Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 165
วันแรกของการฝึกได้จบลงไป หรือถ้าให้พูดให้ลึกลงไปอีกคือ การฝึกในช่วง4โมงเย็นพึ่งจบลง นักกีฬาเดินเข้าไปในโรงอาหารอย่างอ่อนล้า
“โค้ชหลี่ที่ถูกทีมชาติส่งมาดูหนุ่มมาก ฉันคิดว่าเขาแก่กว่าฉันแค่ไม่กี่ปีเอง!”
“ดูเหมือนว่าโค้ชหลี่จะไม่ได้เคยเป็นนักกีฬามาก่อนนะ ฉันละนึกไม่ออกจริงๆว่าทำไมทีมชาติถึงมีโค้ชที่อายุน้อยแบบนั้นได้”
“บางที เขาอาจจะได้ตำแหน่งนี้มาด้วยเส้นสายก็ได้!”ฉินเฉี่ยวเทียนพูด
“ต้องใช่แน่ๆเลย โค้ชที่อยู่ในทีมชาติแต่อายุยังไม่ถึง30นี้ต้องเป็นเพราะว่าเขาเส้นใหญ่แน่ๆ!”หนิวกั๋วหงเบะปากอย่างหยาบคาย ก่อนจะพูด “ฉันเห็นการฝึกวันนี้ เขาให้เราฝึกน้อยกว่าที่ปรกติเราได้ฝึกอีก ฉันกลัวว่าโค้ชหลี่คนนี้อาจจะเป็นแค่โค้ชกระจอกๆในทีมชาติที่ถูกส่งมาที่นี้เพราะว่าเขากระจอกเกินไปก็ได้”
นักกีฬาไม่เชื่อใจหลี่ไต้ อายุยังคงเป็นข้อเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหลี่ไต้อยู่ดี มันก็โอเคแหล่ะถ้าเขาไปฝึกในทีมเยาวชน แต่เพราะอายุของเขา หลี่ไต้เลยมักจะโดนมองเหยียดดูถูกโดยนักกีฬาผู้ใหญ่
มันก็เป็นเรื่องธรรมดาในอาชีพที่ต้องการประสบการณ์สูงๆแหล่ะ ตัวอย่างเช่นมีผู้ชายคนนึงอยากจะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแจกันโบราณของเขา เขาเจอกับผู้เชี่ยวชาญ2คน คนนึงเป็นชายหนุ่มที่อายุ20นิดๆกับอีกคนเป็นชายแก่อายุมากกว่า60ปี พ่อหนุ่มคนนี้ก็คงต้องเชื่อชายแก่อยู่แล้วละ เขาอาจจะคิดว่าชายหนุ่มคนนั้นอาจจะทำอะไรผิดพลาดได้เพราะว่าเขายังขาดประสบการณ์ ซึ่งอาจเป็นปัญหาได้
อีกตัวอย่างนึงคงขาดไม่ได้เลยนั้นก็คือหมอ ถ้าหมอหนุ่มอายุ24ปีหรือ25ปีนั่งอยู่ในห้องตรวจ คนส่วนมากก็มักจะคิดว่าคนพวกนี้ก็น่าจะเป็นแค่เด็กฝึกงาน
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นชายแก่ผมหงอกใส่แว่นตานั่งอยู่แทนละ คนก็จะคิดว่าเขาต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญแน่ๆ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ก็ตาม ในทีวีมักจะแสดงให้เห็นภาพเชยๆที่ว่าหมอหนุ่มถุกคนไข้ปฏิเสธเพราะคิดว่าเขานั้น อ่อนประสบการณ์เกินไป
อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นกลุ่มที่มีชื่อว่า “4หมอมหัศจรรย์”ที่ต้มตุ๋นคนไปมากกว่า1เขตพื้นที่ ทุกวันพวกเขาจะขายยาในช่องรายการทีวี โดยอ้างว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ บางที พวกเขาก็อ้างตัวเป็นหมอจากชนเผ่าแม้ว(กลุ่มชาติพันธ์ที่อยู่ทางใต้ของจีน เป็น1ในชนกลุ่มย่อยอย่างเป็นทางการของจีน) ที่สามารถทำพวก ฝังเข็ม จ่ายยา ขจัดเสมหะแล้วก็รักษาโรคหอบหืดได้ ในวันต่อมา พวกเขาอาจจะเป็นหมอจากชนเผ่ามองโกโบราณที่ตะโกนเรียกพลังแห่งวิญญาณมารักษาคนก็ได้ พวกเขาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆนั้นละ
