Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 175
วันต่อมาในระหว่างที่หลี่ไต้กำลังพักทานอาหารกลางวันอยู่นั้น จู่ๆโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ที่เขาไม่รู้จัก
บริการขนส่งเหรอ? ฉันจำได้ว่าไม่ได้สั่งอะไรไว้นะ หลี่ไต้คิดกับตัวเองก่อนจะรับโทรศัพท์
“สวัสดีครับโค้ชหลี่ใช่ไหมครับ? นี้หยางหลินนะครับ”
“อ้อ คุณนักวิชาการหยาง สวัสดีครับ”หลี่ไต้ตกใจนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าจะโดนหยางหลินคนดังโทรมาหา
“ผมได้เบอร์คุณมาจากคุณเหมาหน่ะครับ”หยางหลินพูด
“โค้ชหลี่ ผมอยากจะโทรมาขอบคุณคุณ ผมได้คุยกับหยางฉือจี๋เเล้วเมื่อคืนนี้”
“ทุกอย่างโอเคไหมครับ?”หลี่ไต้ถาม
“ก็โอเคครับ ฉือจี๋เขาบอกความรู้สึกของเขามาหมดเเล้ว ผมก็สนับสนุนเขานะครัย”หยางหลินพูด “มันก็เป็นความผิดของผมเองด้วยละที่ผมยัดเยียดให้เขามากเกินไป ตอนผมยังหนุ่ม ผมทุ่มเทให้กับงานมากเกินไป ผมมีเขาตอนอายุ35 ถือว่าช้าเเล้วนะครับ คุณอาจจะบอกว่าผมอวยเขาเเล้วก็ตามใจเขามากเกินไป เเต่ผมก็เเค่อยากให้เขาได้ทุกสิ่งที่เขาอยากได้เท่านั้นเองครับ”
“คนอย่างพวกผมส่วนมากจะใช้เวลาอยู่เเต่ในห้องทดลอง บางครั้งก็ไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือน ผมละเลยการพูดคุยกับลูกชายผมเอง ตอนนี้เขาก็โตเเล้ว เเล้วเขาก็มีทั้งความคิดเเละเเผนของตัวเอง การที่ผมละเลยมันด้วยนั้น ทำให้ผมไม่ได้เป็นพ่อที่ดีซักเท่าไร”
หยางหลินหยุดนิดหน่อย ก่อนจะพูดต่อ “โค้ชหลี่ ผมขอบคุณคุณจริงๆที่เตือนผมในเรื่องนี้ ไม่งั้นผมคงยังไม่รู้ว่าผมกับหยางฉือจี๋มีระยะห่างกันมากขนาดนี้”
ระยะห่าง! หลี่ไต้รู้สึกว่าคำนี้โคตรตรงกับสถานการณ์เเบบนี้เลย
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อเเม่กับลูกนั้นป็นอะไรที่เเน่นเเฟ้นที่สุดในโลก เเต่ทั้งคู่นั้นก็ก็มักจะเกิดอาการไม่เข้าใจกันอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งพวกเขาอาจจะถึงขั้นเข้าใจผิดกัน เพราะว่าพวกเขาอยู่ในสังคมที่ต่างกัน เกิดในสภาพเเวดล้อมเเละช่วงวัยที่ห่างกัน ไม่ใช่พ่อเเม่ทุกคนที่จะมานั่งเงียบๆฟังลูกตัวเองเล่าเรื่องราวความในใจของตัวเอง
