Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 182
หนิวกั๋วหงเเพ้ฮาวหยูอี้ เเล้วหลี่ไต้ก็รู้สึกได้ถึงเเรงกดดันที่เกิดขึ้นเเล้ว เเม้เเต่การที่มีวงเเหวนระเบิดเเละหนังสือเพิ่มเเรงใจคอยช่วย เเต่หนิงกั๋วหงก็ยังเเพ้ฮาวหยูอี้อยู่ดี หนิวกั๋วหงพยายามเต็มที่เเล้ว เเต่ก็ยังเก่งไม่เท่าฮาวหยูอี้ หลี่ไต้เลยจะไปโทษเขาไม่ได่ อีกอย่าง ฮาวหยูอี้มาฟอร์มดีจริงๆเเหล่ะ
หลี่ไต้คิดถึงการเเข่งที่พึ่งจบไป เขาคิดว่าฮาวหยูอี้ทำได้ดีมาก ถ้านักกีฬาที่เก่งกว่าทำฟอร์มได้ดีในการเเข่งเเล้ว คู่เเข่งก็ไม่มีโอกาสจะชนะได้เลย
ส่วนฮาวหยูอี้นั้นตื่นเต้นกับวันนี้ทาก เขาเริ่มฉลองในชัยชนะเเล้ว ถึงเอาจริงๆนี้จะเป็นเเค่รอบรองชนะเลิศ มันยังไม่เหมาะกับการฉลองด้วยซ้ำ
หลี่ไต้ก็หงุดหงิดนะที่หนิวกั๋วหงแพ้ ฮาวหยูอี้กำลังฉลองอย่างกับตัวเองได้แชมป์แล้ว ซึ่งก็ทำให้หลี่ไต้รู้สึกเหมือนโดนเย้ยหยัน เพราะแบบนี้ หลี่ไต้เลยได้แต่มองฮาวหยูอี้ แล้วยิ่งหลี่ไต้มองเท่าไร เขาก็รู้สึกแปลกๆทุกครั้ง
นี้มันไม่ใช่การตื่นเต้นแบบปรกติ นี้มันเหมือนเป็นการได้ระบายอารมณ์มากกว่า ดูเหมือนว่าอารมณ์ของฮาวหยูอี้จะไม่เสถียรเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรจะทำตัวแบบนี้ในการแข่งกีฬามหาลัยทั้งๆที่คู่แข่งยังแข่งไม่จบด้วยซ้ำ
…
การแข่งรอบรองของกีฬาวิ่งเร็ว100เมตรก็จบไป คนรอบข้างเริ่มพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“หนิวกั๋วหงแพ้ฮาวหยูอี้ มหาลัยชิงฮั่วแพ้มา2รอบรวดแล้วนะ!”
“ว้าวว แม้แต่หนิวกั๋วหงคนนั้นยังแพ้เลย คงไม่ต้องเดากันแล้วแหล่ะว่าปีนี้ใครจะได้แชมป์”
“ก็ใช่ ก็ในเรื่องความแกร่ง มหาลัยชิงฮั่วมันเหนือกว่าทุกมหาลัยอยู่ละ แต่รอบนี้แค่พวกเขาโชคร้ายหน่อยที่ไปเจอกับฮาวหยูอี้
“ฮาวหยูอี้ก็เก่งจริงๆนะ ฉันได้ยินมาว่า หนิวกั๋วหงโดนเชิญเข้าทีมชาติตั้งหลายรอบ แต่ก็อย่างว่านะ มันก็คงเทียบอะไรกับนักกีฬาในทีมชาติจริงๆหรอก”
“ก็จริงนะ ทีมชาติเคยทุ่มทุกอย่างให้กับฮาวหยูอี้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาลาออกด้วยอาการป่วย ตอนนี้เขาคงไปเป็นนักวิ่งตัวท๊อปของโลกไปแล้ว
“ไม่รู้ดิ ก็จู่ๆเขาก็ออกจากทีมชาติแบบกะทันหันแล้วไม่บอกไม่กล่าวอะ ถ้าเขาไม่ได้มาที่การแข่งนี้ฉันคงลืมชื่อเขาไปแล้วแน่ๆ”
…
หนิวกั๋วหงอับอายกับที่คนดูพูด เขาเดินกลับมาหาหลี่ไต้อย่างเศร้าสร้อย
“ไม่เป็นไรหน่า แพ้ชนะก็เรื่องธรรมดาของนักกีฬานี้ อย่าเครียดเลย”หลี่ไต้ปลอบใจต่อ “ฮาวหยูอี้เคยเป็นนักกีฬาตัวท๊อปในทีมชาติมาก่อนนะ เขาฝึกมานานกว่านายเยอะ ก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะชนะนายได้ อีกอย่าง นี้มันแค่รอบรองเองด้วย เรายังเหลือรอบชิงอยู่นี้ ไปเอาคืนตอนนั้นก็ได้ เนอะ?”