ถึงแม้ว่าทุกอย่างนั้นจะเป็นเรื่องโกหกก็ตาม แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่เชื่ออย่างสุดใจแล้วก็โดนพวกเขาหลอก ผู้สมรู้ร่วมคิดเกือบทุกคนจะมีผมสีขาวแบบหงอกๆแล้วก็แว่นที่ทำให้ดูฉลาด ถ้าพวกเขาเป็นชายหนุ่มที่อายุ20ต้นๆก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกว่าพวกเขาเป็นหมอมหัศจรรย์ ไม่ว่าเอาจริงๆแล้วคนหนุ่มจะเก่งเทพขนาดไหนก็ตาม
กฎนี้มันก็ใช้กับพวกโค้ชเหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่โค้ชหนุ่มๆจะได้ความเชื่อใจจากนักกีฬา ถ้าโค้ชอายุน้อยกว่านักกีฬานั้นจะยิ่งเป็นปัญหาเข้าไปใหญ่ เพราะถ้านักกีฬานั้นคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์และเก่งกว่าโค้ช ทำไมพวกเขาต้องรับฟังคำสั่งจากโค้ชด้วยละ
คนที่ได้เข้ามาเรียนที่มหาลัยชิงฮั่วนี้ล้วนแต่เป็นตัวท๊อปในหมู่นักศึกษาแล้ว พวกเขาส่วนมากจะมีความหยิงในตัวเอง แล้วก็คงไม่เชื่อแล้วคล้อยตามง่ายๆแน่ๆถ้าโค้ชคนนั้นไม่โชว์ของโหดออกมาจริง แม้แต่โค้ชที่มีประสบการณ์มาแล้วก็ตาม
หลี่ไต้นั้นยังหนุ่มนัก เขาแก่กว่าพวกนั้นแค่ไม่กี่ปี ยิ่งกว่านั้น การฝึกครึ่งวันแรกของเขาหลี่ไต้จัดให้ทำการฝึกแบบขั้นพื้นฐานหมดเลยแทนที่จะได้ฝึกเพื่อแก้ไขข้อเสียของแต่ละคน หลี่ไต้วางแผนที่จะสังเกตการณ์ก่อน จากนั้นค่อยร่างแผนการฝึกสำหรับนักกีฬาแต่ละคน แต่ถึงอย่างงั้น ที่หลี่ไต้ตกใจก็คือ การฝึกที่เขาจัดให้เที่ยงวันแรกนี้ ก็ถูกดูหมิ่นโดยนักกีฬาซะแล้ว
ความรู้สึกดูถูกของนักกีฬานั้นแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดในการฝึกช่วงที่2
การดูว่าโค้ชคนนั้นได้รับความเคราพจากนักกีฬารึเปล่านั้นสามารถดูได้ง่ายๆจากการดูการฝึกของนักกีฬาพวกนั้น สำหรับโค้ชแกร่งๆดังๆที่มีวินัยและระเบียบจัดมากๆ นักกีฬาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะจบการฝึกทั้งหมดถึงแม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยล้าก็ตาม แต่ถ้าเป็นโค้ชที่ไม่ค่อยดังมันจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังส้นเท้าเลยทีเดียว การฝึกง่ายๆที่สุดนั้นนักกีฬายังทำไปแบบส่งๆเลย
หลี่ไต้สัมผัสได้ถึงแรงต่อต้านของนักกีฬาในทันที
หลี่ไต้นั้นเคยมีประสบการณ์กับความรู้สึกนี้มาก่อนตอนที่เขาได้ไปอยู่ทีมชาติในช่วง2เดือนของการสังเกตและเรียนรู้เขาไม่ได้รับการยอมรับจากนักกีฬา ถึงแม้ว่าเขาจะได้ไปมีส่วนร่วมในการฝึกในฐานะโค้ชก็ตาม นักกีฬารู้ว่าโค้ชหนุ่มพวกนี้มาแค่มองๆดูแล้วก็เรียนรู้เฉยๆแล้วก็คงไม่ได้มาอยู่ในทีมชาตินานๆ ดังนั้น พวกเขาเลยมองโค้ชหนุ่มอย่างกับคนนอก แถมยังโดนเมินแบบสมบูรณ์แบบตอนระหว่างฝึกอีกด้วย
แล้วหลังจากนั้น ตอนที่หลี่ไต้ได้ผ่านการทดสอบแล้วได้กลายเป็นลูกรักของซูหลี่ ตอนนั้นละที่ทัศนคติที่นักกีฬามีต่อหลี่ไต้นี้เปลี่ยนไป เพราะว่าหลี่ไต้นั้นเป็นคนที่ขยันมาก พอๆกับการที่เขาเป็นคนที่ถูกโค้ชซูหลี่ปลื้มด้วย