ในระบบครอบครัวจีนดั่งเดิมนั้น ความรับผิดชอบกับการเชื่อฟังนั้นมีค่ามากกว่าการสื่อสารกัน พ่อเเม่ต้องเเบกรับความรับผิดชอบ ส่วนลูกหลานก็มีหน้าที่เชื่อฟังพ่อเเม่ มีคำโบราณเคยกล่าวว่า “ถ้าลูกเเย่โทษพ่อเเม่ก่อน” เพราะว่ายังไงพ่อเเม่ก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบในการเลี้ยงดูเเละอบรมเด็กของพวกเขา ถ้าลูกสอบตก พ่อเเม่ก็ต้องโทษตัวเองไว้ก่อนเลย ถ้าลูกหางานไม่ได้พ่อเเม่ก็ต้องโทษตัวเองอีก ถ้าลูกอกหักพ่อเเม่ก็โทษตัวเองอีก ความรับผิดชอบตลอดนี้มันเป็นไปตลอดชีวิต ถึงเเม้ลูกจะเป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนเเล้วก็ตาม พ่อเเม่ก็ยังคงเป็นห่วงพวกเขาอยู่ เพราะยังไงมันก็เป็นความรับผิดชอบของพวกเขา
ส่วนเด็กๆ ในทางกลับกันก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของพ่อเเม่ ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเชื่อฟังคำพูดพ่อเเม่นะ เเละถึงเเม้ว่าพวกเขาจะโตเเล้ว พวกเขาก็ยังคงถูกคาดหวังให้เชื่อฟังคำสั่งของพ่อเเม่อยู่ดี ถ้าลูกไม่ฟังพ่อเเม่ ลูกๆก็จะกลายเป็นคนอกตัญญูทันที ซึ่งก็ถือเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เด็กที่แหกกฎพวกนี้จะถือว่าเป็นคนไม่มีจริยธรรมทันที เพราะยังไงสำหรับเด็ก พวกเขาก็ยังต้องเชื่อฟังคำพูดผู้ใหญ่เเล้วก็ทำในสิ่งที่พ่อเเม่บอกให้ทำ
ถ้าเกิดอยากให้ความสัมพันธ์เเน่นเเฟ้นอยู่ ก็ต้องคุยกัน คำสั่งเเล้วต้องเชื่อฟังอาจจะไม่เป็นประโยชน์กับครอบครัว ถ้าไม่คุยกัน ถึงเเม้จะเป็นครอบครัวเดียวกันก็เถอะก็อาจจะมีการผิดใจกันได้
หลี่ไต้นึกถึงฝางไฮควานขึ้นมา หลี่ไต้รู้สึกว่า พวกเขามีอะไรหลายๆอย่างคล้ายๆกัน ทั้งฝางไฮควานเเละหยางฉือจี๋ พวกเขาทั้งคู่ โดนพ่อที่รักพวกเขามากเกินไปจนยัดเยียดอนาคตให้พวกเขา อนาคตที่พวกเขาไม่ได้เลือกเอง เเล้วก็เหมือนกันอีกตรงที่ทั้งฝั่งพ่อเเละลูกไม่ได้สื่อสารกันให้เข้าใจ ความต่างระหว่างฝางไฮควานกับหยางฉือจี๋คือฝางพยายามต่อต้านพ่อโดยการไม่ยอมละทิ้งความฝัน ส่วนหยางฉือจี๋เลือกที่จะทำตามที่พ่อบอกโดยไม่ได้สานฝันของตัวเอง
ในนาทีต่อมาหลี่ไต้ก็นึกถึงพ่อตัวเองขึ้นมา หลี่ไต้ไม่ได้อยู่บ้านตั้งเเต่ที่เรียนจบออกมา มันก็นานเเล้วที่พ่อกับเขาไม่ได้มานั่งคุยกัน
ฉันไม่ได้กลับบ้านมาเป็นปีเเล้ว สงสัยจริงๆว่าพ่อยังอยู่ดีไหมนะ
หลี่ไต้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เเล้วลังเลซักพัก ก่อนจะกดโทรศัพท์หาพ่อ หลังจากโทรศัพทฺดังซักพัก พ่อของหลี่ไต้ก็รับสาย
“ไงลูกชาย เป็นไร สบายดีไหม? นึกไงถึงโทรมาเนี่ย?”
