Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 160
กระดาษA4แผ่นหนึ่งถูกแปะอยู่บนบอร์ดประกาศหน้าห้องประชุม ผลการสอบคัดเลือกนั้นถูกประกาศแล้ว หลี่ไต้เห็นชื่อของเขาอยู่ในแผ่นกระดาษนั้นแล้วก็โล่งใจขึ้นมา
กระดาษคำตอบนั้นยังไม่ถูกคืนกลับมาให้ ส่วนมากก็เพราะว่าคำถามนั้นมันไม่ค่อยมีคำตอบที่เป็นมาตรฐาน และเพราะอย่างนี้ โค้ชที่เหลือก็ยังคงไม่มั่นใจในการสอบของตัวเองอยู่ดี
สิ่งที่หลี่ไต้ไม่รู้ก็คือ คะแนนเต็มของเขานั้นไม่ใช่แค่ทำให้เขาตกใจ แต่ซูหลี่ก็ตกใจด้วย
หลี่ไต้เริ่มมีความรู้สึกว่าโค้ชผู้โชคดีที่ยังอยู่ทั้งหมดนี้คงจะเก่งพอพอกับเขา ถึงแม้ว่าคำตอบของพวกเขาจะเทียบเท่าเขาไม่ได้เลยก็ตาม แต่เอาความเป็นจริงแล้ว คำตอบของหลี่ไต้เองก็ยังเยอะกว่าโค้ชที่อยู่ในทีมชาติดั่งเดิมอยู่แล้วบางคนด้วย!
หลี่ไต้มองไปรอบๆแล้วเขาก็พบว่ามีใครบางคนกำลังตื่นเต้นกับผลที่ออกมา ส่วนคนอื่นๆนั้นกำลังโศกเศร้า เขานับจำนวนโค้ชที่สอบผ่านการทดสอบนี้ มีชื่ออยู่แค่10ชื่อ หมายความว่าอีก20คนที่เหลือโดนคัดออก
โครงการนี้เริ่มต้นโดยมีโค้ชมากกว่า60คน แล้วก็เหลือ30หลังจากผ่านการคัดเลือกจากตำรวจ แล้วตอนนี้ก็เหลือ10คนแล้ว อัตราการคัดออกถือว่าสูงมาก หลี่ยังจำทฤษฏีการระดมทุนที่ซูฮงหยีบอกเขาได้
ซูฮงหยีเคยบอกเอาไว้ว่านอกเหนือจากการคัดเลือกคนที่มีพรสวรรค์เข้าไปแล้ว จุดประสงค์ของโครงการฝึกที่จัดขึ้นโดยทีมชาตินี้ คือการช่วยเอาทุนจากทางรัฐบาล โครงการระดมทุนนี้จะใช้เวลานานถึง5ปี ยิ่งมีผู้เข้าร่วมเหลือรอดน้อยเท่าไร ค่าฝึกซ้อมและพัฒนาก็ยิ่งน้อยเท่านั้น ค่าใช้จ่ายในการฝึกคน60คนนั้นก็ย่อมแตกต่างกับการฝึกคนแค่30คนอยู่แล้ว ยิ่งมีแค่10คนที่ผ่านเข้าไปแล้ว เงินทุนที่ทีมชาติจะเหลือไว้ใช้จ่ายอย่างอื่นนั้นก็ยิ่งเหลือๆเลย บางทีอาจจะมีไปสร้างนู้นสร้างนี้ใหม่ด้วย
“ผลการสอบก็ประกาศออกมาแล้วนะ ยินดีด้วยสำหรับคนที่ได้อยู่ต่อ แล้วก็สำหรับคนที่สอบตก อย่าได้เสียใจไป พวกนายเก่งมากแล้ว ในอนาคต ถ้าพวกนายสามารถฝึกนักกีฬาที่สุดยอดออกมา แล้วได้ผลงานที่ดีเยี่ยม พวกนายก็ยังคงมีโอกาสที่จะได้เข้าทีมชาติอยู่ ประตูของทีมชาตินั้นเปิดต้อนรับคนที่มีพรสวรรค์เสมอ!”
