Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 162
ถึงเเม้ว่าเขาจะมีเครื่องตรวจสอบขั้นสูงที่โคตรโกงเเหกกฏธรรมชาติ เเต่หลี่ำต้ก็ไม่ได้อยากพึ่งพิงเครื่องมือโกงๆเเบบนั้นซักเท่าไร ดังนั้นเขาจึงวิเคราะห์ด้วยความรู้ที่เขามีเเทน เเล้วสรุปออกมาด้วยตัวเองก่อน หลังจากนั้นเข้าก็ตรวจสอบด้วยเครื่องตรวจสอบขั้นสูง เขาใช้เครื่องนั้นเพื่อเช็คคำตอบที่เขาได้มา้ท่านั้น เพื่อว่ามีบางอย่างที่เขายังพลาดหาไม่เจอ
นี้มันก็คล้ายๆการทำงานกับปัญหายากๆ ลองเเก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน พอได้คำตอบเเล้ว ก็เช็คคำตอบกับเฉลยที่ถูก ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าคำตอบเดิมของเราจะถูกรึไม่ก็ตาม เราก็มักจะหาุดอ่อนของตัวเองเจอเสมอเเล้วได้ความรู้ใหม่ๆอีกด้วย
เครื่องตรวจสอบนั้นตรวจเจออะไรหลายๆอย่างที่หลี่ไต้พลาดไป
การวิเคราะห์ของฉันเองเข้าตรงประเด็นละนะ เเต่มันยังเทียบกับเครื่องตรวจสอบไม่ได้เเม้เเต่น้อยเลย นี้ดูเหมือนว่าจะเป็นช่องว่างระหว่างฉันกับโค้ชระดับสูงในด้านการสังเกตุซินะดูเหมือนว่าฉันคงต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย
หลี่ไต้หายใจลึกๆเเล้วตอบคำตอบที่ถูกต้องตามที่เครื่องตรวจสอบให้มา “เทคนิคการลงพื้นของเขานั้นมีเเรงผลักดันที่มากพอเเล้ว ขาลอยสูง สะโพกเคลื่อนไหวเร็ว เหวี่ยงขาไปข้างหน้าได้อย่างเเม่นยำ เเล้วข้อเสียของเขาก็คือ การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของจุดศูนย์ถ่วงของเขานั้นยังไม่เร็วพอ นั้นส่งผลให้เกิดการไม่ผสานกันของการเคลื่อนไหว เเล้วพอส้นเท้าเขาลงถึงพื้น ขาเขายืดออกมากเกินไปทำให้เกิดเเรงตึงมากที่เข่า”
“ดีมาก!”ซูหลี่ชมเขาออกหน้าออกตา ข้อดีเเละข้อเสียที่ถูกพูดออกมาโดยหลี่ไต้นั้น ยังคงไร้ที่ติเช่นเดิม เเต่ถึงอย่างนั้นซูหลี่ก็อดตกใจไม่ได้ หลี่ไต้เองก็ยังตอบไม่หมดดี เขายังมีอีกประโยคนึงที่เหลืออยู่
“เพราะว่าเเรงตึงที่เข่า ทำให้เขาปวดเอ็นข้อเท้าอยู่ตอนนี้ ยังไม่หายดีด้วย…”
อาการปวดเอ็นข้อเท้านั้นเป็นคำตอบที่ถูกให้มาโดยเครื่องตรวจสอบนั้น ซึ่งไม่ได้ถูกพบโดยความสามารถในการสังเกตของหลี่ไต้ แม้แต่ซูหลี่ยังไม่สังเกตอาการบาดเจ็บนั้นเลย
สำหรับนักกีฬานั้น การบาดเจ็บระหว่างการฝึกซ้อมหรือระหว่าการแข่งนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ปรกติแล้วนักกีฬาจะรายงานเรื่องปัญหาทางร่างกายกับโค้ชทันที โค้ชคนนั้นจะได้ดูแลเรื่องอาการบาดเจ็บนั้นได้ โค้ชนั้นไม่สามารถอ่านใจนักกีฬาได้ นอกเหนือจากการรายงานโดยตรงจากนักกีฬาแล้ว โค้ชจะไม่รู้อาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆของนักกีฬาเลย อย่างเช่นอาการฟกช้ำหรือปวดข้อต่างๆ
