Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 171
หยางฉือจี๋นักกีฬาวิ่งพรสวรรค์ระดับA เขามีความพร้อมที่จะไปชนะการแข่งระดับชาติได้อย่างง่ายดายเลยถ้าเกิดว่าเขาพยายามให้หนักขึ้นกว่านี้ และถ้าเขาทำได้ เขามีโอกาสที่จะได้ไปแข่งกับนักวิ่งระดับโลกเลยด้วย และถ้าเขาโชคดีมากพอ เขาก็อาจจะเป็นแชมป์โลกได้ นี้ทำให้หลี่ไต้แปลกใจอย่างมากว่านักกีฬาที่มีพรสวรรค์เก่งกาจแต่กลับบอกว่าเกลียดการวิ่ง แล้วเขาก็ดันไม่อยากเป็นนักกีฬาด้วย
คนมักจะบอกว่าสิ่งที่เราสนใจนั้นเป็นครูที่ดีที่สุด ถ้าดาวินชี้ไม่ได้สนใจการวาดรูป เขาก็อาจจะไม่ได้เป็นจิตรกรที่เก่งกาจ และถ้าเช็คสเปียร์เกลียดการเขียนหนังสือ เขาคงไม่เป็นนักกวีเหมือนทุกวันนี้
และแน่นอน ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบงานตัวเอง แต่ส่วนมากก็จะไม่บอกว่าเกลียดงานตัวเองเหมือนกัน
ถ้าใครซักคนเกลียดสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ คนเหล่านั้นจะไม่ประสบความสำเร็จในอะไรเลย ไม่ว่าจะอยู่ในวงการนานแค่ไหน ยกเอานักธุรกิจเป็นตัวอย่าง ถ้าเขาเกลียดการหาเงิน เขาก็ต้องจนไปตลอดชีวิตแน่ๆ ถ้าใครซักทำงานออฟฟิศแล้วไม่อยากเป็นหัวหน้า เขาคงนั้นคงได้แต่จมปรักอยู่อย่างงั้นไปชั่วชีวิต
นักกีฬาก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน นักกีฬาหลายๆคนเริ่มฝึกตั้งแต่พวกเขายังเด็กมากๆ แล้วก็รักในสิ่งที่พวกเขาทำมากๆ พวกเขาฝึกตามความฝันที่อยากจะเป็นแชมป์ ถ้านักกีฬาฝึกไปงั้นๆไม่มีเป้าหมายหรือความกระหายในชัยชนะ พวกเขาก็จะไม่ได้อะไรเลย
หยางนั้นเกลียดการวิ่ง แล้วก็ไม่ได้อยากเป็นนักกีฬาด้วย และตอนที่เขาฝึกเขาก็มีความคิดนี้อยู่ในหัวตลอดเวลา แม้กระทั้งตอนนี้ เขาไม่ได้สำเร็จอะไรมาก และด้วยความคิดแบบนี้ก็ทำให้เขาปลีกวิเวกมาอยู่คนเดียวโดยไม่คุยกับเพื่อนเช่นกัน เพราะคงไม่มีใครอยากพูดถึงแต่เรื่องที่ตัวเองเกลียดหรอก
มันก็เหมือนกับการอ่านหนังสือ ถ้าเกิดคนชอบหนังสือที่เขาอ่าน เขาจะรู้สึกอะไรบางอย่างทันทีที่เขาอ่านจบ แล้วก็จะพูดถึงรายละเอียดต่างๆในหนังสือนั้นได้ จำบริบทได้ ในขณะเดียวกันถ้าเขาไม่สนใจหนังสือนั้น เขาอาจจะแค่ตำหนิหนังสือ หรือด่ามันหน่อยๆ แต่ถ้าเขาเกลียดหนังสือเล่มนั้นเลย เขาก็จะไม่อยากจำอะไรเกี่ยวกับมัน หรือแม้กระทั้งลืมชื่อตัวละครด้วย
หยางนั้นเกลียดการวิ่งอย่างแท้จริง นั้นเป็นเหตุผลที่เขาทำตัวอู้ตลอด แล้วก็ไม่มีแรงจูงใจในการฝึก ผลลัพท์ของการอู้กับไม่อู้ในการฝึกนั้นมันต่างกันชัดเจน ถ้าเขาเป็นนักกีฬาทั่วๆไปเขาคงโดนดีดออกจากทีมไปแล้ว
แต่หยางนั้นเป็นนักกีฬาที่มีพรสวรรค์มาก พรสวรรค์ระดับAมันไม่ใช่ว่าจะหากันง่ายๆบนโลกนี้ แม้แต่นักกีฬาทีมชาติยังไม่มีระดับAเลย แล้วถึงหยางจะไม่ได้ชอบพรสวรรค์ของตัวเองนั้น เขาก็ยังสามารถชนะคนหลายคนได้ด้วยพรสวรรค์ล้วนๆเลย
