Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 219
ตอนที่ 219 ปริศนา
หลี่ไต้เผลอตรวจสอบคนพวกนั้นทั้งหมด และผลของมันบอกว่ากลุ่มคน20กว่าคนพวกนี้เป็นคนธรรมดาหมดเลย มีแค่2คนเท่านั้นที่มีค่าความสามารถเกิน8แต้ม ทุกๆคนนั้นมีค่าความสามารถทางการกีฬาที่ต่ำเตี้ยพอๆกับคุณป้าที่เต้นอารบิค เผลอๆน้อยกว่าด้วย
ไอ้คนพวกนี้มันเป็นนักกีฬาจริงๆเหรอ? ถ้าดูจากค่าความสามารถของพวกเขาอย่างเดียวนี้ฉันแทบจะนึกว่าเป็นกลุ่มชายชรามาปิคนิคต่างประเทศนะเนี่ย! หัวของหลี่ไต้ตอนนี้สับสนไปหมด
บางทีฉันอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ บางทีพวกเขาอาจจะเป็นกลุ่มชายไทยมาปิคนิคกันในเมืองจีนจริงๆก็ได้ไม่ได้มาแข่งปั่นจักรยาน แค่บังเอิญว่าพวกเขาดันใส่ชุดกีฬาเพราะมันใส่สบาย แต่ถ้าดูจากแค่หลักสรีระทางร่างกายของชายวัยผู้ใหญ่แล้วมันก็ยากที่คน20กว่าคนนี้จะมีสภาพร่างกายที่ห่วยแตกแบบนี้
และในตอนนั้นเองที่ระบบสั่นของโทรศัพท์เขาทํางาน เขาก้มหัวลงไปดูโทรศัพท์และเป็นชื่อของซูหลี่โทรมา
” ฮัลโหลครับโค้ช ตอนนี้ผมอยู่ที่สนามบินแล้วนะครับ โค้ชติ้งยังมาไม่ถึงเลยครับ” หลี่ไต้พูด
” หลี่ไต้ ไม่ต้องรอแล้ว กลับมาเดี๋ยวนี้เลย!” เสียงซูหลี่ลั่นออกมา ” ที่ศูนย์ฝึกเบี้ยโข่วมีเรื่องฉุกเฉิน โค้ชติ้งเขาเปลี่ยนเที่ยวบินกลางคันแล้วบินตรงไปเมืองตงกังแล้ว ฉันพึ่งได้รับสายเมื่อกี้เหมือนกัน”
“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวผมกลับไปนะครับ” หลี่ไต้วางสายแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าด้วยสีหน้าผิดหวัง เขาเดินกลับไปที่ลานจอดรถ
แล้วตอนที่เขาเดินผ่านห้องน้ำชาย หลี่ไต้จู่ๆก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาเลยเดินเข้าไป
แต่แล้วหลี่ไต้ก็เดินไปชนเข้ากับชายคนหนึ่งตรงมุมห้องน้ำ
ชายคนนั้นเป็นคนวัยกลางคนตัดผมเกรียนไม่สูงมากแต่ต้น อ้วนกว่าหลี่ไต้ ชายคนนี้ใส่เสื้อยืดทีมอาเซนอล เขาอาจจะเป็นแฟนคลับอาเซนอลก็ได้
” ขอโทษครับ”
” ขอโทษครับ”
หลี่ไต้กับชายคนนั้นพูดขึ้นมาพร้อมกัน