หลังจากที่ซูหลี่พูดปรอบใจแล้วก็เรียกขวัญเล็กๆน้อยๆแล้ว ซูหลี่ก็พูดต่อ “ทีมชาติได้เตรียมของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆไว้ให้กับคนที่กำลังจะออกไป ของที่ระลึกนั้นตั้งอยู่ข้างนอกห้องประชุม พวกคุณออกไปหยิบได้เลยนะ”
คนที่ฉลาดๆหน่อยก็จะรู้ทันทีเลยว่านี้เป็นคำสั่งขับไล่มากกว่า การให้ของที่ระลึกก็แค่ทำให้มันดูซอฟลงเฉยๆ ที่ทีมชาติอยากจะบอกจริงๆคือ “หยิบของละไปให้พ้น”ตั่งหาก
โค้ชที่ไม่ได้ถูกรับเลือกก็เดินออกจากห้องไป เหลือเพียงโค้ช10คนรวมถึงหลี่ไต้ที่ยังอยู่ในห้อง
ห้องประชุมนั้นโล่งขึ้นมาทันตา พอมองไปที่ซูหลี่ที่ยืนอยู่ข้างหน้าห้องแล้ว หลี่ไต้ก็รู้สึกว่าซูหลี่นั้นดูมีอำนาจมากกว่าแต่ก่อน
จากนั้นซูหลี่ก็เริ่มพูด “จากที่ผมบอกก่อนหน้านี้ โครงการฝึกนี้จะแบ่งเป็น3ช่วง คัดเลือก ฝึกฝน และทดสอบ พวกคุณได้ผ่านช่วงคัดเลือกไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาจะได้เข้าสู่ช่วงฝึกฝนแล้ว”
“ผมได้อ่านประวัติย่อของพวกคุณหมดแล้ว พวกคุณทุกคนมีความถนัดที่แตกต่างกันไป ซึ่งผมเองก็ได้ค้นพบตอนที่ตรวจกระดาษข้อสอบของพวกคุณ ดังนั้น ทางทีมชาติจึงมอบหมายให้พวกคุณ ไปทำการฝึกในกลุ่มกีฬาต่างๆ โดยจะส่งไปตามความถนัดของพวกคุณเอง”
หลายๆคนในห้องนั้นถอนใจอย่างโล่งอก ไม่มีใครอยากจะไปเจอกับการฝึกที่ไม่คุ้นเคยด้วย โค้ชวิ่งระยะไกลก็คงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกขว้างจักรหรอก เพราะพวกเขาไม่ได้เอาจักรมาติดเท้า
หลี่ไต้ก็เตรียมแผนของเขามาแล้วเช่นกัน. การคัดเลือกเข้ากลุ่มนี้จะเป็นไปตามความถนัดของโค้ช ความถนัดที่ฉันเขียนลงไปในประวัติย่อคือกระโดดไกล ดูเหมือนว่าฉันคงโดนส่งไปกลุ่มกระโดดไกลแน่ๆ ในอนาคต ถ้าฉันได้มีโอกาสได้ไปที่ศูนย์ฝึกเป๋ยโข่ว บางทีฉันอาจจะได้เจอกับฝางไฮควานก็ได้ จะว่าไป ฝางไฮควาน ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว ดูเหมือนว่าพอฉันกลับไปที่ฉิงเฉิงฉันคงต้องขอให้ฉันเลี้ยวข้าวมื้อใหญ่ที่ร้านบ้านแชมเปี้ยนแหงๆ
ในตอนที่หลี่ไต้กำลังนึกถึงเมนูในร้านบ้านแชมเปี้ยนอยู่นั้น ซูหลี่ก็เริ่มบอกรายชื่อกลุ่มของโค้ชทั้งหลาย
“เฉินกวง ทีมกระโดดไกลที่2 ฉินโหยวเฉิงจะเป็นคนฝึกคุณ”
“จุนวู ทีมขว้างที่3 โค้ชฮวงโฮจะเป็นคนฝึกคุณ”
สูเฉิงหลง ทีมวิ่งระยะไกลที่1 โค้ชไคฮั่วจะเป็นคนฝึกคุณ”
“หลี่ไต้…”สุดท้ายแล้วซูหลี่ก็เรียกชื่อหลี่ไต้ หลี่ไต้เงียหูฟังทันที
“ทีมวิ่งเร็วที่1”ซูหลี่พูด
เดี๋ยวนะ อะไร ทีมวิ่งเร็วที่1เหรอ? ไม่ใช่ใช่ทีมกระโดดไกลหรอกหรอ! หลี่ไต้ตกใจ
ตอนที่เขาสมัครเข้าทีมชาติมานั้น เขากรอกใบสมัครไปว่า เขาถนัดการฝึกกระโดดไกล เขายังแนบไปด้วยว่าเขาเป็นหัวหน้าโค้ชของฝางไฮควานด้วย เพราะอย่างนี้ หลี่ไต้เลยค่อนข้างมั่นใจถึง90%ว่าเขาจะได้รับเลือกให้ไปลงในทีมกระโดดไกลแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับได้ยินคำที่ออกมาจากปากซูหลี่ว่า “ทีมวิ่งเร็วที่1”
ทีมวิ่งเร็วที่1ต้องรับผิดชอบการวิ่ง100เมตรอกับ200ซิ ตอนแรกฉันก็เปลี่ยนจากทุ่มน้ำหนักมาเป็นกระโดดไกลทีนึงละนะ รอบนี้ยังต้องเปลี่ยนไปเป็นวิ่งเร็วอีก แล้วทีนี้ใครเป็นครูฝึกฉันกันละ
ในตอนที่หลี่ไต้คิดอยู่นั้นเอง ซูหลี่ก็พูดคำตอบของคำถามนั้นขึ้นมา
“โค้ชซูหลี่จะเป็นคนฝึกคุณ”
เดี๋ยว ใครอะ ซูหลี่? หลี่ไต้มองหน้าซูหลี่ด้วยหน้าช๊อกๆ
ในตอนนั้นเอง ซูหลี่ก็มองหน้าเขากลับแล้วพูด “ได้ยินแล้วนี้ ใช่ ฉันเอง!”
