Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 157
ซูหลี่พาโค้ชทั้งหลายไปที่สนามฝึกของกีฬาต่างๆ และทุกๆที่ เขาก็จะให้คำถามกับโค้ช ในตอนที่เขาเดินไปถึงสถานที่2 ทีมกระโดดไกล การฝึกกระโดดค้ำถ่อกำลังซ้อมกันอยู่
ซูหลี่ชี้ไปที่1ในนักกระโดดค้ำถ่อคนหนึ่ง แล้วพูด “อย่างแรกเลย โปรดสังเกตการเคลื่อนไหวนักกีฬาของเขาให้ดีๆนะ”
ทุกคนรู้ว่าคำถามข้อต่อไปกำลังจะมาต้องเกี่ยวกับนักกีฬาคนนั้นแน่ๆ พวกเขาเลยจ้องนักกีฬาคนนั้นตาเป็นมัน หลี่ไต้สังเกตุได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่เขาตรวจสอบด้วยเครื่องครั้งที่แล้ว
ในตอนนั้นเองซูหลี่ถามคำถามของเขา “คำถามต่อไป ให้บอกความบกพร่องในเทคนิคของนักกีฬาคนนั้นมา”
หลี่ไต้ยิ้มล้า แล้วเขียนลงในกระดาษทันที
ขาดแรงจับ ใช้ไม้ค้ำได้แย่ จับข้างซ้ายแน่นกว่าข้างขวาเยอะอย่างเห็นได้ชัด
ในตอนนั้นเอง การตอบสนองอย่างรวดเร็วของหลี่ไต้นั้นถูกสังเกตเห็นโดยซูหลี่
หลี่ไต้ได้คะแนนเต็มในการฝึกตำรวจ นั้นทำให้เขาอยู่ในรายชื่อจับตามองของซูหลี่เป็นอันดับแรกๆ ซูหลี่มองพฤษติกรรมของหลี่ไต้อย่างเงียบๆระหว่างการสอบ
เขาเขียนคำตอบเร็วมาก แถมยังดูมั่นใจในคำตอบด้วย หรือว่าเขารู้คำตอบจริงๆหรอ หรือบางทีเขาอาจจะเขียนมั่วๆไปก็ได้!ซูหลี่ขมวดคิ้ว แล้วรู้สึกได้ว่าคำถามมันอาจจะง่ายไป
บางทีในคำถามข้อหน้าฉันคงต้องเพิ่มความยากขึ้นแล้วมั่งเนี่ย ซูหลี่คิดกับตัวเอง
ตอนนั้นเอง พวกเขาก็เดินทางไปที่ทีมวิ่งกระโดดไกล ซูหลี่ชี้ไปที่นักกีฬาคนหนึ่งที่กำลังฝึกอยู่ แล้วพูด “ถ้าพวกคุณเป็นหัวหน้าโค้ช โปรดลองวางแผนการฝึกสำหรับนักกีฬาคนนั้นในอาทิตย์หน้าให้หน่อย ลงรายละเอียดของแผนการฝึกอย่างชัดเจนด้วยละ”
หลี่ไต้ดูที่นักกีฬาคนนั้น แล้วคิด ทำไมบังเอิญจังเลย! นักกีฬาคนนี้จะมีปัญหาเรื่องปริมาณการหายใจที่จะผันผวนถ้าเขาเหนื่อยมากเกินไป ปัญหานี้ถูกเมินโดยโค้ชทีมชาติเหมือนกัน
หลี่ไต้ก้มหัวลงไปมองแล้วคิดซักพัก เขาตัดสินใจที่จะร่างแบบฝึกออกกำลังกายก่อน เขาเขียนรายการข้อเสียของเขาออกมาก่อน แล้วตามด้วยเขียนทางแก้ปัญหา ซึ่งจัดเรียงตามสถานการณ์จริง จากนั้นก็เริ่มร่างตารางแผนการฝึก