ด้วยความที่ว่าไม่ค่อยมีคนผ่านมาแถวนั้นทําให้ตัดสินได้ยากว่าใครชนใครกันแน่ พวกเขาเลยไม่เถียงกัน เพียงแค่พยักหน้าให้กันและทางใครทางมันไป ชายคนนั้นกําลังถือโทรศัพท์อยู่แล้วพูดกับใครบางคน
“อ่า ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฉันแค่เดินไม่ดูทางเองแล้วไปชนกับใครเข้าหน่ะ”
“โอเคจ้ะ งั้นวางสายก่อนนะ พวกนักปั่นชาวไทยมากันแล้ว พวกเขาเริ่มเร่งให้ฉันพาพวกเขาไปส่งโรงแรมแล้ว” ชายผมเกรียนพูดกับคนในสาย
นักปั่นชาวไทยเหรอ?พอได้ยินคํานั้นหลี่ไต้ก็นึกถึงกลุ่มคนเกือบ20คนที่สภาพร่างกายแย่มาก
พวกนั้นมันเป็นนักกีฬาจริงๆเหรอ ไม่น่าเป็นได้เลยจริงๆ เดี๋ยวนะ หรือบางที่นักกีฬาจริงๆอาจจะพึ่งมาถึงก็ได้
หลี่ไต้เดินออกมาจากห้องน้ำ แล้ววางแผนที่จะออกไป แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เจอกับเพื่อนเก่า ชายคนนั้นใส่ชุดลําลองสบายๆ มือล้วงกระเป๋าและมีหูฟังเหน็บหูกําลังมองไปรอบๆอยู่
เขาคือหลินฉง คู่ฝึกเก่าของหลี่ไต้ที่ศูนย์ฝึกตํารวจ
นั้นหลินฉงนี้! ไม่ได้เจอตั้งนานตั้งแต่จบค่ายฝึกตํารวจไป เขามารับใครรึเปล่าเนี่ย? หลี่ไต้เดินเข้าไปใกล้ๆแล้วหลินฉงก็สังเกตเห็นหลี่ไต้
“เจ้าหน้าที่หลิน” หลี่ไต้ทักทายแล้วยิ้ม
“อ้าว โค้ชหลี่!” หลินฉงทักทายอย่างอบอุ่น ถ้าไม่ได้หลี่ไต้ในตอนนั้นหลินฉงอาจจะได้ไปเป็นข้าราชการแล้วก็ได้ตอนนี้
”เจ้าหน้าที่หลิน เป็นไงบ้าง ยังทํางานอยู่ในสายตรวจยาเสพติดอยู่ไหม?” หลี่ไต้ถาม
หลินฉงพยักหน้า “ใช่แล้ว ฉันยังอยู่ในสายตรวจ”
“แล้วขาเป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม?” หลี่ไต้ถาม
” ขอหล่ะอย่าล้อทีได้ไหม ขาฉันมันไม่ได้ปวดมาตั้งแต่ที่หมอบอกฉันว่าฉันสบายดีแล้ว มันก็แค่อาการทางจิตหน่ะ” หลินฉงถอนหายใจ “ทํางานในด่านหน้ามันเหมาะกับฉันกว่าเยอะเลย ถ้าจะให้ฉันไปทํางานเป็นข้าราชการนะ ฉันคงเบื่อตายแน่ๆ”
14:07
ตอนที่หลินฉงพูดอยู่นั้นเอง เขาก็สังเกตุว่าหลี่ไต้ไม่ได้มีสําภาระอะไรมาด้วย กระเป๋าก็ไม่มี เขาเลยคิดว่าหลี่ไต้ไม่ได้พึ่งกลับมาเลยถาม” เออ โค้ชหลี นี้มารอรับใครอยู่รึเปล่า”
“ใช่ๆ ตอนแรกก็กําลังรอรับคนนั้นละ แต่ตอนนี้เปลี่ยนแผนละ” หลี่ไต้ตอบกลับด้วยคําถามต่อ ”แล้วนายละรอใครอยู่รึเปล่า?”
