Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 147
เอาจริงๆเเล้วการได้เเผ่นCTของคนอื่นนั้นมันเเทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะทางโรงพยาบาลจะเก็บประวัติทางการเเพทย์ด้วยระบบอิเล็กโทรนิค เเล้วถ้าผู้ป่วยย้ายไปโรงพยาบาลอื่น ทุกๆการตรวจ ทุกๆการรักษา จะถูกเก็บลงในฐานข้อมูลในคอมพิวเตอร์ก่อนที่เเผนกประวัติการแพทย์จะเอามาทำเป็นเเฟ้ม
แต่ตอนนี้ระบบเก็บประวัติแบบนี้มันมีทุกโรงพยาบาลแล้ว แต่ก่อนหน้านี้โรงพยาบาลระดับ3หลายที่ไม่ได้มีระบบที่จะโอนย้ายข้อมูลของคนไข้ไว้ให้บริการ ทุกอย่างต้องทำด้วยมือเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คนไข้จะมารับยา แค่เอาบัตรประกันมาก็พอ แต่เมื่อหลายปีก่อน คนป่วยต้องมาเขียนแบบฟอร์มจ่ายยาให้กับหมอเอง
เเต่ทุกคนก็สามารถผิดพลาดกันได้ มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อุบัติเหตุทางการเเพทย์หรือเหตุการณ์ความผิดพลาดต่างๆนานานั้นล้วนเกิดมาจากความผิดพลาดของมนุษย์ เเละโชคร้ายที่หลินฉงเป็นเหยื่อที่เจอเหตุการณ์เเบบนั้น
หมอนั้นทำได้เเค่วินิจฉัยจากผลการตรวจเท่านั้น การได้ผลCTผิดนั้นก็ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดตามมาด้วย
เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่รับใช้ชาติต่อนั้นหลินฉงต้องปกปิดอาการบาดเจ็บของตัวเอง เขาไม่อยากให้ใครรู้เกี่ยวกับบาดเเผลของเขา เเล้วเขาก็กลัวว่าตัวเองจะถูกย้ายไปเป็นข้าราชการพลเรือน เพราะอย่างนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะไปตรวจร่างกายซ้ำ2
นี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ สำหรับคนป่วยหลายคนนั้น การตรวจโรคเเค่ครั้งเดียวมันก็ดีพอที่จะบอกอะไรหลายๆอย่างเเล้ว บางที พวกเขาก็ถึงขั้นที่ว่าถ้าหมอบอกให้คนไข้นั้นมาตรวจเลือดซ้ำอีกรอบใน2วัน คนไข้อาจจะคิดว่าหมอนั้นต้องการที่จะให้ชาจค่าใช้จ่ายเพิ่ม การขอCTใหม่นั้นก็น่าสงสัยพอๆกัน
หลินฉงนั้นไปหาผู้เชี่ยวชาญคนอื่นเพื่อให้เช็กผลCTของเขา และเพื่อที่จะปิดบังความลับ ตอนที่เขาไปหาผู้เชี่ยวชาญนั้น เขาก็จะบอกเสมอว่าผลCTนี้เป็นของเพื่อนเขา ที่มาขอให้เขาหาทางรักษาให้
แม้แต่หมอชื่อดังยังไม่กล้าวินิจฉัยโรคโดยไม่มีผลการตรวจเลย เพราะอย่างนี้ หมอทุกคนเลยบอกหลินฉงเหมือนกัน คือ”พิการถาวร” แต่ประเด็นคือนั้นไม่ใช่ของหลินฉงจริงๆ
ความผิดพลาดนี้ได้ตอกย้ำหลินฉงว่าเขาพิการไปตลอดชีวิต แล้วมันก็ไม่มีทางรักษา แล้วทุกครั้งที่เขาออกไปปฏิบัติงาน เขาก็จะกังวลทุกครั้งว่าขาของเขาจะรับได้ไหม หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สร้างภาระให้กับร่างกายตัวเอง ถึงแม้ว่าขาเขาจะหายดีแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บและไม่มีแรงอยู่ นี้มันเป็นอาการทางจิต คล้ายๆกับอาการเครียดหลังจากเจอเหตุกระทบจิตใจร้ายแรง เพราะงั้นถึงแม้ร่างกายเขาจะหายดีแล้ว แต่เขาก็ยังก้าวข้ามความเจ็บปวดในจิตใจไม่ได้
หลินฉงบอกกับตัวเองเสมอมาเป็นเวลาหลายปีแล้วว่าขาขวาของเขาไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ถึงแม้ว่าขาเขาจะปรกติแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี ง่ายๆว่าจิตใต้สำนึกของเขายังคงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ขาอยู่ และเขาก็ไม่สามารถใช้แรงที่ขาได้ ในขณะที่ตอนออกกำลังกาย เขาก็จะรู้สึกว่าเขาของเขารับไม่ไหว
แต่โชคดีที่หลินฉงมาเจอหลี่ไต้แล้วได้แรงใจจากหลี่ไต้ และสุดท้ายเขาก็ยอมไปตรวจอีกรอบหลังจากหลายปีที่เลี่ยงมา แล้วตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าเขาได้แผ่นCTผิด แล้วขาเขาก็รักษาหายแล้วด้วย
…
