Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 199
20.71วินาที ฮาวหยูอี้พัฒนาไปได้ไกลอีกแล้ว เขาไปได้ไกลกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย ทําได้ดีมากหลี่ไต้” ซูหลี่พอใจกับฮาวหยูอี้มาก
“ต่อไปแผนการฝึกของฮาวหยูอี้คงต้องปรับหน่อย เพิ่มการฝึกวิ่งผลัดไว้ด้วย”
หลี่ไต้พยักหน้า สําหรับนักกีฬาวิ่งทุกคนกีฬาวิ่งผลัด4×100เมตรเป็น1ในงานของพวกเขา ดังนั้นก่อนที่การแข่งจะเริ่มขึ้น ทางทีมชาติจึงจัดให้มีการซ้อมวิ่งผลัดพิเศษไว้
การที่จะชนะการแข่งวิ่งผลัดได้นั้น ความเร็วงไม่ใช่ปัจจัยสําคัญ การส่งคนที่เร็วที่สุดไป4คนก็ไม่ได้หมายความถึงชัยชนะ
1รอบสนามแข่งมาตรฐานจะยาว400เมตร 160เมตรเป็นทางตรงส่วนอีก240เมตรเป็นทางโค้ง ดังนั้นในบรรดานักกีฬาวิ่งผลัด4×100เมตรนั้น นักวิ่งไม้ที่1กับไม้ที่3จะต้องวิ่งในทางโค้งตลอดเวลา พวกเขาจึงจําเป็นที่จะต้องเก่งการเข้าทางโค้งเป็นพิเศษ
และในส่วนนี้ที่นักกีฬาวิ่ง200เมตรได้เปรียบมากกว่า พวกเขามีทักษะในการวิ่งทางโค้ง อีกทั้งยังมีความเร็วและแรงระเบิดพลังที่ดี ซึ่งทําให้พวกเขาไปอยู่ในไม้ไหนก็ได้
กลับกัน ถ้าไม่มีทักษะการเข้าโค้ง ก็จะสามารถแข่งได้แค่ในไม้ที่2กับ4เท่านั้น
ซูหลี่พูดต่อ “กีฬาวิ่งผลัด 4×100เมตรปรกติแล้วจะมีแค่ในงานใหญ่ๆเพราะงั้นเราเลยไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้ฝึกซักเท่าไร นายเองก็คงไม่ได้มีประสบการณ์ในการฝึกวิ่งผลัดระดับสูงใช่ไหมละ?”
หลี่ไต้ส่ายหัว “ไม่ครับ แต่ผมเรียนมาในมหาลัย ส่วนมากเราเน้นในเรื่องของการเปลี่ยนไม้กันมากกว่าครับ”
“งั้นไหนบอกหน่อยซิว่ารู้อะไรมาบ้าง”
หลี่ไต้คิดซักพัก ก่อนจะตอบ “ผมเรียนรู้อยู่2วิธีหลักๆในการเปลี่ยนไม้ครับครับ คือท๊อปพิคกับเพรสดาวน์ การท๊อปพิคต้องให้ผู้รับไม้ต่อยื่นแขนไปด้านหลังอย่างเป็นธรรมชาติ ทํามุม40-5องศากับลําตัว ฝ่ามือของผู้รับคว่ำลง นิ้วมือเปิดอย่างเป็นธรรมชาติ นิ้วโป้งกับนิ้วชี้คว่ำลง ส่วนผู้ส่งก็แค่ส่งให้มือผู้รับได้โดยตรง ข้อดีของวิธีนี้คือมันควบคุมง่ายทั้งกับผู้ส่งและผู้รับและท่าทางยังเป็นธรรมชาติเอามากๆด้วย แต่ข้อเสียก็คือหลังจากรับไม้ต่อแล้ว มือผู้รับจะถืออยู่ในบริเวณกลางๆของไม้ ถ้านักกีฬาไม่ได้เปลี่ยนไม้ไปอีกมือนึ่ง ตอนที่ยื่นไม้ให้คนถัดไป ผู้รับคนถัดไปจะจับได้แค่ส่วนหัวของไม้ ซึ่งอาจจะทําให้เกิดการหลุดมือหรือพลาดได้ง่าย
ส่วนการเพรสดาวน์นั้นต้องให้ผู้รับยืดแขนไปข้างหลังทํามุม50-60องศากับร่างกาย บิดข้อมือเข้าแล้วให้ฝ่ามือหงายขึ้น นิ้วมือเปิด ช่องว่างระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งชี้ขึ้น ส่วนนักวิ่งที่จะส่งไม้ก็แค่เอาไม้ส่งเข้ามือของผู้รับไปตรงๆ ข้อดีของวิธีนี้คือมันง่ายสําหรับผู้รับที่จะวิ่งไปเร็วๆพร้อมไม้ได้แล้วขั้นตอนการส่งไม้นี้จะแม่นยํามาก แต่ข้อเสียมักจะเกิดความผิดพลาดได้ง่ายโดยเกิดจากกล้ามเนื้อแขนของผู้รับที่ตึงเกินไป