ถ้าให้พูดกันตรงๆ การทดสอบนี้มันมีแต่คำถามที่ซุ่มเอาล้วนๆ แต่มันก็ค่อนข้างท้าทายสำหรับโค้ชหรือแม้แต่คนออกข้อสอบเองเหมือนกัน ซูหลี่เองก็ไม่รู้จะถามคำถามอะไรโค้ชเหมือนกัน แล้วการถามคำถามแบบสุ่มนี้คือมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาเห็นล้วนๆ
มันก็เหมือนกับการทดสอบฟังภาษาอังกฤษ ด้วยเวลาที่ต้องคิดน้อยมาก ผู้เข้าสอบจะต้องตัดสินใจให้รวดเร็วและเด็ดขาดที่สุดเท่าที่ทำได้ ถึงเเม้ว่าผู้เข้าสอบจะพลาดการตอบนั้นเเต่พวกเขาก็เตรียมใจพร้อมสำหรับคำถามในข้อต่อไปทันที ความเร่งด่วนเเละกระทันหันนั้นมันอยู่เหนือเเรงกดดันในเรื่องอื่นๆของการสอบอย่างคิดคำตอบ เขียนลงในช่องว่างหรืออ่านทวนด้วยซ้ำ
โค้ชหนุ่มทุกคนนั้นเข้าร่วมการฝึกในทุกๆกลุ่มกีฬาในช่วงเวลา2เดือนเเห่งการสังเกตุเเละเรียนรู้ในทีมชาติ พวกเขาอย่างน้อยก็ต้องมีความเข้าใจในการฝึกในทุกๆกลุ่ม พอพอกับสถานะเเละการประเมินนักกีฬา เเต่ถึงอย่างนั้นการเข้าใจมากน้อยเท่าไรนั้นมันต้องขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลล้วนๆ
นี้เป็นจุดประสงค์ของช่วง2เดือนในการสังเกตเเละเรียนรู้ ซูหลี่นั้น เตือนโค้ชทั้งหลายเเล้วว่าให้ดู สังเกตุ คิด เเละเรียนรู้ให้ดี ทุกคนตอนนี้อยู่ในสนามเเข่งขันที่ทุกคนเท่าเทียมกัน เริ่มจาก0ใหม่เหมือนกัน สิ่งที่โค้ชพวกนี้ได้เรียนรู้มาระหว่าง2เดือนนี้จะเป็นปัจจัยในการตัดสิน ยิ่งพวกเขาได้เรียนรู้มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีโอกาสที่จะผ่านบททดสอบคัดเลือกนี้มากเท่านั้น
…
การทดสอบนั้นกินเวลาตลอดช่วงเช้า เเล้วจบลงก่อนกินข้าวเที่ยง หลังจากส่งกระดาษคำตอบกันเเล้ว โค้ชหนุ่มทั้งหลายก็ได้มารวมตัวกันในโรงอาหาร สำหรับหลายๆคนในนั้น นี้อาจจะเป็นอาหารเที่ยงมื้อสุดท้ายของพวกเขาในทีมชาติ พวกเขาคงถูกคัดออกหลังจากเที่ยงนี้
บรรยากาศในโรงอาหารเลยค่อนข้างหม่นหมอง พอนึกถึงคำถามที่เจอเมื่อเช้านี้เเล้ว ทุกคนก็เริ่มที่จะคิดว่าพวกเขายังมีโอกาสที่จะได้อยู่ต่ออีกไหม คำถามที่ถูกโยนมาเเบบสุ่ม บางคำถามอย่างเช่นให้วางเเผนฝึกใหม่นั้น มันไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว มันก็คล้ายๆกับการสอบเขียนในการสอบเข้ามหาลัย ทุกคนได้โจทย์หัวข้อเเบบเดียวกันหมดก็จริง เเต่ไม่มีใครการันตีได้เลยว่าคำตอบของพวกเขาจะตรงใจคนให้คะเเนนไหม
