Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 161
//เนื้อหาในตอนนี้อาจจะไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะส่วนมากจะเป็นเรื่องเทคนิคนะครับ//
ในสนามฝึกซ้อมของทีมวิ่งเร็วที่1 ระหว่างที่กำลังจับจ้องไปที่สนามซ้อม ซูหลี่ก็พูดว่า “ฉันอ่านประวัติย่อของนายหมดเเล้ว นายพึ่งเรียนจบมาเมื่อ3ปีก่อนนี้เอง นายคงมีความรู้ด้านการวิ่งเร็วบ้างเเล้วซินะ?”
หลี่ไต้พยักหน้า “ก็นิดหน่อยอะครับ เเต่ความรู้ที่เราได้เรียนมามันเเค่ผิวเผินมากเลยนะครับ”
“อื้อ ฉันรู้เเล้วละ ฉันเคยไปเข้าร่วมการเรียบเรียงทรัพยากรการสอนของการวิ่งเร็วในมหาลัยมาเเล้ว เเต่บอกตามตรงเลยว่า ทรัพยากรความรู้ที่มีมันล้าหลังมากเเล้ว ตอนนี้เราอยู่ในยุคของข้อมูลสื่อสารเเล้ว มีเทคโนโลยีใหม่ๆมากมายผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เเต่วงการกีฬาก็ยังยอกได้เเค่คำเดิมคือสถิติมีไว้ทำลาย ดังนั้นนักกีฬาจึงต้องเร็วขึ้นเเละเเกร่งขึ้นเท่านั้น”ซูหลี่พูด
หลี่ไต้ไม่ค่อยเข้าใจที่ซูหลี่พูดเท่าไร เขาเลยพยักหน้าเงียบๆเเล้วตั้งใจฟัง
จากนั้นซูหลี่ก็ถาม “ถ้าตามที่นายเรียนมาในมหาลัย การวิ่งเร็วให้ความสำคัญกับการออกตัวมากๆเลยใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ถ้าตามตำรานักวิ่งเร็วควรจะยืดข้อต่อของทั้งสะโพกเข่า ข้อเท้าให้ได้มากเท่าที่จะทำได้เพื่อที่ตอนพวกเขาออกตัว จะได้สร้างเเรงผลักที่จะเกิดเป็นควาทเร็วขึ้นมา”หลี่ไต้พูด
“ใช่เเล้ว เมื่อก่อนนี้ฉันเองก็เชื่อเหมือนกัน เราเชื่อว่าองศาของหัวเข่าของขาข้างที่ขับเคลื่อนตัวเองนั้นควรจะเป็น180องศา พวกเราเลยใส่มันลงในตำราด้วย เเต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้ขอให้นักกีฬายืดขาหรอก เทคนิคที่เราเล็งใช้กันสมัยนี้เรียกว่า เทคนิคการงอขาขับเคลื่อน”ซูหลี่อธิบาย
“เทคนิคการงอขาขับเคลื่อนเหรอครับ หมายความว่าขาที่จับเคลื่อนไม่ได้ยืดออกจนสุดเหรอครับ?”หลี่ไต้ถาม
“ใช่เเล้ว เราเคยเชื่อว่าขาหลังของเราตอนออกตัวนั้นเป็นได้เเค่เเรงขับเคลื่อนในการวิ่งเฉยๆ เเต่ทฤษฏีนี้เน้นไปที่ไปที่เเรงต้านทานของขาหน้า เเต่ถึงกระนั้นผลขับเคลื่อนของขาหลังควรจะถูกเน้นมากกว่า การปรากฏตัวของกริทเทลเปลี่ยนความเชื่อของพวกเราไป”ซูหลี่พูด
กริทเทลที่ซูหลี่พูดถึงนั้นเป็นนักกีฬาจากจามัยก้า ประเทศเเห่งการวิ่ง พวกเขาสร้างนักวิ่งระดับโลกมาหลายคนเเล้วเหมือนกับว่าทุกคนในประเทศนั้นอย่างน้อยก็ซอยขาหนีหมาพ้น เเล้ว1ในเเชมป์โลกพวกนั้น กริทเทลคือคนที่ดีที่สุด นอกจากวิ่งเร็วเเล้วรวมไปถึงวิ่งข้ามรั้วด้วย เขาได้เหรียญทอง9เหรียญในกีฬาโอลิมปิค3ครั้งเขาเป็นคนที่ทำลายสถิติโลกในรุ่น100กับ200เมตรหลายครั้งด้วยกัน เเล้วสถิติโลกที่เขาทำไว้นั้น เป็นอะไรที่ไม่มีวันเเตก ถึงเเม้ว่าหลี่ไต้จะยังไม่เคยเจอกริทเทลตัวเป็นๆก็ตาม เเต่เขาก็มั่นใจได้เลยว่าพรสวรรค์ของกริทเทลนั้นต้องเป็นระดับสูงสุดอย่างS+เเน่นอน เขาเป็นเจ้าตำนานของวงการวิ่งในยุคนี้