และตอนนี้ หลี่ไต้ก็โดนนักกีฬาดูหมิ่นอีกครั้ง แต่รอบนี้หลี่ไต้ไม่ใช่แค่นักเลงที่ทำตัวเก๋าไปวันๆ เขารู้ดีว่าการทำตัวเข้มๆนั้นไม่พอสำหรับการที่จะทำให้นักกีฬาพวกนี้เชื่องได้ เขาจำเป็นจะต้องแสดงความสามารถจริงๆออกมาเพื่อพิสูจน์ให้นักกีฬาพวกนี้รู้ว่าใครเป็นใคร แล้วให้พวกนั้นทำตามคำสั่งของเขา
เห้อ สุดท้ายฉันก็ต้องทำแบบนี้อีกแล้วใช่ไหมเนี่ย เกลียดชะมัดเลย! หลี่ไต้หายใจเข้าลึกๆก่อนจะปรบมือเรียกทุกคนมารวมตัวกัน
…
“เพราะว่าการฝึกในตอนเที่ยงของเมื่อวานนี้ ฉันได้พบกับปัญหาในเทคนิคการวิ่งของพวกนายเยอะเลย ดังนั้นตอนนี้ฉันจะเริ่มเน้นหนักในการแก้ไขจุดบกพร่องทางเทคนิคของพวกนายแต่ละคนในการฝึกอีกหลายอาทิตย์ต่อไปนะ”หลี่ไต้พูดช้าๆ ชัดๆ
พอได้ยินอย่างนั้น นักกีฬาก็เริ่มมีความคิดอะไรหลายๆอย่าง
โค้ชที่พึ่งอายุมากกว่าเราแค่ไม่กี่ปีจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับการวิ่งวะ เขาจะมาแก้ปัญหาอะไรในเทคนิคเราได้
โคตรขี้โม้เลย โค้ชเด็กอย่างงั้น ฝึกนักกีฬามาแล้วกี่คนวะ? แม้แต่โค้ชผู้ช่วยปริญญาโทในแผนกกีฬาของเรายังอาจจะเก่งกว่าเขาเลยมั่ง!
เห้อ อย่างน้อยฉันก็ขอให้โค้ชนี้มันมีอะไรดีบ้างเหอะวะ อย่างน้อยก็ให้พวกเราฝึกดีๆหน่อย ไม่งั้นเทคนิคเราจะแย่ลงไปอีก
ถึงแม้ว่านักกีฬาพวกนี้จะไม่ได้แสดงอาการทางสีหน้าบอกความไม่พอใจยังไง แต่ใจของพวกเขายังเต็มไปด้วยอคติด้านลบต่อหลี่ไต้อยู่ดี
หลี่ไต้เรียกชื่อตรงๆ “ตู่เหลียง มาข้างหน้า!”
ตู่เหลียงเดินออกมาข้างหน้า จากนั้นหลี่ไต้ก็พูดว่า “ปัญหาหลักๆของนายเลยคือตอนลงเท้า ตอนที่นายลงเท้าสะโพกที่ดันขาของนายแล้วก็เท้าในส่วนที่ดันไปข้างหลังนั้นมีปัญหา การเกร็งตัวของสะโพกกับกล้ามเนื้อข้อเท้านั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป เพราะอย่างนี้ แรงของนายเลยไม่สามารถส่งถ่ายไปที่พื้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากพอ
“การเกร็งตัวเร็วเกินไปของสะโพกกับกล้ามเนื้อข้อเท้าของนายนั้นไม่ใช่แค่ส่งผลกับความเร็วในการดันไปข้างหลังของนายกับการออกแรงระหว่างสะโพกของนาย แต่ยังรวมไปถึงทำให้เกิดแรงตึงอย่างมากที่ข้อต่อเข่าของนายตอนก่อนลงเท้าด้วย
หลี่ไต้พยายามสุดๆที่จะพูดให้ช้าและเข้าใจมากที่สุดเท่าที่ทำได้ เขาอยากให้ตู่เหลียงเข้าใจเขา ความช้าในการพูดของเขาทำให้ตู่เหลียงมีเวลาได้คิดว่าคำพูดของหลี่ไต้นั้นจริงหรือไม่ด้วย ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ เขาอยากที่จะให้นักกีฬาทุกคนได้ยินเขาตอนที่เขาอวดความรู้ของตัวเองด้วย
ในตอนที่หลี่ไต้พูดนั้น เขาก็มองตู่เหลียงไปด้วย หน้าของตู่เหลียงนั้นดูจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพอหลี่ไต้พูดจบ ตู่เหลียงก็ตะลึงทันที
ที่เขาพูดมาแม่งถูกหมดเลยนี้หว่า เขาเจอจุดอ่อนของเทคนิคฉันทั้งหมดจริงๆ!