ที่สำคัญไปกว่านั้น คำถามที่ใช้ในการทดสอบคัดเลือกนี้มันครอบคลุมเกือบทุกกลุ่มการฝึกเเละประเภทกีฬาในทีมชาติ ซูหลี่พาผู้เข้าสอบเดินไปทั่วสนามฝึกเลยยกเว้นประเภทกีฬารอบด้าน เเล้วก็ถามคำถามทุกที่ที่ไป นี้รวมถึง วิ่งเร็ว วิ่งระยะกลาง วิ่งระยะไกลวิ่งกระโดด เดินวิ่ง กระโดดไกล กระโดดสูง
โค้ชหนุ่มพวกนี้ไม่ได้เก่งในทุกประเภทของกีฬากรีฑา พวกเขายังเด็กเกินไปที่จะมีเวลาเเละพลังงานมากพอไปมีส่วนร่วมในการฝึกของทุกสายในกรีฑา เเม้เเต่โค้ชเเก่ๆที่มีประสบการณ์เป็นโค้ชมาเเล้ว30ปียังทำเเบบนั้นไม่ค่อยได้เลย พวกเขามีความชำนาญในการฝึก20+รายการ ยกตัวอย่างเช่นโค้ชทุ่มน้ำหนักก็จะเก่งการฝึกทุ่มน้ำหนัก ถ้าเขาต้องไปฝึกให้ทีมปาจักร ปาหอก ปาค้อน พวกเขาอาจจะยังคงทำได้อยู่ เเต่ถึงอย่างนั้น ถ้าโค้ชคนเดียวกันนี้ถูกขอให้ไปฝึกวิ่งเร็วหรือวิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง ความรู้ความเชี่ยวชาญของเขาอาจจะมีไม่พอที่จะฝึกอะไรเเบบนั้นได้ เช่นเดียวกับโค้ชวิ่งระยะกลางก็อาจจะสามารถไปฝึกการวิ่งเร็วหรือวิ่งระยะไกล หรือเเม้กระทั้งวิ่งกระโดดข้ามรั้ว เเต่ถ้าเป็นการฝึกเดินวิ่งนี้คงเกินความสามารถของเขา
ความรู้ที่มีอยู่ในโค้ชหนุ่มพวกนี้ยังน้อยไปเหรอ? เเน่นอน ความรู้ที่จำกัดของพวกเขานั้นไม่ได้ดีพอที่จะโค้ชในระดับสูงในทีมชาติที่ต้องจัดการรับมือกับนักกีฬาระดับสูง
นักกีฬาพวกนี้มีพละกำลังที่สุดยอดเเล้วก็มีความสามารถที่ดีมาก พวกเขาเลยต้องการการฝึกที่ดีที่สุด ที่สามารถให้ได้โดยโค้ชที่ดีที่สุดเท่านั้น ในทางกลับกันครูพละในโรงเรียนมัธยมหรือประถมนั้นต้องรู้พืื้นฐานเกี่ยวกับกีฬากรีฑาทั้งหมด รวมไปถึงสามารถฝึกบาส ฟุตบอล ปิงปองด้วย
มันเป็นไปได้ว่าจะมีคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านที่พวกเขาถนัดอย่างเดียว โค้ชที่สามารถเข้ามาในทีมชาติได้จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ เเล้วยังต้องถูกยอมรับในวงการของกีฬานั้นๆอีกด้วย เพราะอย่างนั้น การที่พวกเขาต้องมาเจอกับคำถามที่ครอบครุมทุกสายกีฬากรีฑาขนาดนี้ ทุกคนเลยไม่มั่นใจในคะเเนนสอบของตัวเองเลยซักคน