เมื่อทําการส่งไม้ ไม้ที่1กับไม้ที่3จะวิ่งชิดริมในของลู่ แลวใช้มือขวาในการส่งไม้ให้กับมมือซ้ายของขาที่2และ4 ส่วนขาที่2นั้นจะวิ่งชิดริมลู่ด้านนอกแล้วใช้มือซ้ายส่งให้กับมือขวาของผู้รับ”
ซูหลี่พยักหน้า “ดี ดูเหมือนว่านายจะตั้งใจเรียนน่าดูเลยนะ ในการแข่งขันจริงๆเราจะใช้ผสมเข้าไปทั้ง2เทคนิคขึ้นอยู่กับแต่ละไม้ที่จะส่ง ตัวอย่างเช่นขาแรกไม่จําเป็นที่จะต้องคิดถึงเรื่องการรับไม้ งานของเขาก็มีแค่การส่งไม้ให้ไปถึงขาที่2อย่างปลอดภัย ส่วนขาที่คิดแค่ว่าจะรับไม้ยังไงก็พอ เพราะว่าไม้มีขาอื่นให้ส่งต่อแล้ว ส่วนขาที่2กับ3ที่ต้องรับและส่งด้วย เพื่อที่จะได้ประหยัดเวลาและลดความผิดพลาด ไม้2และไม้ริจะใช้วิธีการส่งไม้ที่ต่างกัน”
ซูหลี่หยุดแล้วทําหน้าจริงจัง “ไม่ว่าจะใช้วิธีการไหนก็ตาม แต่การร่วมมือกันระหว่างนักกีฬาเป็นปัจจัยสําคัญที่สุด ถ้าพลาดขึ้นมาแม้แต่คนเดียว ทั้งทีมอาจจะล้มได้ เดี๋ยวยกตัวอย่างให้ฟังก่อนที่ทีมจาไมก้าจะขึ้นแท่นยึดตําแหน่งที่มอเมริกันเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในการแข่งวิ่งผลัด ตลอดเวลาที่ผ่านมาทีมอเมริกาได้เหรียญทองเสมอ มีอย่างเดียวที่จะทําให้ทีมมะกันนี้แพ้ได้คืออะไรรู้ไหม พวกเขาทําไม้ตกระหว่างการแข่งไง ในการแข่งระดับโลก การส่งไม้ที่ดีๆสามารถช่วยร่นเวลามาได้0.1วินาที นักกีฬาของเอเชียไม่ได้เก่งเท่าคนพวกนั้นหรือก ดังนั้นการส่งไม้ที่ดีจะช่วยประหยัดเวลามากขึ้นเป็น0.1หรือ0.2วินาทีหรือมากกว่านั้น”
ซูหลี่หยุดซักพัก ก่อนจะถาม “รู้รึเปล่าในการแข่งกีฬาเอเชี่ยนเกมเมื่อปีก่อน ทีมไหนเป็นทีมที่ได้เหรียญทองในการแข่งวิ่งผลัด4×100เมตร?”
8ปีก่อน หลี่ไต้ยังเป็นแค่เด็กม.ปลายทํารายงานงกๆอยู่เลย ทุกๆวันเขาต้องตื่นพร้อมอาทิตย์ขึ้นแล้วเข้านอนตอนเที่ยงคืน ใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการเรียน เขาจะไปมีเวลาว่างนั่งดูการแข่งกีฬาเอเชี่ยนเกมได้ไง? หลี่ไต้ตอนนี้ทําได้แค่เดาเท่านั้น “ญี่ปุ่นรึเปล่าครับ? ก่อนที่พวกเอเชียตะวันตกจะได้ตําแหน่ง ญี่ปุ่นเคยเป็นราชานักวิ่งของเอเชียมามากกว่า30ปีเลย”
“ญี่ปุ่นเคยโหดในโลกของกีฬาวิ่งมามากกว่า30ปีก็จริง แล้วเมื่อปีที่แล้วมันก็ยังเป็นยุคทองของญี่ปุ่นก็จริง แต่ไม่ใช่ พวกเขาไม่ใช่แชมป์” ซูหลี่ตอบ
“งั้นซาอุดิอาราเบียละครับ? พวกเขามีนักกีฬาที่โคตรแกร่งเลยนะ” หลี่ไต้เดาอีกรอบ
ซูหลี่ก็ยังคงส่ายหน้า
งั้นพวกอิรักเหรอครับ หรือพวกการ์ต้า แต่เดี๋ยวนะ ถ้าเป็นเมื่อปีก่อนประเทศพวกนั้นยังไม่พัฒนาเลยนี่หน่า หรือว่าเป็นซักที่ในตะวันออกกลางเหรอครับ หรือว่าจะเป็นเกาหลี หรือเกาหลีเหนือ ใช่ไหมครับ?”หลี่ไต้เดาแล้วเดาอีก ประเทศที่เขาพูดมานั้นล้วนแต่มีชื่อด้านกีฬาล้วนๆ แต่ถึงอย่างนั้นซูหลี่ก็ยังคงส่ายหัวเรื่อยๆ
“เดายังไงก็ไม่ถูกหรอก เพราะประเทศไทยเป็นแชมป์ในปีนั้น” ซูหลี่ตอบ