แต่หลี่ไต้พูดว่านักกีฬาคนนั้นกำลังปวดเอ็นข้อเท้าอยู่
เขาปวดเอ็นข้อเท้างั้นเหรอ? นายหาเจอได้ยังไง!ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย ซูหลี่เบิกตากว้างอย่างตกใจ
“ว่าไงนะ? ปวดข้อเท้างั้นเหรอ?”ซูหลี่ถาม
หลี่ไต้พยักหน้าอย่างจริงจัง เขาเชื่อว่าเครื่องตรวจสอบนี้มันไม่ผิดพลาดแน่ๆ
อาการบาดเจ็บที่เอ็นข้อเท้านั้น เป็นไปได้ว่ามันสามารถเป็นได้ทั้งเบาๆจนไปถึงเป็นหนักๆ ซูหลี่ไม่มีเวลาเช็คคำพูดจริงของหลี่ไต้เท่าไร เขาเรียกโค้ชของนักกีฬาคนนั้นมาทันที
“หวาง ชูเค่อฉีคนนั้นปวดข้อเท้ารึเปล่า? ทำไมนายไม่มารายงานฉัน?”ซูหลี่ถามไปตรงๆ
“ปวดข้อเท้าหรอ ไม่นี้ ชูเค่อฉีไม่ได้พูดอะไรกับฉันเลย”โค้ชหวางตกใจมาก ซูหลี่มองหลี่ไต้อย่างโกรธเหมือนกับว่าจะโทษหลี่ไต้ว่าพูดจามั่วซั่ว
โค้ชหวางอยากให้ซูหลี่เชื่อใจเขา เขากลัวว่าซูหลี่จะเข้าใจเขาผิด เพราะว่ายังไง ซูหลี่ก็ไม่ใช่แค่หัวหน้าของเขา แต่เขาเป็นถึงรองหัวหน้าโค้ชของทีมชาติ ดังนั้น โค้ชหวางโบกมือ แล้วเรียกชูเค่อฉีให้มาหาเขา
“ชูเค่อฉี ได้บาดเจ็บอะไรตรงไหนรึเปล่าระหว่างการฝึก?”โค้ชหวางถาม หวังว่าจะได้คำตอบจากชูเค่อฉี เขาอยากที่จะพิสูจน์ให้ซูหลี่เห็นว่าเขาพูดความจริง
แต่ถึงอย่างนั้น หน้าของชูก็เปลี่ยนสีไปอย่างรวดเร็ว
“โค้ชครับ เออ คือ ผมขอโทษครับที่ไม่ได้บอก คือ เมื่อคืนอะครับ ผมลื่นตรงทางไปห้องน้ำแล้วก็ปวดข้อเท้าอะครับ แต่หลังจากยืดหลายครั้งแล้ว ผมก็คิดว่ามันไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่ผมเลยไม่ได้บอกคุณครับ”ชูเค่อฉีพูด
“นายปวดข้อเท้าจริงๆด้วย! ทำไมนายไม่บอกบอกฉันให้เร็วกว่านี้ละ?”โค้ชหวางตกใจแล้วก็อายเล็กน้อย นักกีฬาบาดเจ็บแต่โค้ชกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ซึ่งมันอาจจะนับเป็นความผิดได้ ที่สำคัญกว่านั้น เขาโดนซูหลี่จับได้คาหนังคาเขาเลย
โค้ชหวางเหงื่อแตกทันที เขาหันกลับไปพยายามที่จะแก้ตัวกับซูหลี่
แต่ที่โค้ชหวางคาดไม่ถึงคือซูหลี่ก็ดูตกใจไม่ต่างจากเขาเลย
นี้เขาปวดข้อเท้าจริงๆด้วย หลี่ไต้มันเป็นคนยังไงกันว่า เขามีตาเอ็กเรย์รึไงถึงได้มองเห็นอาการบาดเจ็บแบบนั้นได้ ถ้าซูหลี่ไม่เห็นด้วยตาเขาเอง เขาอาจจะไม่เชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นเลยก็ได้
“โอเค นายไปได้แล้ว พาเขาไปหาหมอในห้องพยาบาลด้วย”ซูหลี่ให้โค้ชหวางกับนักกีฬานั้นกลับไปง่ายๆ แล้วถามหลี่ไต้ “ทำไงถึงได้สังเกตเห็นอาการปวดข้อของเขาได้ละ?”