“โค้ชครับ ผมกลัวว่าผมจะชนะเขาไม่ได้ เขาเก่งเกินไป!”หนิวกั๋วหงพูดหลังจากคิดแล้ว
“แต่นายยังเด็กกว่าเขาเยอะนะ! ฮาวหยูอี้ตอนนี้26แล้ว เขาพัฒนาไปมากกว่านี้ยากแล้ว ส่วนนายยังไม่22เลยนะจริงไหม?”หลี่ไต้พูดต่อ “การที่นายเด็กกว่ามันเป็นข้อได้เปรียบนะ ถึงนายจะชนะเขาไม่ได้ตอนนี้ แต่ตราบใดที่นายฝึกหนักขึ้น นายก็จะชนะเขาได้แน่ๆ ฉันเชื่อในตัวนายนะ”
ในฐานะโค้ช หลี่ไต้จะมาแสดงความอ่อนแอต่อหน้านักกีฬาของเขาไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะแพ้มาก็ตาม
อย่างคำโบราณที่บอกไว้ว่า เราแพ้สงครามได้แต่เราจะแพ้ใจตัวเองไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าคู่แข่งเก่งแค่ไหน โค้ชก็ยังต้องแสดงความมั่นใจอย่างเหลือล้นให้กับนักกีฬาของพวกเขา ถ้าโค้ชกังวลซะเอง นักกีฬาก็ไม่ต้องทำอะไรกันละ
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ค่อนข้างชัดเจอกับหลี่ไต้อยู่ว่าหนิวกั๋วหงชนะฮาวหยูอี้ได้ยากมากๆ ถึงแม้จะมีวงแหวนระเบิดพลังแล้ว แต่มันกก็ยังไม่พอในการโค่นฮาวหยูอี้อย่างเดียวที่หนิวกั๋วหงจะสามารถชนะฮาวหยูอี้ได้นั้นคือเขาต้องฝืนแล้วก้าวข้ามตัวเองมากๆในระหว่างการแข่ง
การก้าวข้ามตัวเองนี้มันเป็นเหมือนใช้ดวงมากกว่าใช้ความสามารถ แล้วยิ่งหนิวกั๋วหงแพ้มาแล้วรอบนึงด้วย มันเป็นไปแทบจะไม่ได้เลยที่เขาจะก้าวข้ามจุดนั้นไปได้ในสถานการณ์แบบนี้
หลี่ไต้มองไปที่หยางฉือจี๋ ในจุดนี้ หยางฉือจี๋เกือบๆจะเก่งพอๆกับหนิวกั๋วหงแล้ว แต่หนิวกั๋วหงแพ้ฮาวหยูอี้ไง งั้นหยางฉือจี๋ก็คงไม่ต่างกัน
แต่ถึงอย่างนั้นหยางฉืจี๋ก็ยังมีพรสวรรค์ระดับAอยู่ ซึ่งก็ได้เปรียบนักวิ่งหลายๆคนที่อยู่ตรงนี้รวมถึงฮาวหยูอี้ด้วย
เขาคงหวังพึ่งได้แค่ให้หยางฉือจี๋ท๊อปฟอร์มจริงๆ เขาไม่ใช่นักกีฬาที่มีประสบการณ์อะไร แต่ก็อย่างที่คำโบราณว่าไว้ แกะเกิดใหม่มันไม่กลัวเสือ บางทีความสามารถระดับAอาจจะทำให้เกิดปาฏิหาร์ยก็ได้
ตอนที่หลี่ไต้คิดอยู่นั้นเอง เขาก็เรียกหยางฉือจี๋ให้มาหา
“กังวลเรื่องมาเข้าแข่งในรอบสุดท้ายของรายการใหญ่ๆแบบนี้รึเปล่า?” หลี่ไต้ถาม
“นิดหน่อยนะครับ”หยางฉือจี๋พยักหน้า “แต่ผมก็ตื่นเต้นนิดๆด้วย!”
