Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 174
ศาสตราจารย์ฝางเป็นคนที่ค่อนข้างดังของที่นี้ แต่ถ้าเทียบกับหยางหลินเดเล้ว เขากลายเป็นตัวประกอบขึ้นมาทันที สำหรับเจ้าของรางวัลโนเบลแล้ว หยางหลินก็นับว่าเป็นเหมือนพระเจ้าของมหาลัยชิงฮั่ว ซึ่งศตจ.เองก็ไม่อยากที่จะให้หยางหลินโมโห ไม่งั้นทั้งแผนกกีฬาคงมีปัญหาแน่ๆ ดังนั้น เขาเลยโทษหลี่ไต้เป็นอันดับแรก
หลี่ไต้ไม่ได้มาจากชิงฮั่ว แต่มาจากทีมชาติ ถ้าเขารับความรับผิดชอบไปเต็มๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฝางกับมหาลัยชิงฮั่วก็จะไม่โดนตำหนินั้นเป็นเหตุผลที่ฝางพยายามยามยัดความผิดให้หลี่ไต้
แต่ถึงแม้ว่าหลี่ไต้จะเข้าใจว่าเรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี
ได้เลยนะ ถ้าอยากจะเอากันแบบนี้ก็ได้เลย ไม่ต้องรักษาแล้วน่งหน้าภาพลักษณ์
พอหลี่ไต้คิดแบบนั้นแล้ว เขาก็พูด “ตามที่ผมเห็นแล้ว หยางฉือจี๋ไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะเป็นนักกีฬามืออาชีพขนาดนั้น เขายังมีข้อบกพร่องอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น แรงระเบิดพลังของเขาแทบจะไม่มีเลย เร็วไม่พอ ก้าวขาไม่พอและ….”
หลี่ไต้เริ่มพูดถึงจุดอ่อนของหยางฉือจี๋ที่มีเยอะเป็นหน้ากระดาษ ทำให้ดูเหมือนกับว่า ขาจะบอกว่าหยางฉือจี๋นั้น ไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะฝึกในมหาลัยชิงฮั่ว
ศตจ.หยางเข้าใจที่หลี่ไต้จะสื่อทันทีแล้วเริ่มเขินอาย หยางหลินก็อายเหมือนกัน เพราะเขาไม่นึกว่าลูกชายจะมีข้อเสียเยอะขนาดนี้
แต่หลี่ไต้ก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น เขาพูดต่อ “ผมจัดตารางการฝึกให้หยางฉือจี๋ในเรื่องของการก้าวกระโดดและวิ่งกระโดดเพื่อช่วยให้เขาพัฒนาในด้านของแรงระเบิดพลัง…”หลี่ไต้เริ่มพูดถึงแผนการฝึกที่เขาวางเอาไว้ให้ เขาอธิบายทุกอย่างอย่างละเอียดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
หยางหลินนั้นเชี่ยวชาญในด้านชีวะวิทยาก็จริง แต่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการฝึกกีฬาเลย เขาเลยจ้องไปที่ศตจ.ฝางเพื่อดูผลตอบรับ และถึงแม้ว่าศตจ.หวางนั้นจะไม่ได้เป็นโค้ชมืออาชีพ แต่เขาก็ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การออกกำลังกาย เขาเลยเข้าใจในทันทีว่าแผนการฝึกของหลี่ไต้นั้นไร้ที่ติจริงๆ
พอรู้ว่าเขากำลังโดนจ้องเพื่อขอคำยืนยันโดนหยางหลิน เขาก็พยักหน้า1ทีเพื่อเป็นการบอกว่าแผนการฝึกของหลี่ไต้นี้ดูดีทีเดียว หยางหลินทำหน้าเครียดแล้วยกแก้วชาขึ้นมาดื่ม ทำท่าเหมือนกำลังคิดเรื่องนี้อย่างหนัก
หยางหลินวางถ้วยชาลงช้าๆแล้วพูด “โค้ชหลี่ คุณบอกว่าลูกชายผมไม่ได้ชอบกีฬางั้นซินะครับ ผมก็ยังค้านเรื่องนั้นอยู่ เพราะว่าผมมั่นใจว่ายังไง หยางหลินก็มีความสุขกับการเล่นกีฬาอยู่ครับ เขาเริ่มชอบมันตั้งแต่ตอนอยู่ม.ต้นแล้ว
หยางหลินนึก “ผมยังจำตอนที่เขาอยู่ม.ต้นได้อยู่เลยเขาเอาตัวเองเข้าไปในทีมกรีฑาด้วยตัวเองและมีความสุขทุกๆครั้งที่เข้าฝึก”
แต่หลี่ไต้ก็จำได้ว่าหยางฉือจี๋เคยบอกไว้ว่าเขาเข้าทีมกรีฑาเพื่อโดดเรียนเท่านั้นเอง
นี้เป็นเหตุผลที่หยางฉือจี๋มีความสุข ไม่ใช่เพราะเล่นกีฬา แต่เพราะเขาได้โดดเรียนตั่งหาก
พอคิดอย่างนั้นหลี่ไต้ก็ขัดหยางหลิน แล้วถาม “คุณหยางครับ มั่นใจแล้วเหรอครับว่าลูกชายยคุณมีความสุขเพราะว่าได้ฝึก?เคยคิดไหมว่าเขามีความสุขเพียงเพราะแค่เขาได้โดดในสิ่งที่เขาเกลียด อย่างเช่นการเรียนพิเศษ?”
