Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 173
หลี่ไต้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวนักวิชาการหยาง พอรู้ว่าเขาเป็นพ่อของหยางฉือจี๋แล้งหลี่ไต้ก็คิดกับตัวเองได้แค่ว่า เขาต้องมาเอาเรื่องแน่ๆ เขากังวลแต่เขาก็พยามทำตัวเองให้ใจเย็นไว้อยู่
หลี่ไต้ไม่ได้พูดอะไร เขาตัดสินใจที่จะรอพวกเขาบุกเข้ามาก่อน แต่เขาก็ตกใจ เมื่อนักวิชาการหยางเป็นคนเปิดบทสนธนาด้วยคำพูดที่ว่า “โค้ชหลี่ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมหยางหลิน”
เป็นคำแนะนำจังที่ไม่เหมือนใครจริงๆ ปรกติแล้วการที่คนไม่รู้จักเจอกันนั้นมักจะพูดประมาณว่า “ชื่อของผมคือ…”แต่นักวิชาการหยางกลับบอกว่าผมหยางหลิน มีแต่คนดังเท่านั้นที่แนะนำตัวแบบนั้น….
เดี๋ยวนะ หยางหลินเหรอ…. หลี่ไต้ตกใจทันที เขาแทบจะผงะไปในทันที
“หยางหลิน นักวิทยาศาสตร์ ที่ได้รางวัลโนเบลคนนั้นอะนะครับ?”หลี่ไต้ถามอย่างลืมตัว
หยางหลินพยักหน้า
นี้คือหยางหลินตัวเป็นๆ งั้นก็ไม่แปลกใจเลยที่ฉันจะรู้สึกคุ้นหน้า ฉันเคยเห็นรูปเขาในนิตยสารเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้เขาแก่ขึ้น เป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงจำเขาไม่ได้ หลี่ไต้คิด
หยางหลินเป็นนักวิทยาศาสตร์ตัวท๊อปที่อยู๋สาขาชีวะวิทยา เขามีพรสวรรค์มากถึงขนาดเป็นศาสตราจารย์และมีห้องแลปของตัวเองตั้งแต่อายุยังไม่ถึง30 แล้วพออายุ35 เขาก็ทำผลงานจนได้ไปมีชื่อติดอยู่ในโผของรางวัลโนเบล และแน่นอนละว่าเขาก็ได้รางวัลโนเบลในสาขาการแพทย์มาตอนอายุ42 เขาเป็นคนที่สำเร็จอย่างมาก
หยางหลินนั้นมีความสำคัญต่อวงการวิทยาศาสตร์มาก อย่างเช่นโครงการจีโนมมนุษย์ที่ผลการทดลองของเขาได้ช่วยเหลือคนนับล้าน เขายังถูกเรียกว่าเป็นเหมือนพระเจ้าในวงการการแพทย์ด้วย บางองกรณ์ถึงขั้นสนับสนุนเงินทุนของหยางหลินไม่อั้นแต่กลับหาตัวเขาไม่เจอ
หลี่ไต้ยังคงจำได้ว่าตอนที่เขาเรียนประถมได้อยู่เลย หยางหลินคนนี้มีชื่ออยู่ในตำราเรียนแล้วก็เป็นคนที่ได้รับการชื่นชมจากนักเรียนทุกคน ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนจะได้มีชื่ออยู่ในตำราเรียน งานของหลินหยางบางทีกลายเป็นไบเบิลของคนไปซะอย่างงั้น เอาง่ายๆว่าความจริงเขาไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวเองในประเทศจีนแล้วด้วยซ้ำ
พ่อของหยางฉือจี๋ ของหยางหลินคนนี้งั้นเหรอ! นี้ฉันได้สอนลูกคนดังอีกแล้วเหรอวะ! หลี่ไต้จำที่หยางฉือจี๋พูดได้ทันที ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหยางคนลูกคงแค่กลัวพ่อแต่ตอนนี้หลี่ไต้เข้าใจถ่องแท้แล้วว่าหยางคนลูกหมายความว่ายังไง มันกดดันจริงๆแหล่ะ การที่มีพ่อเป็นหยางหลินคนนั้น นักวิทยาศาสตร์คนนั้น
เมื่อ10ปีก่อนตอนที่หยางหลินคนนั้นได้รางวัลโนเบล เขาถูกเชิดชูให้เป็นตำนาน ในขณะเดียวกันระบบเศรษฐกิจของประเทศนี้ก็กำลังเข้าช่วงขาขึ้น ทุกคนเริ่มขยับเข้ามาใช้ชีวิตดีขึ้น ความเชื่อเรื่องผีสางอะไรพวกนี้เริ่มไม่พึงพอใจแล้ว คนสมัยนี้เริ่มเบื่อแล้วก็หันมาพึ่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กัน
ระหว่างที่หยางหลินได้รางวัลโนเบลนั้นเอง เขาก็กลายเป็นไอดอล ผู้คนต่างก็คล้อยตามในตัวเขาและงานของเขา ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ทุกคนก็จะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงเสมอ ถ้าหยางหลินพูดว่า”เต้าหู้หวานอร่อยกว่าเต้าหู้เค็ม”คนเป็นล้านก็จะเริ่มออกมาเห็นด้วย แม้แต่เชฟ นักชิม นักวิจารณ์ รวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์ด้วนกันเองยังเข้าข้างหยางหลินแล้วเชื่อว่าเขาคิดถูกเลย
ผู้คนเชื่อในทฤษฏีและการตัดสินใจของนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ที่ได้โนเบลตั้งแต่อายุยังน้อย ผู้คนคิดว่าเขาถูกเสมอ แล้วนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
หลี่ไต้ยังเป็นเด็กอยู่เลยตอนที่หยางหลินได้รางวัลโนเบล แม้แต่เขาเองยังบอกได้เลยว่าหยางหลินเก่งขนาดไหน มีข่าวหนังสือพิมพ์และทีวีแทบทุกช่องทุกฉบับออกข่าวกันกระหน่ำ ถ้ามันมาเกิดช่วงนี้ เขายิ่งดังเข้าไปใหญ่เลยเพราะว่ามีอินเตอร์เน็ตด้วย แล้วถึงแม้ว่าหยางหลินจะแค่ไลฟ์สดเล่นกับหมาในโลกออนไลน์ ก็น่าจะมีคนดูซักล้าน2ล้านคนอยู่ดี
นักวิทยาศาสตร์เก่งๆนั้นถูกเสมอ มันก็จริงนะ หยางหลินอยากให้ลูกชายเขาเป็นนักวิ่ง และเพราะว่าหยางฉือจี๋มีพรสวรรค์เรื่องการวิ่งมากๆจนทำให้เขาเก่งอย่างเหลือเชื่อ ปัญหาอย่างเดียวเลยคือหยางฉือจี๋ไม่สนใจการวิ่ง หลี่ไต้คิดเบาๆ
ตอนที่เขาคิดอยู่นั้น หยางหลินก็พูด “โค้ชหลี่ ใจเย็นๆนะครับ ผมไม่ได้มาว่าคุณ ผมแค่อยากจะรู้เรื่องลูกชายผมเพิ่มเท่านั้นเอง”
หยางหลินพูดอย่างสุภาพ ในขณะศตจ.ฝางพูดตรงๆมา “หยางฉือจี๋ฝึกวิ่งมานานเป็นปีแล้ว แต่ก็ยังจะมายื่นใบลาออกจาทีมเมื่อรืนนี้”
ศตจ.ฝางมองหลี่ไต้ด้วยหน้าจริงจังก่อนจะพูด “ฉันได้ยินมาว่าวันที่หยางฉือจี๋ตัดสินใจจะออกคือวันที่5ของการที่คุณมาอยู่ที่นี้พอดี ผมพูดถูกไหม?”
ศตจ.ฝางถามหลี่ไต้รัวๆ หยางฉือจี๋นั้นมาฝึกทุกวัน ทำไมเขาถึงอยากออกตอนที่หลี่ไต้นี้เข้ามาละ? นั้นเป็นเหตุผลที่ทำไมศตจ.ฝางถึงตั้งใจโทษหลี่ไต้อย่างเต็มที่
หลี่ไต้คิดเรื่องนี้แล้วคิดถึงวิธีการอธิบายสถานการณ์ที่ดีที่สุด เขาเลยพูด “หยางฉือจี๋เป็นนักกีฬาที่มีพรสวรรค์และผมก็เชื่อในตัวเขามากครับ ผมคิดว่าเขาไปได้ไกลแน่ๆแล้วผมก็อยากช่วยเขาเต็มที่ แต่นั้นไม่ใช่อย่างที่เขาต้องการครับ”
“เขาไม่อยากวิ่งใช่ไหม?”หยางหลินขัดจังหว่ะทันที
หลี่ไต้มองหยางหลินอย่างตกใจ เขาคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีหยางหลินอาจจะไม่รู้ว่าความฝึนของลูกชายตัวเองว่าเขาอยากเป็นช่างถ่ายภาพ
“หยางฉือจี๋บอกว่าเขาเกลียดการวิ่งแล้วก็ไม่อยากเป็นนักกีฬาครับ”หลี่ไต้พูดต่อ “นั้นคือสิ่งที่เขาบอกผมมาเอง”
“เป็นไปไม่ได้หน่า!”หยางหลินส่ายหัว เขายังดูสงบ”ในฐานะพ่อของเขา ผมมั่นใจว่าเขาชอบกีฬาแน่นอน”
“ผมไม่ได้เห็นอย่างนั้นในการฝึกรายวันเลยนะครับ” หลี่ไต้ตอบกลับทันที ”ลูกชายคุณไม่ได้ฝึกอย่างจริงจังเลย เอาจริงๆแล้วเขาอู้ด้วยซ้ำครับ เขาไม่ได้มีเป้าหมายในตอนฝึก เขาแค่ทำๆมันไปโดยไม่ได้พยายาม เหมือนกับว่าเขาเป็นหุ่นยนต์อย่างงั้นละครับ”
หลี่ไต้หันไปทางหลินหยาง “คุณหยางครับ คุณต้องเคยมีประสบการณ์ด้านการสอนมาเยอะแล้ว แล้วก็น่าจะรู้เรื่องการเรียนรู้แบบกระทำกับไม่กระทำ มันต่างกันชัดเจนนะครับ ไม่มีใครเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จได้ถ้าพวกเขายังแค่เรียนรู้แบบท่องจำไปเรื่อยๆหรอกครับ การฝึกกีฬาก็เหมือนกัน ถ้านักกีฬาไม่มีแรงจูงใจ มันก็ไม่เกินผลหรอกครับ เขาไม่มีทางไปเป็นนักกีฬาที่ดีได้”
หยางหลินคิดเรื่องที่หลี่ไต้พูด
ศตจ.ฝางถาม “บางทีมันอาจจะผิดที่การโค้ชของคุณก็ได้ หยางฉือจี๋ปรับตัวไม่ทันอย่างนี้?”
หลี่ไต้ไม่อยากเป็นคนที่โดนโบ้ยในเรื่องนี้ เขาปัดคำพูดของศตจ.ฝาง แล้วตอบ “ไม่จริงครับ ผมทำแผนการฝึกอย่างดีด้วยตัวเอง ผมปรับให้สำหรับแต่ละคนเลยครับ”
“ผมว่ามันไม่ใช่นะ”ศตจ.ฝางพูด “นักกีฬาคนอื่นอาจจะปรับเข้ากับแผนคุณได้ แต่หยางฉือจี๋ปรับไม่ได้ไง แล้วเขาก็ต้องโทษตัวเองแน่ๆ แล้วเขาก็ต้องคิดว่าเขาคงไม่เหมาะกับการเป็นนักกีฬา เขาก็เลยอาจจะออกเพราะแบบนี้ก็ได้”
หน้าหลี่ไต้เริ่มชา เขารู้เลยว่าศตจ.ฝางอยากจะโบ้ยความผิดให้เขา