Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 172
หลี่ไต้รู้สึกอาย เขาอยากที่จะกระตุ้นแรงบันดาลใจให้หยางในทางที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาพูดเกี่ยวกับเรื่องความฝัน แต่ประเด็นคือความฝันของหยางไม่ใช่การไปเป็นนักกีฬา แต่เป็นการไปเป็นช่างภาพต่างหากหลี่ไต้บอกให้เขาตามหาความฝัน หมายความว่าเขาก็ต้องยอมแพ้กับการเป็นนักกีฬาเหมือนกัน
ฉันเป็นโค้ชนะเว้ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันพึ่งจะเป่าหูให้นักกีฬาที่มีพรสวรรค์สูงขนาดนี้ให้ไปเปลี่ยนอาชีพ ทำไมเป็นคนแบบนี้วะหลี่ไต้ หลี่ไต้เสียใจ เขาอยากจะจะย้อนเวลากลับไป แต่ตอนที่เขามองหน้าหยางฉือจี๋แล้ว เขาก็คิดในอีกแบบนึง
อายุ20กว่าๆเนี่ยแหล่ะเป็นช่วงที่คนเรามีความหลงใหลในการทำความฝันให้เป็นจริงมากที่สุด นี้เป็นช่วงอายุที่ไฟในหัวใจยังคลุกรุ่น ไปด้วยความเชื่อและไฟในใจ แต่ก็ขาดเหตุผลเหมือนกัน คนหนุ่มสาวในวัยนี้มักจะทำอะไรตามใจโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง นี้เป็นช่วงเวลาเพียงช่วงเดียวด้วยมั้งที่คนเราจะได้ไปตามหาความฝันของตัวเองได้จริงๆ
ตอนที่เขาอายุเท่ากับฉันแล้วก็มีงานที่มั่นคงแล้ว เขาก็ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ บางครั้งอาจจะต้องละทิ้งความฝันไว้เบื้องหลัง แล้วเมื่อแก่ตัวไปต้องมีครอบครัวให้เลี้ยงดูเมื่อไร ความรับผิดชอบนั้นละจะเป็นตัวฉุดรั้งเราจากการทำอำเภอใจ บางครั้งในก็ต้องถึงกับยอมแพ้กับความฝันของตัวเองตอนอายุ30แล้วต้องไปกู้เงินซื้อบ้าน
คนที่ไม่ได้ไปตามหาความฝันตอนยังหนุ่มมักจะเสียใจเมื่อตอนแก่ตัว พอคิดแบบนั้นแล้วหลี่ไต้ก็มองหยางฉือจี๋ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
ในฐานะโค้ช หลี่ไต้ไม่อยากปล่อยให้หยางละทิ้งอาชีพนักวิ่งหรอก มันเป็นความรับผิดชอบของโค้ชที่จะฝึกนักกีฬา หยางเกิดมาเพื่อที่จะเป็นนักวิ่ง มันก็น่าเสียดายอยู่ที่เขาอยากยอมแพ้เรื่องนี้
เขาไม่ควรที่จะเสียเวลาวัยเยาว์เหล่านี้ให้กับสิ่งที้พวกเขาไม่สนใจเลยซักนิด! เพราะยังไงซะ คนเราก็เป็นหนุ่มสาวได้แค่ครั้งเดียว … หลี่ไต้ถอนใจ เขาไม่อยากที่จะให้หยางฉือจี๋ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
สุดท้ายแล้ว หลี่ไต้จึงบอกว่า “หยางฉือจี๋ ชีวิตเป็นของนาย ใช้ซะ เดินในทางที่ตัวเองเลือกเดิน นายต้องเลือกทางของตัวเองแล้ว”
หลี่ไต้หยุดแล้วพูดต่อ “ถ้านายไม่อยากฝึกวิ่งแล้ว นายก็สามารถออกไปได้ แต่ถ้านายอยากอยู่ต่อ ฉันก็หวังว่านายจะฝึกให้หนักเหมือนคนอื่นๆ แล้วคิดซะว่านี้เป็นอาชีพของนาย ไม่ใช่สิ่งที่พ่อนายบอกให้นายทำ”
“นายอายุแค่19เอง นายยังหนุ่มอยู่มาก แต่ความหนุ่มนั้นละมันหมดไปไว นายต้องใช้ทุกเวลาให้คุ้มค่า ไม่ใช่ทำให้สิ่งที่เกลียดทุกๆวัน”หลี่ไต้หยุด แล้วพูด “นายเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง”
…
วันต่อมาหยางไม่โผล่มาที่สนามฝึก (แหงซิ) หลี่ไต้ถามคนอื่นๆ แล้วก็รู้แค่ว่าหยางได้ส่งใบลาออกทีมเรียบร้อยแล้ว
หลี่ไต้รู้สึกสำนึกผิดขึ้นมา รู้สึกเจ็บนิดหน่อยด้วย เขารู้สึกเหมือนพึ่งเสียของสำคัญไป เพราะว่าหยางเป็นตัวท๊อปที่เขาพึ่งบอกให้ยอมแพ้ไปด้วยตัวเอง
หลี่ไต้ไม่รู้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกไหมนะ บางทีหยางอาจจะรู้สึกเสียใจก็ได้ที่เขากลายเป็นช่างภาพที่ดีไม่ได้ เขาอาจจะถึงขั้นคิดได้ว่าบางทีถ้าเขาเป็นนักกีฬาต่อ เขาจะได้เป็นนักวิ่งที่เก่งที่สุดในโลกก็ได้
มันเป็นทางเลือกของเขาเอง เส้นทางของเขาเอง ไม่ว่ามันจะแย่หรือดี อย่างน้อยมันก็เป็นเส้นทางที่เขาเลือกเอง หลี่ไต้สงบใจตัวเองแล้วกลับไปทำงานอีกรอบ
…
ตอนที่หลี่ไต้ฝึกนักกีฬาอยู่ในสนามฝึกนั้น ดร.เหมาก็เดินมาหาเขา
ดร.เหมาทักทายเขาก่อนจะถาม “โค้ชหลี่ ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?”