“ฉันยังจำวันแรกที่นายกลับมาได้อยู่เลยนะ นายบอกกับฉันว่านายอยากจะเป็นนักกีฬาเต็มตัว”หลี่ไต้ตบบ่าของหยางฉือจี๋แล้วพูด “นี้เป็นก้าวแรกสู่สังเวียนของนาย ล้มฮาวหยูอี้ให้ได้ละ!”
“ล้มฮาวหยูอี้?เขาพึ่งชนะหนิวกั๋วหงไปนี้ครับ แล้วผมจะไปชนะเขาได้ไง?”หยางฉือจี๋ถามด้วยเสียงที่ดูไม่มั่นใจ
“ไม่ลองก็ไม่รู้ไง”หลี่ไต้บอก “พ่อของนายก็ไม่ได้มองเห็นความสำเร็จทุกครั้งที่เขาวิจัยนี้ ใช่ไหม เขาต้องทดลองแล้วก็ลองแล้วลองอีกจนกระทั้งมันสำเร็จ แล้วถ้าไม่ลองจะไปสำเร็จได้ยังไงละ? นักกีฬาก็แบบนั้นเหมือนกัน นักกีฬาต้องท้าทายและแพ้มานับไม่ถ้วนตลอดอาชีพนี่ ถึงแม้ว่าจะไปอยู่จุดสูงสุดในโลกแล้ว นักกีฬาก็ยังคงต้องก้าวข้ามตัวเองต่อไป!”
หลังจากที่ได้ฟังคำของหลี่ไต้อย่างนั้น หยางฉือจี๋ก็พยักหน้า ถึงเขาจะไม่เข้าใจที่หลี่ไต้พูดถึงทั้งหมดก็เถอะ
หลี่ไต้พูดต่อ “อย่าไปกดดันตัวเอง สิ่งที่นายต้องทำ ก็แค่เร็วขึ้นทุกๆก้าวที่นายวิ่ง เข้าใจไหม?”
“ได้ครับ ไม่มีคำว่าที่สุด มีแต่ดีขึ้นได้อีก ถูกไหมครับ”หยางฉือจี๋ย้ำ
“นั้นละ!”หลี่ไต้พอใจกับหยางฉือจี๋มาก จากนั้น เขาก็พูดพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าคุมความกังวลไม่ได้ ลองคิดถึงสิ่งที่ทำให้นายมีความสุขซิ”
…
การแข่งขันในรอบชิงกำลังจะเริ่มขึ้น
ฮาวหยูอี้เดินเข้าเส้นปล่อยตัว เขามองซ้ายขวาแล้วพบว่ามีนักกีฬา3คนที่ใส่ชุดกีฬาที่คุ้นตา
พวกเขามาจากมหาวิทยาลัยชิงฮั่ว หมายความว่าพวกเขานี้เก่งจริงนะ เอานักกีฬาตัวเองทั้งหมดมาถมในรอบ8คนสุดท้ายในรอบชิงชนะเลิศได้แบบนี้”ฮาวหยูอี้ยิ้มแล้วคิด แต่ ฉันชนะมาแล้ว2คนวะ ยังไงฉันก็แชมป์เห็นๆ!
หนิวกั๋วหงถูกมองว่าเป็นนักวิ่งที่เก่งที่สุดในทีมมหาลัยชิงฮั่ว ฮาวหยูอี้พบว่าถ้าหนิวกั๋วหงชนะเขาไม่ได้ งั้นก็หมายความว่าไม่มีใครชนะเขาได้แล้ว
ส่วนหยางฉือจี๋เป็นแค่นักกีฬาโนเนม ฮาวหยูอี้เลยเมินยไปเลย แต่ในตอนนั้นเอง ฮาวหยูอี้ก็หันไปมองหลี่ไต้อย่างไม่รู้ตัว
“โค้ชจากทีมชาติเหรอ? ถึงฉันจะไม่รู้จักชื่อแกก็เหอะ แต่แกจำฉันได้อยู่แล้วใช่ไหมละ? ฮาวหยูอี้กลับมาแล้วนะ พร้อมขา2ข้างที่พร้อมจะขยี้คนของแกด้วย ไม่ต้องรู้สึกแย่หรอกเนอะ?
ฮาวหยูอี้หายใจเขาลึกๆ เขาตั้งใจที่จะชนะให้ได้