พอหลินฉงกลับไปถึงที่ค่ายฝึก มันก็เที่ยงแล้ว เขาก็ได้รับการยืนยันมาจากทางโรงพยาบาลตำรวจมากว่ามันเป็นความผิดพลาดของทางโรงพยาบาลเองที่ส่งมอบแผ่นCTให้ผิด ซึ่งทำให้เขาเข้าใจผิดถึงทุกวันนี้ เพราะอย่างนี้เขาเลยรู้สึกเขินแล้วก็ทุกข์ใจ เขินที่ว่ามันเป็นตัวเขาเองที่หลอนคิดว่าตัวเองพิการมาโดยตลอด แล้วก็ทุกข์ใจ เพราะว่าโรงพยาบาลเป็นฝ่ายผิดเอง
ถ้าเป็นโรงพยาบาลอื่นหลินฉงคงได้เรียกร้องค่าเสียหาย แต่นี้มันเป็นโรงพยาบาลตำรวจซึ่งเป็นของระบบความมั่นคงโดยตรง โรงพยาบาลนี้รักษาตำรวจที่บาดเจ็บมามากมาย สำหรับตำรวจอย่างเขา หลินฉงก็ไม่อยากที่จะไปเรียกร้องอะไร อีกอย่าง ถ้าไปเรียกร้องอะไร ทางผู้นำก็คงไม่โอเคเท่าไรด้วย
หลินฉงเองก็รู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่ค่อยแฟร์สำหรับเขา เพราะว่าแผ่นCTแสกนแค่ใบเดียวก็ทำให้เขาเสียเวลาชีวิตไปเป็นปี ทุกๆครั้งที่เขาออกทำหน้าที่ เขาไม่ได้ไปอยู่แนวหน้าอย่างที่เขาเคยเป็น แล้วก็พลาดโอกาสที่จะได้รับเกียรติต่างๆนานาด้วย แต่ตอนนี้เขารู้ความจริงแล้ว แล้วตอนนี้เขาก็รู้ความจริงแล้ว เขาก็คงเปลี่ยนอะไรที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ ทำได้แค่ฝังมันไว้ในส่วนลึกในใจเท่านั้น
“ฉันว่านายควรจะดีใจนะ”หลี่ไต้พูดปรอบใจ มันก็ไม่ได้มีอะไรผิดปรกติกับขานายแล้วนี้ นั้นหมายความว่านายสามารถกลับไปเป็นนายตำรวจที่กล้าหาญได้อีกครั้งแล้ว!”
“ฉันไม่ใช่”นายตำรวจที่กล้าหาญ”อะไรนั้นหรอก”หลินฉงพูด เขาดูไม่มีความสุขเท่าไร น้ำเสียงเขาดูตำหนิด้วย
หลี่ไต้เงียบไปซักพักก่อนที่จะพูด “ฉันเข้าใจนะ นายเสียเวลาไปตั้งเยอะ แทนที่จะได้เป็นตำรวจที่ดี แต่ตอนนี้หน้าที่หลักของนายคือก้าวข้ามอดีต แล้วเอาเวลาเหล่านั้นกลับคืนมานะ!”
หลินฉงมองหลี่ไต้ด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลี่ไต้ที่ยังอายุน้อยนั้นกลับพูดเหมือนคนชายหนุ่มที่มีประสบการณ์โชกโชน
หลินฉงลั่นหัวเราะออกมา “นายพูดถูก ฉันไม่ควรจมปรักแบบนี้ มันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ฉันควรจะขยันเพื่อเอาสิ่งที่ตัวเองเสียไปกลับคืนมา!”
“นั้นละคือสิ่งที่ฉันอยากได้ยิน”หลี่ไต้พูด เขาหยิบกระดาษมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้กับหลินฉง เขาพูด “นี้เป็นแผนการฝึกของนาย ฉันจะเพิ่มความเข้มข้นของการฝึกเขาไป เอาไปดูก่อนก็ดี จะได้เตรียมตัวถูก”
หลินฉงหยิบกระดาษ หลี่ไต้ได้จัดตารางการฝึกพร้อมรายละเอียดชัดเจน แม้แต่คนที่ไม่ใช่นักกีฬาอย่างหลินฉงก็เข้าใจได้อย่างง่าย
“โค้ชหลี่ เรามาเริ่มกันเถอะ!”หลินฉงพูด
…
แผนการฝึกของหลี่ไต้นั้นประกอบไปด้วยการฝึกแบบเข้มข้นสูง ซึ่งเป็นความท้าทายใหญ่ของหลินฉง
โชคยังดีที่หลี่ไต้มีตัวช่วยดีๆอย่างการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เมื่อไรที่หลินฉงรับการฝึกหนักขนาดนั้นไม่ได้ การนวดก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อของหลินฉงกลับมาฝึกต่อได้ทันที
ในตอนแรกเริ่มเลยนั้น ในตอนที่หลี่ไต้ได้รับเทคนิคการนวดฟื้นฟูกล้ามเนื้อมาครั้งแรกนั้น เขารู้สึกว่าความสามารถนี้มันไร้ประโยชน์สิ้นดี แต่เมื่อเวลาผ่ายไป เขาได้รู้ว่ามันเป็นความสามารถที่ยอดเยี่ยมมาก มันสามารถทำให้กล้ามเนื้อที่เหนื่อยล้าผ่อนคลายลงได้ทันทีหลังจากการฝึกหนัก ทำให้เขาสามารถเพิ่มความหนักในการฝึกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเยอะ
และเพราะว่าหลินฉงเคยเป็นหน่วยสืบราชการลับ เขาจึงแข็งแรงและอึดมากทั้งกายและใจ เขาผ่านการทำงานที่แสนอันตรายมาได้ การฝึกหนักแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาของเขาเลย
และพริบตาเดียวการฝึกในอาทิตย์แรกก็ผ่านไป การฝึกนั้นก้าวเข้าสู่สัปดาห์ที่2 แล้วโค้ชเกือบทุกคนนั้นก็เริ่มมีปัญหากันแล้ว