ในตอนนั้นเองหลี่ไต้ก็เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองพูดมากไปแล้ว โค้ชไม่ควรจะหาอาการบาดเจ็บอย่างปวดข้อเท้าเจอเว้นแต่ว่านักกีฬาคนนั้นจะแสดงอาการผิดปรกติออกมา
แต่พอมาถึงจุดนี้แล้ว เขาหน้าหนาขึ้นเป็นกอง เขาเลยสลัดเรื่องนี้ทิ้งแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที “ผมรู้วิธีการนวดฟื้นฟูนะ ผมเคยเป็นนักนวดบำบัดอยู่หลายครั้งอยู่นะครับ”
“นายทำงั้นได้ด้วยเหรอ การนวดฟื้นฟูมันไม่ใช่ว่าจะทำชุ่ยๆได้นะ มันต้องเชี่ยวชาญจริงๆนะ”ซูหลี่พูด
“ผมเรียนมาจากที่มหาลัยหน่ะครับ ครูเองก็บอกว่าผมเป็นหมอนวดที่มีพรสวรรค์เข้าเลยสอนท่าให้ผมเยอะเลย”หลี่ไต้พูดแล้วพยายามแถจนสีข้างแทบถลอก
แต่ซูหลี่เองก็อยากให้หลี่ไต้ลองของด้วยเหมือนกัน เขาเลยตะโกนบอกชูเค่อฉี “ชูเค่อฉีกลับมานี้!”
ชูเค่อฉีคิดว่าเขาคงโดนซูหลี่ทำโทษซะแล้ว เขาวิ่งกลับมาด้วยหัวแทบจมดินพร้อมกับหน้าเศร้าๆ จากนั้นก็มองซูหลี่อย่างขอความเมตตา
“เอา หลี่ไต้ นวดให้เขาซิ”ซูหลี่บอก
“ได้เลย!”หลี่ไต้ให้ชูเค่อฉีนั่งที่พื้นแล้วถอดรองเท้าวิ่งของเขาออก ก่อนที่จะเริ่มนวดฟื้นฟูให้กับอาการปวดเอ็นข้อเท้าของชูเค่อฉี
แล้วอีกซักพักต่อมา ทั้งสนามฝึกก็โหยหวนไปด้วยเสียงร้องของชูเค่อฉี
“โอ้ยย มันเจ็บ เจ็บมาก โค้ชหลี่ทำเบาๆหน่อยซิครับ!”ชูเค่อฉีเหงื่อแคกเพราะความเจ็บจี๊ดแต่ต่อมาเขากลับรู้สึกสบายมากอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าเขากำลังเพลินกับการนวดอยู่
ซูหลี่ที่ยืนข้างๆพวกเขากำลังมองการนวดฟื้นฟูนั้นอย่างตั้งใจ
การนวดของเขาดูเป็นมืออาชีพมาก เขาต้องได้รับการฝึกพิเศษมาแน่ๆ! ดูจากหน้าของชูเค่อฉีแล้ว การนวดของเขาต้องได้ผลแน่ๆ หลี่ไต้คนนี้ทำให้ฉันประหลาดใจอยู่เรื่อบเลย ดูเหมือนว่าฉันต้องไปคุยกับชูเหล็นฮาวให้หลี่ไต้มาอยู่ในทีมชาติซะแล้ว
…
ชูเค่อฉียืนขึ้นแล้วสะบัดข้อเท้าจากนั้นก็กระโดดอีกหลายรอบ
“เป็นไงบ้าง?”ซูหลี่ถามตรงๆ
“หายดีเป็นปริดทิ้งเลยครับ! ผมไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว”ชูเค่อฉีตอบอย่างรื่นเริง
ซูหลี่หันไปมองหลี่ไต้แล้วพูด “เห้ย นายนี้ก็ใช้นี้หว่า ฉันเห็นนายนวดแล้ว ดูเป็นมืออาชีพมากเลย เคยได้ไปฝึกพิเศษที่ไหนมารึเปล่า”
หลี่ไต้ยิ้มอย่างสุภาพ ซูหลี่พูดต่อ “ดีทีเดียว ตอนแรกฉันกำลังคิดอยู่ว่าฉันควรจะพานายไปลงสนามตอนการแข่งกรีฑาชิงแชมป์ประเทศที่จะจัดขึ้นเดือนหน้าดีไหม แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้นายคงต้องไปกับฉันแล้วละ เพราะว่าฉันจะได้เอานายไปเป็นหมอนวดได้”