…
“โถ่วโค้ชหลี่ฉันละอิจฉานายจริงๆ! นายจะโดนซูหลี่คนนั้นสอนให้เชียวนะ”
“อิจฉาฉันเหรอ เอาจริงๆ สลับกันได้มะ ดูแค่หน้าโค้ชซูหลี่ก็ทำฉันขนลุกไปหมดละเนี่ย!”หลี่ไต้คิดถึงหน้าโหดๆของซูหลี่ กับหัวล้านๆแล้วก็ท่าทางจะหาเรื่องตลอดเวลา …แม่งโคตรโจรเลยนี้หว่า
“ถึงโค้ชซูจะน่ากลัวไปหน่อยแต่เขาก็ออกจะเป็นคนดีนะ อีกอย่าง ในฐานะที่เขาเป็นรองหัวหน้าโค้ชของทีมชาติ เขาเลยรับผิดชอบการคุมการฝึกรายวันแล้ว เขายังเคยเป็นนักกีฬาวิ่งเร็วด้วยนะ ดังนั้นทีมวิ่งเร็วที่1เลยได้ทรัพยากรการฝึกมากกว่าทีมฝึกทีมอื่นๆ!”
หลี่ไต้พยักหน้าบอกความเข้าใจ แน่นอนว่าการที่ทีมวิ่งเร็วที่1มีทรัพยากรการฝึกมากกว่าชาวบ้านนั้นก็คงเป็นเพราะซูหลี่คนนั้นนะละ
กฎนี้มันใช้ได้กับทุกวงการจริงๆ คนที่เป็นหัวหน้ามักจะได้รับการดูแลที่ดีกว่าชาวบ้านเขาในแผนกที่พวกเขาทำงานอยู่ กฎนี้มันจะเห็นชัดเจนมากในอุสาหกรรมพวก วิทยาศาสตร์ การศึกษา วัฒนธรรม สุขภาพ แล้วก็วงการกีฬาก็ด้วย
ในมหาวิทยาลัยนั้น ถ้าเกิดประธานใหญ่ไปเป็นอาจาร์ยในแผนกละก็ แผนกนั้นก็จะมีทรัพยากรมากกว่าแผนกอื่นอย่างแน่นอน ทั้งเรื่องของเงินทุนสนับสนุน ทั้งเรื่องของการดูแลอย่างพิเศษในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือในโรงพยาบาลถ้าเกิดผู้จัดการมาเป็นหมอในแผนกไหนก็ตาม แผนกนั้นก็จะใหญ่กว่าแผนกอื่นขึ้นมาทันที แล้วก็ได้สิทธิพิเศษอย่างเช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์เยอะกว่าหรือว่าได้รับการฝึกบุคลากรเพิ่มเติม
และเพราะว่าซูหลี่เคยเป็นนักวิ่งเร็วด้วย แล้วก็รับผิดชอบในการฝึกของทีมวิ่งเร็วที่1ด้วย ทรัพยากรการฝึกเลยถูกจัดสรรไปให้ทีมวิ่งที่1มากกว่าปรกติ
“ในฐานะที่เขาเป็นรองหัวหน้าโค้ชทีมชาติ ซูหลี่คงให้โอกาสนายได้มีส่วนร่วมในการฝึกแน่ๆในฐานะลูกศิษย์ของเขา นายอาจจะได้ตามเข้าไปแข่งในต่างประเทศด้วยก็ได้นะ”โค้ชข้างๆหลี่ไต้พูดด้วยความชื่นชม
ฉันอาจจะได้มีส่วนร่วมในการแข่งด้วย หลี่ไต้เชิดหน้าขึ้น เขาเริ่มรู้สึกได้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ที่ไปอยู่เป็นลูกศิษย์ของซูหลี่