“หะ ประเทศไทยเนี่ยนะครับ? ถ้าเป็นพวกมวยไทยพวกนี้ผมก็อาจจะเชื่อหรอก แต่นี้มันวิ่ง ผลัด4×100เมตรนะครับ เป็นไปได้ยังไงครับ?” หลี่ไต้งง
ในเอเชียทั้งหมด ประเทศทางแถบเอเชียใต้อ่อนด้านกีฬาเป็นที่สุด ส่วนมากกีฬาที่เป็นที่นิยมจะเป็นคริงเก็ตไม่ก็กีฬาพื้นบ้าน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ไม่ได้มีความสามารถทางกีฬาที่สูงเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มักจะมีกีฬาอยู่1-2ประเภทที่เก่งๆ อย่างเช่น มาเลเซียกับอินโดนีเซียที่เก่งแบตมินตั้น ไทยกับฟิลิปปินที่เก่งมวย แต่กรีฑาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักจะไม่ได้อยู่ในโผเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น พอได้ยินว่าประเทศไทยได้แชมป์เอเชี่ยนเกม หลี่ไต้เลยงง
โค้ชซูครับ นี้มันเอเชี่ยนเกมนะครับ ประเทศไทยไปได้แชมป์ได้ไง? หรือว่าทีมเก่งๆอื่นๆไม่ได้มาด้วย หรือว่าพวกเขาทั้งหมดพลาดกันหมดเลย หรือว่าประเทศไทยเจอแต่ทีมอ่อนๆเหรอครับ?”หลี่ไต้ถาม
“ทั้งญี่ปุ่น ซาอุ และทีมอื่นๆอยู่กันพร้อมหน้าหมดเลย แล้วก็ไม่ได้พลาดอะไรเลยด้วย ฉันเป็นคนพาทีมไปแข่งด้วยตัวเอง เพราะงั้นฉันเลยเห็นกับตา นักกีฬาทั้ง4คนของญี่ปุ่นนั้นเป็นนักวิ่งระดับAของโอลิมปิคหมดเลย มี3คนในนั้นเคยไปแข่งโอลิมปิคมาแล้วด้วย ส่วนของประเทศไทยมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่เป็นระดับBของโอลิมปิค ที่เหลือไม่ใช่ระดับB ด้วยซ้ำ แต่ประเทศไทยก็ยังชนะ ด้วยการช่วยกันสื่อสารทางเสียง ประเทศไทยร่วมมือกันดีมากๆ ตอนที่นักกีฬาวิ่งญี่ปุ่นวิ่งตีตื่นเกือบจะแซงได้ตลอด แต่หลังจากแต่ละไม้ที่ส่งต่อกันไป ประเทศไทยก็ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ ฉันยังจําภาพของไพ่ตายญี่ปุ่นอย่างซาซากิ อะกิตะตอนที่เขาวิ่งเข้าเส้นชัยอย่างเจ็บปวด เขาเป็นคนที่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศโอลิมปิคแล้วถูกเลือกให้เป็นนักวิ่งที่เก่งที่สุดของเอเชีย แต่เขากลับได้ที่2ในการวิ่งผลัดของเอเชี่ยนเกม
พอฟังอย่างนั้นแล้วหลี่ไต้ก็ไม่อยากจะเชื่อ
นักกีฬาวิ่ง100เมตรระดับAของโอลิมปิคทําเวลาได้มากที่สุดแค่10.21วินาที ขณะที่ระดับBคือ10.28วินาที หมายความว่ามีความห่างกันถึง0.7วินาทีระหว่างAกับB ซาซากิ อะกิตะถูกเรียกขานว่าเป็น” ชายเอเชียที่บินได้” ด้วยความเร็วที่ใกล้ถึงเลข10ถ้วนๆมากๆ ส่วนนักกีฬาญี่ปุ่นคนอื่นๆวิ่งได้อยู่ราวๆ 10.10วินาที
แต่ประเทศไทยมีระดับBแค่คนเดียว ซึ่งหมายความว่านักวิ่งชาวไทยแต่ละคนจะวิ่งช้ากว่านักวิ่งญี่ปุ่นอยู่0.2วินาที แล้วคนไทยก็สามารถก้าวผ่านช่องว่าง0.2วินาทีต่อคนแล้วคว้าเหรียญทองไปได้ด้วยการส่งไม้ได้อย่างเพอร์เฟค
ซูหลีสรุปให้ฟัง “ฉันจะให้ตัวอย่างนี้บอกกับนายถึงความสําคัญของการร่วมมือกันในการแข่งวิ่งผลัดนะ ดังนั้น สิ่งที่สําคัญที่สุดของการฝึกวิ่งผลัดก็คือ พัฒนาและเสริมสร้างการร่วมมือกันภายในทีมซะ นี้คือเป้าหมายของเรา