เดต่หลี่ไต้นั้นเป็นข้อยกเว้น! เขามั่นใจในผลการสอบครั้งนี้ของเขามาก เครื่องตรวจสอบสามารถบอกทั้งข้อดีเเละข้อเสียของนักกีฬาให้เขาได้ ซึ่งช่วยให้เขาหาคำตอบของคำถามซูหลี่ได้ทันที เขาได้คำตอบมาอย่างง่ายดายมาก เเละที่สำคัญ การที่ถามในทุกประเภทกีฬานั้นไม่ได้มีปัญหาสำหรับหลี่ไต้เลย ด้วยสูตรโกงชื่อว่าเครื่องตรวจสอบขั้นสูงนี้เอง ทำให้หลี่ไต้รู้จุดอ่อนของนักกีฬาอย่างกับเป็นโค้ชมาให้เเล้ว10ปี เเล้วถึงเเม้ว่าเขาจะมีความรู้ในด้านกีฬานั้นๆน้อยมากก็ตาม เเผนการฝึกพัฒนานั้นก็ง่ายๆสำหรับเขา เขาสามารถหาคำตอบได้จากตำราเเละเอกการสารการฝึกกีฬา
มันคล้ายๆกับการวินิจฉัยโรคของหมอเเหล่ะ หมอทุกคนรู้เกี่ยวกับวิธีการรักษาเเละการใช้ยาสำหรับโรคภัยดีอยู่เเล้ว เพราะว่าพวกเขาก็ยังมีตำราอยู่ ส่วนที่ยากที่สุดจริงๆของการวรักษาโรคก็คือการวินิจฉัยโรคเองเนี่ยละ โรคภัยต่างก็ส่งผลหลากหลายอาการเเล้วบางทีอาการเดียวกันนั้น ก็สามารถเกิดได้จากโรคหลายๆโรคได้ ดังนั้น การวินิจฉัยโรคของคนไข้นั้นเป็นบททดสอบที่เเท้จริงของความสามารถของหมอ
เเละในตอนนั้นเองหลี่ไต้ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมอที่มีสูตรโกงรู้โรคของคนไข้ได้ด้วยเครื่องตรวจสอบขั้นสูง เครื่องนี้มันเป็นอุปกรณ์โคตรโกงที่เเหกกฏธรรมชาติเอามาดๆ เเต่มันก็ช่วยให้เขาผ่านการทดสอบนี้ไปได้เเน่ๆ
เเต่ถึงอย่างนั้น พอเห็นใบหน้าที่ลำบากใจของทุกๆคนเเล้ว หลี่ไต้ก็ฝังความมั่นหน้ามั่นใจของตัวเองเอาไว้ รอบที่เเล้วเขาได้คะเเนนเต็มทำให้เขาเด่นดังอยู่เเล้ว เขาไม่อยากเรียกความสนใจด้วยความเก่งของตัวเอง ถึงเเม้ว่าผลลัพท์จะเป็นตัวชี้ขาดในวงการกีฬา ที่ๆผู้เเข็งเเกร่งจะถูกยกย่อง ผู้ร้ายอย่างฉวงซูฉีที่เล่นสกปรกสามารถสร้างปัญหาให้กับหลี่ไร้ได้อีกมาก เขาเลยจำเป็นต้องหักหน้าฉวงทิ้งไปก่อน
ตอนนี้ฉันควรอยู่เงียบๆเเล้วทำตัวไม่เด่นเข้าไว้ ตอนที่เขาคิดนี้เอง หลี่ไต้ก็พยายามเสเเสร้งเเกล้งทำเป็นว่ากังวลไฟลนก้นให้เหมือนกับโค้ชคนอื่นๆ
“เห้ออ!”หลี่ไต้ถอนใน เเล้ววางตะเกียบลง “กินข้าวไม่ลงเลยเเหะ”
“เออ เหมือนกัน ใครมันจะไปมีอารมณ์กินลงตอนนี้ละ?” ใครบางคนข้างๆเขาพูด
หลี่ไต้นั่งมองหมูทอดกับเเตงกวาบนจานของเขา ก่อนที่มันจะลงกระทะ แตงกว่านี้ถูกเอาไปดองกับเกลือ มันต้องอร่อยมากๆเเน่ๆเลย หลี่ไต้เริ่มน้ำลายไหลเเต่ตอนนี้เขาต้องทำตัวเป็นคนเบื่ออาหารก่อนเขาพยายามห้ามใจไม่ให้กินเเตงกวาในจาน
โถ่วเอ้ยเเตงกวาทอดลูกพ่อ ฉันละอยากจะลิ้มรสเเกเหลือเกิน น่าสงสารจริงๆ! หลี่ไต้คิดกับตัวเอง