เขาอาจจะเป็นสุดยอดของสุดยอดก็ได้ แต่เขาดันเกลียดการวิ่งแล้วก็ไม่อยากเป็นนักกีฬา โถ่ววว
หลี่ไต้รู้ว่าเขาไม่อาจบังคับอะไรใครให้ทำได้ ถ้าหยางไม่สนใจจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนเขาได้ ถึงเขาจะฝึกอยู่ก็ตาม
จากประวัติของหยางบอกไว้ว่า เขาเริ่มฝึกจริงจังตั้งแต่อายุ14ปี ซึ่งหมายความว่าเขาฝึกวิ่งมาแล้ว5ปี แล้วถ้าเขาไม่อยากเป็นนักกีฬาจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่ยอมแพ้ซะละ คิดอย่างนั้นแล้ว หลี่ไต้ก็เปลี่ยนหัวข้อคุยต่อไป
“แล้วถ้านายไม่อยากเป็นนักกีฬา แล้วอยากทำอะไรละ ฉันเห็นในประวัตินาย นายเรียนสายเศรษฐศาสตร์กับการจัดการ แล้วจะไปต่อปริญญาโทMBAด้วย อยากไปเป็นเจ้าของกิจการเหรอ?”หลี่ไต้ถาม
“ผมอยากเป็นช่างภาพ”หยางตอบพร้อมก้มหัว เขาดูอาย
“มันก็ไม่เห็นมีอะไรน่าอายเลยนี้ ตอนที่ฉันเรียนจบฉันก็ไม่ได้อยากมาเป็นโค้ชซักหน่อย ฉันอยากเป็นแค่ครูพละในโรงเรียนมัธยมที่มีเวลาหยุดฤดูร้อนฤดูหนาว ใครบ้างไม่อยากหยุด แต่ฉันสอบไม่ผ่านแล้วก็มาเป็นโค้ชแบบนี้ไง”หลี่ไต้ยิ้มแล้วพูดต่อ “งั้นเล่าหน่อย ทำไมถึงได้มาเป็นนักกีฬาละ?”
“ตอนที่ผมอายุ14 นักเรียนทุกคนถูกขอให้ไปเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ผมไม่อยากไปเรียนเพราะว่าผมรู้ทุกอย่างที่อาจารย์สอนหมดแล้ว ผมก็เลยเข้าทีมกรีฑาในโรงเรียนเราเพราะว่าผมแค่ไม่อยากเรียน”หยางเริ่มเล่า
“นายเข้าทีมกรีฑาเพราะไม่อยากไปเรียนเพิ่มว่างั้น?”หลี่ได้เริ่มคิดเป็นเรื่องราว
หยางพยักหน้า “หลายเดือนผ่านไป ผมก็ได้เข้าแข่งในการแข่งกรีฑาระดับเมืองแล้วผมก็ได้แชมป์ในสถิติ11.72วินาที ซึ่งก็ทำให้โค้ชในโรงเรียนทึ่งมาก ตอนนั้นพ่อผมบอกว่าให้ไปทางกกีฬาเลย แล้วบอกว่าผมมีความสามารถจะไปเป็นนักกีฬาที่เก่งได้ ผมเลยไปเรียนตอนเช้าแล้วตอนบ่ายก็มาฝึก
หลี่ไต้ทึ่ง11.72วินาทีตั้งแต่อายุ14 ของจริงวะ นักกีฬาระดับBยังทำได้มากสุดแค่11.74เอง! นักกีฬาหลายคนยังยังพยายามไขว่ขว้า11.74เพื่อเข้าทีมชาติ แต่หมอนี้ทำได้ตั้งแต่อายุ14
หยางพูดต่อ “ต่อจากนั้น ผมก็ขึ้นมหาลัย ผมก็จะลาออกจากการเป็นนักกีฬาแหล่ะครับ แต่พ่อผมยัดผมเข้าทีมกีฬา แล้วก็บอกว่าให้ผมฝึกต่อไปเรื่อยๆ”
หยางพูดถึงพ่อบ่อยมาก ทำให้เขานึกถึงที่ฉินเฉี่ยวเทียนพูด ว่าพ่อของหยางฉือจี๋เป็นผู้มีอิทธิพลและมีเส้นสายอยู่ในมหาลัยนี้
หลี่ไต้ถาม “ดูเหมือนว่าพ่อนายจะอยากให้นายเป็นนักกีฬามากเลย ทำไมนายไม่บอกเขาละว่านายไม่อยากเป็น?”
“เพราะว่าเขามีเหตุผลของเขาไงครับ เขาบอกว่าผมมีพรสวรรค์จะเป็นนักวิ่งตัวเต็งของชาติ ผมก็ต้องทำตามที่เขาบอกแล้วก็มาเป็นนักกีฬา”หยางพูดแล้วก้มหัวลง
“พ่อนายก็พูดถูกนะเรื่องพรสวรรค์”หยางฉุกคิดเรื่องพรสวรรค์ระดับA เขาเลยถาม “พ่อนายเคยเป็นนักกีฬามาก่อนเหรอ?”
