลายๆคนก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา
“เอาละตอนนี้เอากระดาษคำตอบออกมาได้แล้ว เตรียมทำข้อสอบได้!”ทันทีที่ซูหลี่พูดจบ ผู้ช่วยของเขาก็เข้ามาข้างๆเขาพร้อมกับแผ่นรองกระดาษในมือ
โค้ชนั้นเป็นเหมือนพนักงานนอกสนาม ระหว่างการฝึกนั้นพวกเขาจำเป็นต้องจดบันทึกบางอย่างอย่างเช่น ข้อมูล จุดสำคัญ หรืออื่นๆ ดังนั้น แผ่นรองกระดาษกับปากกาจึงเป็นเหมือนอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับโค้ชเวลาทำงาน โค้ชทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมจึงคุ้นตากับแผ่นรองเขียนนั้นดี
หลี่ไต้คิดว่ากระดาษข้อสอบนั้นคงจะอยู่ในแผ่นรองนั้น แต่พอแผ่นรองนั้นส่งมาให้เขา เขาเจอแต่กระดาษเปล่าๆ10แผ่นติดอยู่กับแผ่นรอง หลี่ไต้เช็คกระดาษทุกแผ่นแต่ไม่เห็นตัวอักษรซักกะตัว
กระดาษเปล่าๆหมดเลยเหรอ? ไหนละข้อสอบ ? หลี่ไต้มองไปรอบๆแล้วเห็นว่าโค้ชทุกคนนั้นได้กระดาษเปล่าเหมือนกันหมด
หรือว่าคำถามจะเป็นแบบถามแล้วเขียนตอบ?หลี่ไต้พูดกับตัวเอง
ตามที่เขาคาด พอทุกคนได้แผ่นรองเขียนแล้ว ซูหลี่ก็พูดขึ้น “ระหว่างการสอบครั้งนี้ ผมจะบอกคำถามพวกคุณทีละข้อ เมื่อได้ยินคำถามของผมแล้ว ให้พวกคุณเขียนคำตอบลงไปในกระดาษนั้น เอาละทุกคน ออกไปข้างนอกได้ เราจะไปสนามฝึกกัน”
“หะ สนามฝึก? นั้นใช่การสอบเหรอ!”
“ฉันคิดว่าการสอบจะจัดในห้องประชุมซะอีก”
“มันเป็นไปได้รึเปล่าที่บางที โค้ชซูอาจจะไม่ได้เตรียมคำถามอะไรมาก็ได้รึเปล่า? บางทีเขาอาจจะโยนคำถามอะไรก็ได้ที่เขาเห็นในสนามฝึกก็ได้”
ถึงแม้ว่าทุกคนจะกระซิบกระซาบกัน แต่พวกเขาก็ยังเดินไปที่สนามฝึกอย่าพร้อมเพรียงกันอยู่ดี
“ผมเคยเป็นนักวิ่ง เพราะงั้นเริ่มจากกลุ่มวิ่งเร็วก่อนละกัน!”ซูหลี่นำกลุ่มโค้ขไปที่ทีมวิ่งเร็ว นักวิ่งกำลังซ้อมอย่างตั้งใจ
หลังจาก1นาทีของการสังเกต ซูหลี่ชี้ไปที่นักวิ่งคนกำลังซ้อมออกตัวโดยใช้น้ำหนักว่า “ทำไมนักวิ่งคนนั้นถึงต้องซ้อมออกตัวด้วยน้ำหนัก? ถ้ารู้คำตอบแล้วก็เขียนคำตอบลงในกระดาษเลยนะ”
โค้ชบางคนคิดหนักขณะทีบางคนก็เขียนลงไปอย่างเยอะ
แทนที่จะเริ่มเขียนในทันที หลี่ไต้คิดหนักในสิ่งที่เขาเห็น
การฝึกออกตัวด้วยน้ำหนักนั้นพุ่งเป้าไปที่การเพิ่มความสามารถแรงระเบิดพลังของขา นี้มันเป็นสิ่งที่โค้ชระดับกลางๆรู้ๆกันดีอยู่แล้ว คำถามที่ให้มาโดยซูหลี่นั้น ไม่ควรจะง่ายแบบนี้ซิ
ตอนที่เขาคิดนั้น เขาก็ตรวจสอบนักวิ่งคนนั้นด้วยเครื่อง แล้ว ข้อดีข้อเสียของเขาก็โผล่ออกมาให้หลี่ไต้เห็นทันที
นี้ไง! จุดอ่อนของนักกีฬาคนนี้คือขาที่เหวี่ยงไม่เท่ากันตอนที่ออกตัววิ่ง การฝึกออกตัวโดยใช้น้ำหนักนี้จะช่วยเพิ่มความสมดุลของการเหวี่ยงขาระหว่างที่ออกตัววิ่ง
ตอนที่เขาคิดอย่างนั้นได้ เขาก็เริ่มเขียนมันลงในกระดาษ