“ว่าไงครับ?”หลี่ไต้ถาม
“ศาสตราจารย์ฝางอยากให้คุณไปพบเข้าที่ออฟฟิศหน่ะ เหมือนกับว่าจะคุยเรื่องในการฝึกที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้”
ศาสตราจารย์ฝางที่ดร.พูดถึงคือหัวหน้าของแผนกกีฬามหาวิทยาลัยชิงฮั่ว เขาเป็นคนที่ทุ่มสุดตัวให้กับกีฬาแล้วก็เป็นคนที่ดังพอสมควร
“ได้เลยครับ งั้นผมขอเปลี่ยนเสื้อแปปนึงได้ไหม”หลี่ไต้ชี้ไปที่ชุดเปียกเหงื่อของเขา เขาอาบน้ำตอนนั้นไม่ได้เขาเลยได้แค่เปลี่ยนเสื้อ
หลี่ไต้เปลี่ยนเสื้อแล้วตามดร.ไปที่ออฟฟิศของศาสตราจารย์ฝาง แต่แปลกใจที่ในห้องนั้นมีคนอยู่2คน
คนนึงในนั้นคือศาสตราจารย์ฝาง หลี่ไต้เคยเห็นเขาตอนที่หาดูข้อมูลของแผนกกีฬา เขาจำได้ในทันที
ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นชายในวัย50 ผมสีเทาดวงตากลมโตดูฉลาดมาก เขาดูแลผิวดีมากจนมันแทบจะส่องประกายออกมาเป็นออร่าสีชมพู
เป็นคนแก่ที่หล่อจริง!หลี่ไต้ประทับใจในรูปลักษณ์ เขาเทียบๆได้กับดาราหนุ่มๆเลยนะ ในมหาลัยชิงฮั่วนี้ มีเด็กทุนเยอะกว่าหมาอีก หลี่ไต้เห็นคนหน้าตาฉลาดๆมาชินตาแล้ว แต่ไม่มีใครเทียบคนๆนี้ได้เลย
ทำไมหน้าเขาคุ้นๆว้า เหมือนเคยเห็นที่ไหนมากก่อน เขาน่าจะเป็นศาสตราจารย์อะไรซักอย่างอยู่ที่นี้
ดร.เหมาพูดก่อน “ศาสตราจารย์ฝาง นักวิชาการหยาง นี้คือโค้ชหลี่ไต้”
โอ้ยตายแล้ว! เขาเป็นนักวิชาการด้วยเหรอ หล่อแล้วยังจะเก่งอีก หลี่ไต้คิด เขาทักทาย “ศาสตราจารย์ฝาง นักวิชาการหยาง สวัสดีครับ เป็นยังไงบ้างครับ?”
“ก็ดี”ศาสตราจารย์ฝาง พยักหน้า “โค้ชหลี่ นี้เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกัน แต่ผมคิดว่าคุณคงรู้จักผมอยู่แล้วใช่ไหม?”
หลี่ไต้ยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่ครับ คุณเป็นคนแรกที่ผมรู้จักตอนผมเข้ามาอยู่นี้ใหม่ๆ”
ศาสตราจารย์ฝางดูพอใจ เขาชี้ไปที่ นักวิชาการหยาง แล้วแนะนำเขา “นักวิชาการหยางเป็นพ่อของหยางฉือจี๋”
อ้ออ ก็ว่าคุ้นๆ คนหล่อคนนี้คือพ่อของหยางฉือจี๋นี้เอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหยางคนลูกถึงหล่อนัก แหม่ เชื้อมันแรงจริงๆ แต่ฉันก็ยังว่าคนพ่อยังดูดีกว่าอยู่ดี ยังไงก็เถอะ ทำไมพ่อของหยางฉือจี๋ถึงมาอยู่นี้ละ? พ่อของเขาก็ขอให้ลูกเขา…มา..ฝึกวิ่ง แล้ว..ตอนนี้เขาก็ออกไปแล้วด้วย….. ชิบหายละ พ่อเขาต้องโกรธแน่ๆ
หลี่ไต้เข้าใจสถานการณ์ไปเองทันที เขามองหน้าดร.เหมา
คุยเรื่องในการฝึกที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เหรอ? ใช่เหรอวะ ข้ออ้างชัดๆ! ก็น่าจะบอกความจริงมานะเหมา! ฉันจะได้เตรียมใจไว้ก่อน หลี่ไต้คิด
เหมาก็มองกลับมาที่หลี่ไต้เหมือนกัน หน้าตาเขาเหมือนกับว่ากำลังโทษหลี่ไต้ที่เอาปัญหามาให้ทีม