หยางส่ายหัว
“เขาต้องเป็นโค้ชแน่ๆ”หลี่ไต้พูด
หยางส่ายหัวอีก แล้วตอบ “เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์”
“นักวิทยาศาสตร์หรอ แบบนักวิทย์สายกีฬาปะ?”หลี่ไต้เริ่มช๊อก
“ชีวะวิทยาครับ”หยางตอบ
“โอ้!”หลี่ไต้พยักหน้าแล้วไม่ถามอะไรต่อ เพราะเขากลัวจะหน้าแตกไปมากกว่านี้
“งั้นหมายความว่านายไม่ได้เลือกที่จะมาเป็นนักกีฬา แต่พ่อนายบอกให้มาหรอ”หลี่ไต้มองหยาง แต่หยางยังคงไม่ตอบแต่เขาพยักหน้า
“นายไม่ได้ชอบการวิ่งหรือการมาเป็นนักกีฬา นายได้เคยบอกพ่อแบบนั้นไหม?”หลี่ไต้ถาม
หยางส่ายหัว “ไม่ครับ”
“ทำไมละ”หลี่ไต้ถาม
“ก็มันไม่จำเป็นไงครับ ยังไงเขาก็ถูก เขาเป็นคนตัดสินใจทุกเรื่องของผม ผมแค่ทำตามที่เขาบอก”หยางดูสงบแต่ก็โศกเศร้า
“ไม่มีใครถูกไปตลอดหรอก”หลี่ไต้เถียง
หลี่ไต้บอกได้เลยว่าพ่อของหยางนี้เป็นคนก้าวร้าวที่ชอบบงการคนอื่น เขาจัดสรรทุกอย่างให้กับเขา และหยางก็เป็นได้แค่หุ่นเชิดของพ่อ
ทันใดนั้น หลี่ไต้ก็รู้สึกสงสารหยางขึ้นมา บางที พ่อของเขาก็พูดถูกนะ เพราะอยากสามารถไปเป็นนักกีฬาที่สุดยอดมากๆได้จริงๆ แต่เขาจะเสียตัวเองไป จะบอกว่าลูกชายเขาเป็นเด็กดีก็ได้ แต่ก็จะบอกว่าหยางเป็นหุ่นเชิดของพ่อก็ได้เหมือนกัน!
หลี่ไต้หายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะพูดกับหยาง “หยางฉือจี๋ มองหน้าฉันแล้วฟังดีๆนะ”
หยางเงยหน้าขึ้นมามองตาหลี่ไต้
“หยางฉือจี๋ นายอายุ19ปีแล้ว นายเป็นผู้ใหญ่แล้ว นายตัดสินใจอะไรเองได้แล้ว นายจะมาพึ่งพ่อตลอดเวลาไม่ได้หรอกนะ นายต้องคิดเองทำเองแล้ว บางทีพ่อนายอาจจะถูก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายจะผิดซักหน่อย
“ ถ้านายมีความฝันของนาย นายต้องสู้เพื่อมันได้แล้วเว้ย ความฝันอะ นายจะทิ้งมันไว้ข้างหลังไม่ได้หรอกนะ มันต้องถูกดึงมาไว้ข้างหน้าเพื่อลากชีวิตตัวเองไปตามหาความฝันซิ!”
“นี้มันเป็นความฝันของนายนะ ชีวิตนายด้วย พ่อนายอาจจะหาช่องทางลัดในชีวิตนายได้ แต่เขากำหนดชะตากรรมของนายไม่ได้! นายต้องเข้าใจแล้ว นายเป็นมนุษย์เว้ย ไม่ใช่หุ่นเชิด นายต้องทำความฝันของนายให้เป็นจริงด้วยตัวเอง กล้าที่จะยืนด้วยขาตัวเอง แล้วยืนหยัดทำตามความฝันได้แล้ว!!”
หยางเปิดปาก ดวงตาของเขามีความหวังขึ้นมาซักนิด แต่มันกลับหายไปอย่างรวดเร็ว เขาพูดอย่างเศร้าสร้อย “ผมเข้าใจที่คุณพูดดีครับ แต่ถ้าผมฟังคุณพูดแล้วทำตามความฝันผม ผมอยากเป็นช่างภาพ อย่างแรกที่ผมต้องทำคือหยุดฝึกวิ่งแล้วออกจากทีมกรีฑาจริงไหมครับ?”
“ก็….”หลี่ไต้ลังเลขึ้นมาทันที เขาพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองเลือดร้อนเกินไป แล้วทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ เหมือนดันไปเอาปืนยิงขาตัวเอง
เขากำลังพูดถึงความฝัน แต่เขาก็บอกด้วยว่าให้หยางไปไล่ตามความฝันด้วยการออกจากทีม
นี้ฉันทำอะไรลงไปวะเนี่ย ฉันอยากที่จะให้เขากลับมาฝึกไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ให้ออกไปเลย ทำไมเป็นงี้ได้วะ!!