“5555”หลินฉงยิ้มอ่อนชําแห้งแต่ไม่ตอบอะไรชัดเจน
แต่ในตอนนั้นเองที่หลินฉงทําหน้าเครียดขึ้นมา เขาพยักหน้าแล้วพูด ”ครับท่าน ไม่มีอะไรแปลกครับ เพื่อนเก่าหน่ะครับ ไม่ได้เจอกันนาน ครับ.. ได้ครับ จะกลับไปทําหน้าที่ต่อละครับ”
หลี่ไต้งงแตกไปซักพักก่อนจะสังเกตุว่าหลินฉงใส่หูฟังบลูทูธอยู่
อ้อ หลินฉงทํางานอยู่นี้เอง! หลี่ไต้เข้าใจทันที และรู้สึกเขินๆ เพราะดูจากหน้าของหลินฉงแล้วเหมือนกับว่าเขาพึ่งโดนด่ามาเรื่องคุยกับหลี่ไต้
ในขณะที่หลินฉงปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น แม้แต่การคุยกับเพื่อนเก่าก็ไม่ได้รับอนุญาติ หลี่ได้คิดว่าเขากําลังรบกวนการทํางานของหลินฉงอยู่แน่ๆ
เขามองไปที่หลินฉงด้วยหน้าตารู้สึกผิด “เออ ขอโทษนะ คือฉันไม่ทันเห็นว่านายกําลังทํางานอยู่หน่ะ งั้นฉันไม่กวนละ เจอกัน”
“โค้ชหลี่ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ หัวหน้าทีมของผมก็เข้มงวดอย่างนี้ละ” หลินฉงอธิบายก่อนจะบอกลาหลี่ไต้ แล้วมองเขาออกจากทางออกไป
ใกล้ๆกับลานจอดรถนั้นเอง หลี่ไต้เจอกับกลุ่มนักกีฬาชาวไทยเจ้าเดิมที่กําลังรวมตัวกันเหมือนจะรอรถอยู่
และจากนั้น รถทัวร์ก็ขับเข้าหาพวกเขาแล้วจอดลง ชายในทรงผมเกรียนใส่เสื้ออาเซนอลคนเดียวกับที่ชนหลี่ได้ในห้องน้ำออกมาจากรถแล้วเปิดท้ายรถ จากนั้นก็ใช้ภาษากายผสมกับภาษาอังกฤษป็นไทยเพื่อบอกให้พวกเขาเอากระเป๋าขึ้นรถ
หลี่ไต้มองไปที่สถานการณ์ตอนนั้น แล้วพูดกับตัวเองเบาๆว่า ฉันจําตอนที่คนๆนั้นคุยกับภรรยาว่าจะมารับนักปั่นจักรยานชาวไทย นักปั่นที่ว่าหมายถึงพวกนักปั่นพวกนี้เนี่ยนะ? สรุปว่าพวกเขามาเพื่อแข่งปั่นจักรยานจริงๆเหรอ? ด้วยค่าความสามารถแค่40-50เนี่ยนะ อย่าว่าแต่นั่นหมื่นลี้เลย แค่ปั่นไปตลาดยังหอบเลยมั้งหน่ะ การแข่งขับจักรยานกรังปรีย์ครั้งนี้มันคงธรรมดามากซินะ ถึงจะมีพวกสเปนหรือมะกันมาด้วย แต่มันก็คงไม่ใช่การแข่งแบบเอาเป็นเอาตาย แต่คงเป็นการแข่งแบบแพ้ก็ได้ชนะก็ดี แต่ยังไงก็อดคิดไม่ได้ ว่าพวกคนไทยทําอะไรกันอยู่ ส่งพวกคนที่ไม่ใช่แม้กระทั้งมืออาชีพมาแข่งเนี่ยนะ ขนาดฉันเองไปแข่งยังชนะเลย
หลี่ไต้หยุดแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับการแข่งปั่นจักรยานกรังปรีย์
ข้อมูลบอกไว้ว่าการแข่งกรังปรีย์นี้มันสําหรับนักปั่นมืออาชีพเท่านั้น พวกมือสมัครเล่นสมัครเข้าแข่งไม่ได้
นี้มันแปลกเกินไปแล้ว! ความสงสัยของหลี่ไต้พุ่งทะยานขึ้นสูงสุด เขาขยับเข้าไปใกล้ๆ พวกนั้นเพื่อเก็บรายละเอียดเพิ่มเติม
ขนขับรถแฟนคลับอาเซนอลยุ่งอยู่กับการช่วยคนไทยพวกนั้นขนกระเป๋า
คนไทยคนหนึ่งดูเหมือนว่าชุดของเขาจะหลวมๆแล้วมันเกะกะเขา เขาเลยพับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกแล้วยกของต่อ และบนแขนเปล่านั้นมีรอยสักที่เด่นชัดออกมา
หลี่ไต้มองไปที่รอยสักนั้น แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
แต่ถึงอย่างนั้น 1ในรอยสักพวกนั้น มีไสัญลักษณ์ ที่เขารู้จัก และมันก็ดึงดูดความสนใจของหลี่ไต้มาก