“พ่อ ผมสบายดี ผมเเค่…คิดถึงพ่อเฉยๆ เเค่อยากได้ยินเสียงหน่ะ”ดวงตาของหลี่ไต้เริ่มเเดงก่ำ อารมณ์เริ่มทะลักออกมา
…
หยางฉือจี๋ถือกล้องใหม่ยิ้มร่าอย่างมีความสุข เขาพึ่งได้คุยปรับความเข้าใจกับพ่อของเขาไป รอบนี้ เขาก็ได้รวบรวมความกล้าบอกความฝันจริงๆของเขาไป ว่าเขาอยากเป็นตากล้อง เขาคิดว่าพ่อของเขาจะโกรธจัด เเต่ที่น่าตกใจคือ เขากลับได้ความสนับสนุนจากพ่อเฉย
หยางฉือจี๋ตื่นเต้นไปพักใหญ่ๆ เขาหลงรักกล้องตัวใหม่ของเขามากจนหยุดเล่นมันไม่ได้ เมื่อวันหยุดมาถึง เขาก็วิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกล้องตัวใหม่พร้อมที่จะฝึกฝนการถ่ายภาพของตัวเอง
เมืองฮั่วจิงเป็นเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมาย เป็นที่ๆคู่ควรกับการถ่ายภาพ ที่นี้เป็นที่รวมตัวของตากล้องชื่อดังมากมายซึ่งหมายความว่าตากล้องมือใหม่อย่างหยางฉือจี๋ก็หยุดถ่ายภาพไม่ได้เลย
แต่พอเที่ยงผ่านไป เมมกล้องของหยางก็เต็ม
เนื้อที่ไม่พอ เมมนี้เกือบเต็มซะแล้ว หยางฉือจี๋ถอนหายใจตอนที่เขาอ่านเจอประโยคเตือนในกล้อง เขาไม่ได้เอาเมมการ์ดสำรองมาด้วย เขาคงต้องหยุดถ่ายไว้เท่านี้แล้วเก็บกล้อง
มันก็ถึงเวลาข้าวเที่ยงแล้วฉันคงต้องหาข้าวกินก่อนกลับบ้าน พอคิดแบบนี้ หยางฉือจี๋ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าแถวนี้มีอะไรน่าอร่อยบ้าง
ตอนที่เขากำลังทำอยู่นี้ หยางก็ได้ยินใครซักคนตะโกนจากด้านหลัง
“หยุด นี้ตำรวจ หยุดเดี๋ยวนี้!”
หยางฉืจี๋หันกลับไปแล้วเห็นชายหนุ่มชุดดำกำลังวิ่งแซงหน้าเขาไปมีผู้ชาย2คนตามหลังมา คนนึงใส่ชุดธรรมดา อีกคนใส่ชุดตำรวจ
วินาทีต่อมามันแทบจะเป็นสัญชาตญาณของหยางฉือจี๋ที่โดนแซงหน้า เขาวิ่งทันทีก่อนที่เขาจะคิดซะอีก ไม่ถึง10วินาที เขาก็ตามชายหนุ่มคนนั้นทันแล้วก็จับตัวชายคนนั้นแล้วลากลงมากับพื้นได้
ชายหนุ่มกระแทกพื้นอย่างแรง เขาลุกขึ้นมาทันทีแล้วพยายามจะวิ่งต่อ แต่ตำรวจ2คนตามทันก่อน แล้วก็จับตัวเขาได้สำเร็จ ตำรวจมี่ไม่สวมเครื่องแบบใส่กุญแจมือเขาไว้แน่น
“ลองวิ่งอีกซิ ฉันรอจับแกมาตั้ง3วัน ในที่สุดก็โดนจับซักที!” ตำรวจคนหนึ่งพูด จากนั้นก็หันมาหาหยางฉือจี๋
“ขอบคุณมากนะพ่อหนุ่ม สมัยนี้คนอย่างนายหายากขึ้นทุกวัน ดีใจจริงๆที่ได้คนอย่างนายมาช่วย ไม่งั้นคงจับคนร่ายไม่ได้แน่ๆ”
“ไม่มีปัญหาครับ ยินดีช่วยเสมอ”หยางฉือจี๋หายใจอย่างหนัก เขายังหายใจไม่ทันอยู่
ตำรวจที่ใส่ชุดตำรวจก็พูดขึ้นมาบ้าง “พ่อหนุ่ม นายเป็นนักวิ่งที่เร็วมากเลยนะ เราวิ่งตามไอ้นี้มาเกือบ3ช่วงตึกแล้ว แต่ก็ยังตามจับไม่ได้เลยจนกระทั้งนายโผล่มาเนี่ย วิ่งเร็วมาก! เป็นนักกีฬารึเปล่า?”
หยางฉือจี๋ตอบอย่างไม่รู้ตัว “ใช่ครับผมเป็นนักกีฬา ผมเป็นนักวิ่ง วิ่งเพื่อม…”
หยางฉือจี๋หยุดพูดทันที เขาแตะกล้องที่อยู่ในกระเป๋า
อ้อ เกือบลืมไป ตอนนี้ฉันไม่ใช่นักกีฬาแล้วนี้!