หยางหลินมองหน้าหลี่ไต้อย่างสับสน
“คุณหยาง รู้ไหมครับว่าหยางฉือจี๋ลูกคุณอยากเป็นช่างถ่ายภาพ?”หลี่ไต้ถามตรงๆ
“ช่างภาพเหรอ?”หลินหยางดูตกใจเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็จำได้ทันทีว่าวันมะรืนมีข้อความเด้งขึ้นมาจากบัญชีบัตรเครดิตที่จ่ายไป20000หยวน หลังจากนั้น ภรรยาของเขาก็บอกเขาว่าหยางฉือจี๋อยากได้กล้อง เธอก็เลยใช้บัตรของหยางหลินซื้อ
แล้วพอหยางหลินนึกถึงเรื่องกล้องขึ้นมาได้เท่านั้นละ ทุกอย่างก็ลงตัวเป๊ะๆไปหมด เขาเริ่มที่จะเชื่อเรื่องทฤษฏีช่างภาพของหลี่ไต้แล้ว แล้วหลี่ไต้ก็บอกกับหยางหลินด้วยสีหน้าเหมือนกับจะพูดว่า “ไอ้ห่าเอ้ยรู้เรื่องความฝันลูกตัวเองบ้างไหมเนี่ย”
หลี่ไต้ถอนหายใจ “คุณหยางครับ ผมเข้าใจนะครับว่าคุณยุ่งอยู่กับงาน แต่ผมคิดว่าคุณควรจะใช้เวลาอยู่กับลูกชายคุณบ้างนะครับ คุยกับเขาแล้วพยายามทำความเข้าใจเขาบ้าง ยังไงซะ พวกคุณก็เป็นพ่อลูกกัน น่าจะคุยกันดีๆก่อนนะครับ”
ทั้งหลี่ไต่และศตจ.ฝางนั้นเข้าใจหยางหลินผิด เขาไม่ได้มาที่นี้เพื่อที่จะโทษใคร แต่มาเพื่อจะมาหาว่าทำไมหยางฉือจี๋ลูกชายเขาถึงได้ยอมแพ้เรื่องการวิ่งไปกะทันหันแบบนั้น หยางหลินนั้นเป็นคนใหญ่คนโต ก็ไม่แปลกที่มาหาแบบนี้คนก็มักจะรนกันไปเอง
ศตจ.ฝางเองก็กลัวที่จะต้องรับความรับผิดชอบเขาก็เลยมองโลกในแง่ร้ายซะทั้งหมด ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงอยากให้หลี่ไต้รับกรรมไปคนเดียว
หลินหยางนั้นคิดมาตลอดว่าหยางฉือจี๋นั้นรักการวิ่ง เขาถามโค้ชมากประสบการณ์หลายคนแล้วพวกเขาก็ลงความเห็นเหมือนกันว่า หยางฉือจี๋คนนี้เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในด้านการวิ่งมาก เพราะอย่างนี้ หยางหลินเลยตั้งใจวางแผนที่จะเลี้ยงดูลูกชายตัวเองให้กลายไปเป็นนักกีฬา หยางหลินคิดเสมอเลยว่าการเอาสิ่งที่รักมาเป็นงานได้นั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างนั้นหลังจากที่พูดคุยกับหลี่ไต้แล้ว หยางหลินก็รู้ตัวว่าเขาไม่ได้รู้จักลูกชายของเขาดีอย่างที่เขาคิด
หยางหลินคิดว่าตัวเองเป็นพ่อดีเด่นมาโดยตลอด เขาเลี้ยงลูกอย่างดีมาก ไม่ใช่แค่ให้ลูกเรียนดีอย่างเดียวแต่ก็ให้ลูกเก่งกีฬาด้วย จะบอกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นก็ได้
หยางหลินนั้นให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกชายเขาเสมอ เขามีทั้งเงินและอำนาจ พอหยางฉือจี๋มาอยู่ในมหาลัยชิงฮั่ว เพื่อที่จะให้หยางฉือจี๋เลยตั้งในที่จะให้ลูกชายตัวเองวิ่งต่อ หยางหลินเลยยัดหยางฉือจี๋เข้าไปในแผนกกีฬา
แต่ถึงอย่างนั้นหยางหลินก็ยังไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองนั้น จริงๆแล้วไม่ได้อยากเป็นนักกีฬา เขาแค่รับในสิ่งที่พ่อให้ไว้เฉยๆแล้วฝังความฝันตัวเองไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
นานแล้วที่พวกเขาไม่ได้นั่งคุยกัน หยางหลินถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย