Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 185
หลี่ไต้ตอนนี้เริ่มสงสัยหน่อยๆ เขาเริ่มอยากที่จะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้นหลี่ไต้จึงพูด “ฮาวหยูอี้ นายอาจจะลืมฉันไปนะ เมื่อ3ปีก่อน ฉันย้ายไปทำงานชั่วคราวอยู่ที่ศูนย์ฝึกเป่ยโข๋ว เราก็เจอกันที่นั้นละ
ฮาวหยูอี้รู้ว่าโค้ชที่ย้ายไปชั่วคราวที่ศูนย์ฝึกนั้นส่วนมากก็จะไปทำงานเป็นเบ๊มันเลยไม่ค่อยมีอะไรให้น่าภูมิใจมากนัก ดังนั้นแทนที่จะบอกถึงความน่าอายนั้น ฮาวหยูอี้ทำหน้าเหมือนจะนึกออก แล้วพูด “ไม่แปลกเลยที่หน้าคุณคุ้นๆ เราเคยเจอกันมาก่อนแล้วนี้เอง”
เอาจริงๆแล้วฮาวหยูอี้จำหลี่ไต้ไม่ได้หรอก ทุกๆปีจะมีโค้ชที่โดนย้ายไปทำงานเป็นเบ๊ในศูนย์ฝึกนั้นมากกว่า80คน แถมส่วนมากก็ถูกส่งกลับภายใน3เดือนด้วย แล้วตอนนี้ก็ผ่านไปถึง3ปีแล้ว สำหรับฮาวหยูอี้ หลี่ไต้แค่คนหน้าคุ้นๆเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่น
“ฉันได้ยินมาว่าเธอลาออกนี้ ทำไมละ? นายยังหนุ่มอยู่เลย ยังเป็นนักกีฬาได้อีก4-5ปีเลยนะ หรือว่าลาออกเพราะอาหการบาดเจ็บละ?”หลี่ไต้ถาม
“เห้อ”ฮาวหยูอี้ถอนหายใจ “ก็เรื่องอาการบาดเจ็บนั้นละ หรือจะเอาให้ชัดกว่านั้นก็คือป่วยนะ หรือจะเอาให้ชัดมากกว่านี่อีกคือ มันเกิดจากการตรวจผิดพลาดหน่ะ”
“ตรวจผิดพลาดหรอ? แค่ตรวจผิดถึงขั้นต้องออกเลยเหรอ นี้มันเกิดอะไรขึ้นหน่ะ?”หลี่ไต้ถามต่อ
“มันก็เกือบ3ปีแล้วนะ บางทีอาจจะน้อยกว่า3ปีนั้นหน่อย ตอนนั้นฉันรู้สึกเจ็บที่หัวเข่าระหว่างการฝึก ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่พอนานๆไประหว่างการตรวจร่างกาย ก็กลายเป็นว่าพวกเขาเจอเนื้องอกอยู่ในเข่าของฉัน”ฮาวหยูอี้บอก
“เนื้องอกเหรอ? เอาจริงๆเนื้องอกก็มีหลายระดับนะ ตั้งแต่แบบไม่มีปัญหาอะไรจนไปถึงขั้นร้ายแรง ได้ตรวจรอบ2รึเปล่า?”หลี่ไต้อยากได้ข้อมูลเพิ่มเขาเลยแกล้งทำตัวเป็นห่วง
ฮาวหยูอี้ตอบหลี่ไต้อย่างหมดเปลือก เขาพูด “ทีมชาติจัดการตรวจฉันซ้ำอีกรอบทันทีนั้นละ แล้วไอ้ผลตรวจนั้นละที่ทำลายอาชีพฉัน ให้นายซิว่าหมอบอกว่าฉันเป็นอะไร?”
“อะไรละ?”หลี่ไต้ขี้เกียจทายเลยถามทันที
“มะเร็งกระดูก!”ฮาวหยูอี้ถอนใจดังๆอย่างเจ็บปวด “ตอนนั้นฉันตกใจมากๆเลย! หมอนั้นบอกฉันว่าขาฉันจะต้องโดนตัดทิ้ง ไม่งั้นมะเร็งจะลามจนฉันตายได้”
ถึงจุดนี้ฮาวหยูอี้ก็เริ่มเกรี้ยวกราดมากขึ้น เขาพูดอย่างรวดเร็ว “ฉันเป็นนักวิ่งนะ นั้นเป็นอาชีพของฉัน เป็นความฝันของฉัน ทุกๆอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับขาของฉัน ฉันจะไปยอมตัดขาตัวเองทิ้งได้ไงละ?”
ฮาวหยูอี้เบรกตัวเองซักพักเพื่อหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “ฉันเลยเลือกที่จะรักษา ฉันพยายามจะเก็บขาของฉันไว้ ตอนแรกว่าจะใช้เคมีบำบัด แต่มันแพงมาก รู้ไหมว่าค่ารักษาโรคมะเร็งเนี่ย มันต้องจ่ายเงินมากกว่า1ล้านหยวนอีกนะ…”
ฉันจำได้ว่าทีมชาติจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในเรื่องของการบาดเจ็บหรือค่รักษาพยาบาลด้วยนี้? ได้ไปรับค่ารักษารึเปล่า? ฉันคิดว่าเขาน่าจะให้นายได้อย่างน้อยก็หลายแสนอยู่นะ”หลี่ไต้พูด
“แน่นอนซิว่าฉันไปมาแล้ว แต่ฉันก็โดนปฏิเสธ ทีมชาติบอกฉันว่า มะเร็งกระดูกเนี่ยมันเป็นอาการป่วยส่วนตัว มันไม่ได้เกี่ยวหรือเกิดขึ้นจากการฝึกหรือการแข่งเลย ดังนั้นพวกเขาเลยเบิกค่ารักษาพยาบาลให้ฉันไม่ได้ สุดท้ายแล้วเขาก็ให้เงินปลอบใจฉันมาแค่1หมื่นหยวนก่อนจบเรื่องนี้ไป”
ฮาวหยูอี้ส่ายพร้อมรอยยิ้มที่ขมขื่น “หมื่นเดียวมันรักษามะเร็งไขกระดูกไม่หายหรอก ไม่พอแม้กระทั้งค่าผ่าตัด ตัดขาด้วยซ้ำ ถ้าฉันตัดขาตัวเอง ฉันก็ต้องใช้ขาเทียมอีก แล้วไอ้ราคาค่าขาเทียมเนี่ย มันราคามากกว่า1แสนหยวนอีก ที่ฉันไม่รู้คือเรื่องซวยๆมันจะเกิดกับฉันอีก”
ความอาฆาตผุดขึ้นมาในตาของฮาวหยูอี้ เขาพูดต่อ “หลังจากที่รู้ว่าฉันเป็นมะเร็ง ทางทีมชาติก็บีบให้ฉันลาออกทันที พวกเขาให้ค่าชดเชยการลาออกไป50000หยวน แล้วก็เตะฉันออกมาเลย พวกเขาทอดทิ้งฉันในเวลาที่ฉันต้องการความช่วยเหลือที่สุด!”
หลี่ไต้ขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะขนาดนี้ เงิน50000หยวนก็ยังนับเป็นเศษเงินอยู่เลยถ้าเทียบกับค่ารักษามะเร็งไขกระดูก แม้แต่หลี่ไต้เองยังรู้สึกได้เลยว่ามันโหดร้ายเกินไปสำหรับฮาวหยูอี้
“ไม่คิดว่าจะได้ยินแบบนี้ใช่ไหมละ? ฉันก็ตกใจเหมือนกัน! แต่ถึงยังไงซะ ความเป็นไปได้ที่จะรักษาโรคมะเร็งนั้นให้หายก็น้อยมากอยู่แล้ว และถึงแม้ว่าฉันจะหายได้หลังจากผ่านการคีโมและรังสีบำบัดเป็นเวลานาน ฉันก็คงวิ่งไม่ได้อีกแล้ว ถ้าขาฉันโดนตัด ฉันก็กลายเป็นคนพิการ บางทีฉันอาจจะไปเข้าร่วมสมาพันธ์กีฬาคนพิการก็ได้ ยังไงทีมชาติก็ไม่ได้ต้องการนักกีฬาขาเดียวอยู่แล้วนี้ สำหรับพวกเขาฉันมันก็ไร้ค่า” ฮาวหยูอี้พูดตัดพ้ออย่างโมโห
“แต่หลังจากนั้น นายก็รู้ว่ามะเร็งไขกระดูกของนายเป็นการตรวจผิดใช่ไหม?”หลี่ไต้ถาม
ฮาวหยูอี้พยักหน้า “ในการรักษามะเร็งแล้วก็รักษาขาของฉัน พ่อแม่ฉันขายอพาร์ทเม้นแล้วส่งฉันไปที่อเมริกาไปหาผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งไขกระดูก ฉันได้รับการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งที่อเมริกานั้นละ แล้วพวกเขาก็มั่นใจแน่จริงว่า ก้อนเนื้องอกที่อยู่ในเข่าฉันมันไม่ใช่มะเร็ง แต่เป็นแค่อาการห้อเลือดเฉยๆ”
“แล้วร้ายแรงไหม?”หลี่ไต้ถามทันที
“ไม่ร้ายแรงเลย แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็เลือกที่จะอยู่ที่นั้นต่อเพื่อรักษาให้หายสมบูรณ์”ฮาวหยูอี้ยิ้มอย่างเศร้าๆก่อนจะพูดต่อ “ฉันไม่ได้เป็นนักกีฬาที่บ้านรวยเหมือนหลินเฟ่ยเหลียง ฉันไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น ระหว่างที่ฉันรักษาตัวอยู่ที่นั้น ฉันต้องเช่าอพาร์ทเม้นที่ถูกที่สุดที่อยู่แถวย่านที่โดนปล้นได้แม้แต่ตอนกลางวันแสกๆ เงินทั้งหมดของฉันทุ่มให้กับการรักษา ฉันไม่มีเงินจะไปหาข้าวกินด้วยซ้ำ ฉันเลยต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ แต่ฉันก็ไม่ได้มีวีซ่าทำงาน ฉันเลยต้องทำงานที่สกปรกและเหนื่อยที่สุดเพื่อให้ฉันอยู่รอดได้”
ฮาวหยูอี้หายใจเข้าลึกๆ เหมือนกับว่าเขาไม่อยากจำช่วงเวลาเหล่านั้น เขาพูดต่อ “และในที่สุด ขาของฉันก็หายดี แต่ครอบครัวฉันตอนนี้ติดหนี้ก้อนโต แล้วสำหรับฉัน นอกจากการเป็นนักกีฬาแล้ว ฉันก็ไม่ได้เก่งอะไรซักอย่าง”
ฉันเริ่มฝึกวิ่งตั้งแต่อายุ9ขวบ ฉันไม่เก่งอะไรเลยนอกจากการวิ่งและการเป็นนักกีฬา ฉันเลยไปสมัครเรียนปริญญาตรี ซึ่งฉันก็แค่ลงทะเบียนชื่อไว้ในมหาลัยเฉยๆ ฉันไม่ได้เข้าเรียนอะไรหรอก เพราะว่าฉันไม่เก่งอะไรเลย สำหรับฉัน คอมพิวเตอร์ยังเป็นแค่เครื่องเล่นเกมเลย เพราะอย่างนี้ ฉันเลยไม่มีทางหางานทำได้”
ขานายก็หายดีแล้วนี้ ทำไมนายไม่กลับไปทีมชาติละ?”หลี่ไต้ถามคำถามจบไปแล้ว ก่อนที่จะรู้ตัวว่าเขาพึ่งถามคำถามที่โง่ที่สุดออกไป
กับไปที่ทีมชาติเหรอ? พวกนั้นทำเหมือนฉันเป็นตัวไร้ค่าตอนอยู่นั้น แล้วทำไมฉันต้องกลับไปอีกละ?”ฮาวหยูอี๋เดือด แล้วพูดต่อ “อีกอย่าง มันไม่มีทางที่ฉันจะกลับไปได้อยู่แล้ว ฉันหายไปตั้ง2ปีเลยนะ 2มีมันเยอะมากเลยนะในช่วงเวลาที่ร่างกายพัฒนาถึงขีดสุดเนี่ย”
หลังจากพูดจบ ฮาวหยูอี๋ก็หันไปทางโค้ชของเขาแล้วพูด “โชคดีหน่อยที่มหาลัยหนานตูรับฉันไว้ ฉันเลยได้เข้าเป็นนักศึกษาปริญญาโท พวกเขาถึงขั้นให้ทุนฉันด้วยนะ แลกกับการที่ฉันต้องทำผลงานอะไรให้กับมหาลัย อีกอย่า ถ้าฉันทำผลงานได้ดีตอนที่อยู่ที่นี้ บางทีฉันก็อาจจะได้ไปเป็นโค้ชในมหาลัยก็ได้ แล้วถึงแม้ว่าจะไม่ได้ ฉันก็วางแผนที่จะขยันเรียนอีกลหลายปีหน่อย ฉันจะได้ไปหางานทำอย่างอื่นยังชีพได้บ้าง”
“เข้าใจละ”หลี่ไต้พยักหน้า แล้วเขาก็เข้าใจว่าทำไมฮาวหยูอี้ถึงได้จงเกลียดจงชังทีมชาตินัก