ซูหลี่พูดต่อ “เทคนิคที่กริทเทลใช้เรียกว่าเทคนิคการงอขาขับเคลื่อน ความกว้างขององศาเข่าถ้าเทียบกับจุดเริ่มต้น90องศานั้นน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้น จุดส่วนถ่วงของเขากลับเสถียรมาก ซึ่งพวกเราเองไม่อาจเข้าใจได้เลย มันเเทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรักษาเสถียรภาพของจุดศูนย์ถ่วงระหว่างที่ออกตัวอย่างรุนเเรง
“หลังจากนั้นเราก็พบว่าเราเน้นหนักไปที่ปัจจัยในการวิ่งตอนนั้น มากกว่า ซึ่งเราควรที่จะคิดจากการวิ่งโดยรวมมากกว่า เราเน้นไปที่เเรงต้านทานของขาหน้าเเละเเรงขับจากขาหลัง ซึ่งผลที่ได้คือการไม่สมส่วนระหว่างกล้ามเนื้อขาส่วนหน้ากับกล้ามเนื้อขาส่วนหลัง เเรงจากกล้ามเนื้อส่วนหลังนั้นน้อยกว่าเเรงกล้ามเนื้อส่วนหน้าพอสมควร ดังนั้นเเรงนี้มันเลยส่งผลไปถึงจุดศูนย์ถ่วง ซึ่งก็ยืนยันได้ว่าจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายเรานั้นสามารถย้ายไปตำเเหน่งที่2อย่างรวดเร็วได้”
การอธิบายของซูหลี่นั้นมันอาจจะทำให้คนธรรมดางงเเตกไปเลยก็ได้ เเต่สำณับหลี่ไต้นั้นมันเหมือนเป็นการบรรลุมากกว่า หลี่ไต้รู้สึกเหมือนกับว่าความเข้าใจในการวิ่งเร็วของเขานั้นมากขึ้นไปอีกระดับนึงเเล้วหลังจากเเค่ยืนฟังตำอธิบายของซูหลี่
ซูหลี่ยังพูดต่อ “ในขณะเดียวกันนั้น งานวิจัยของเราทำให้เห็นว่าเเรงขับเคลื่อนของกริทเทลนั้นไม่ได้มาจากการออกตัวอย่างเดียวเเต่มันมาจากการเหวี่ยงขาหน้าด้วย เมื่อก่อนเราเข้าใจว่าการออกตัวนั้นเป็นเเรงขับเคลื่อนเเล้วก็สร้างความเร็วเเล้วจากนั้นก็สร้างเเรงต้านทาน เเล้วก็อาจจะเป็นสาเหตุของความเร็วที่ตกลงได้ เพราะอย่างนี้เราเลยเน้นไปที่ความสำคัญของเเรงในการออกตัวเช่นเดียวกับองศา พิกัด เเละความเร็วจากการยืด”
“เเล้วหลังจากเราเริ่มใช้เทคนิคงอขาขับเคลื่อนเเล้ว ทฤษฏีการยืดขาเเบบเก่าก็หายไป ตอนนี้วิธีทางเดียวที่จะเพิ่มความเร็วได้คือให้ความสำคัญกับการเหวี่ยงขาหน้า มันเป็นเทคนิคที่ประสมผสานการเหวี่ยงขาหน้ากับการออกตัว ดังนั้น เทคนิคการวิ่งเร็วล่าสุดที่ทีมชาติใช้คือการผสานการเหวี่ยงขาหน้ากับการออกตัว โดยเน้นไปทราการเหวี่ยงขาหน้าเพื่อช่วยออกตัว”
“นายควรจะรู้ไว้ว่านักกีฬาในท่ายืนนั้นสามารถทำได้เเค่การออกตัวเท่านั้น ในขณะที่เเรงส่งมันพุ่งไปข้างบน พวกเขาจึงไม่สามารถพุ่งไปข้างหน้าได้ ถ้านักกีฬางอขาเเล้วเหวี่ยงไปข้างหน้าเเล้วขึ้น จุดศูนย์ถ่วงของพวกเขาก็จะพุ่งไปข้างหน้าด้วยเหมือนกัน ซึ่งผลที่ออกมาก็คือในตอนที่วิ่งนั้นร่างกายก็สามารถรักษาสมดุลไว้ได้ที่ขาหลังในขณะที่ขาหน้ากำลังสร้างเเรงขับไปที่พื้นในรูปเเบบกดลงเเล้วกลับหลัง เพื่อสร้างเเรงส่งให้ร่างกายไปข้างหน้านี้เป็นหลักการง่ายๆของการออกตัวด้วยการเหวี่ยงขาหน้า”
หลี่ไต้พยักหน้า “เข้าใจเเล้วครับ เอาง่ายคือทฤษฏีการฝึกเเบบเก่าบอกว่าการออกตัวนั้นเป็นเเรงขับเคลื่อน ในขณะที่ขาหน้าที่เหวี่ยงไปนั้นใช้เเค่ควบคุมทิศทางให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าเฉยๆ เเต่ตอนนี้เรารู้เเล้วว่าทั้งการออกตัวเเละการเหวี่ยงขาเป็นเเรงขับเคลื่อนหมด การใช้งานทั้ง2อย่าพร้อมๆกันก็จะเหมือนกับรถ4วีลที่ขับเคลื่อน4ล้อ เเทนที่การขับเคลื่อนจากล้อหลังเเบบรถสมัยก่อน”
“พูดได้ดี! ถ้าอธิบายด้วยรถละเข้าใจขึ้นเยอะเลย”ซูหลี่มองหลี่ไต้อย่างชื่นชม ตาของเขาไม่เคยมองผิด หลี่ไต้คนนี้เป็นโค้ชที่มีพรสวรรค์จริงๆ
หลี่ไต้ไม่ใช่เเค่มีระบบโค้ชอย่างเดียวเเต่เขายังมีพรสวรรค์อีกด้วย เขาเรียนรู้ได้ไว เเล้วก็ขยันอยู่ตลอด หลังจากเจอประสบการณ์ที่ลำบากลำบนตลอด3ปีมานี้ เขาก็เริ่มมีความ
สามารถที่จะเรียนรู้อะไรได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เเค่เอาเเต่ในหนังสือเหมือนเด็กจบมหาลัยทั่วไป
ซูหลี่ยังไม่จบการพูด เขาสอนเหมือนอาจารย์เเล้วพูด
“การวิ่งเร็วมันเป็นกลไกทางร่างกายที่ซับซ้อนที่รวมเอาหลายท่าทางมันมัดรวมกัน มนุษย์เป็นสัตว์ยืนได้ การเคลื่อนที่ในเเนวตรงนั้นเลยง่ายกว่าการเคลื่อนที่ในเเนวขวาง ดังนั้นนักวิ่งทั้งหลายเลยออกตัววิ่งได้ค่อนข้างง่าย จากนั้นก็เริ่มเพิ่มความเร็ว เเละเพราะว่ายิ่งเร็วเท่าไรอัตราการเร่งก็ใช้เวลาน้อยเท่านั้น มันเลยยากสำหรับคนเราที่จะพัฒนาเเรงออกตัวต่อไปได้ ในขณะเดียวกันยิ่งความเร็วเพิ่มขึ้น นักกีฬาก็ต้องเจอกับเเรงต้านอากาศที่มากขึ้นด้วย
ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถปรับให้มันลู่ลมได้ มันเลยยากที่จะปะทะกับกับปัญหาเเรงต้านอากาศตรงๆ เเต่ทางอเมริกาเขาก้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นชุดเเข่งที่ลดเเรงต้านของอากาศลงได้ อย่างเช่นชุดรัดรูปที่ทำจากวัสดุนาโน ตอนนี้ก็มีอยู่ทั่วโลกเเล้ว
“เเต่ถึงอย่างนั้น การมาของกริทเทลก็ทำให้พวกอเมริกันรู้ตัวเลยว่าเทคโนโลยีของพวกเขานั้นกระจอกไปเลยเมื่อเทียบกับพลังดิบๆ เเค่ใส่เสื้อธรรมดาๆกับกางเกงขาสั้น กริทเทลก็ยังวิ่งเร็วกว่าพวกอเมริกาอยู่ดี ดังนั้น ร่างกายที่เเข็งเเรงกับเทคนิคที่ดีเยี่ยมเท่านั้นที่เป็นปัจจัยในการพัฒนาความสามารถ”
“สำหรับเรื่องเเรงเบรกนั้น ปัจจัยสำคัญในการลดเเรงเบรกก็คือลดความเร็วในการลงเท้าถึงพื้นยิ่งลดความเร็วการลงเท้าถึงพื้นได้มากเท่าไร ก็ยิ่งได้ผลมากเท่านั้น ความเร็วการลงเท้าของนักกีฬาในประเทศเราประมาณ1.35เมตรต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าความเร็วของมะกันถึง17% เพราะอย่างงี้พวกเรายังจำเป็นในการช่วยพวกเขาพัฒนาในส่วนนี้อยู่”
เมื่อซูหลี่พูดจบ เขาก็ชี้ไปที่นักกีฬาที่วิ่งอยู่เเล้วถาม “ดูเขาซิ บอกข้อดีเเละข้อเสียของเขาในการลงเท้าได้ไหม?”
หลี่ไต้รู้ว่านี้เป็นคำถามเเรกที่ซูหลี่ให้เขา เขาเลยตั้งใจสังเกตเป็นพิเศษ