Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 187
ระหว่างข้าวเช้า หลี่ไต้เจอฮาวหยูอี้อีกครั้งในโรงอาหารของโรงเเรม
นี้ฉันควระจะบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องการเกษียรของเขาไปดีไหม? หลี่ไต้ลังเล 3ปีที่ผ่านมา ฮาวหยูอี้ไม่ได้เป็นมะเร็งกระดูกเลย เเล้วฉันก็ไม่ควรให้โค้ชซูรับคำด่าเเทน ตอนที่เขาคิดเเบบนั้นเอง หลี่ไต้หยิบจานของตัวเองเเล้วเดินไปที่โต๊ะของฮาวหยูอี้
“มีใครนั่งไหม?”หลี่ไต้ชี้ไปที่เก้าอี้หน้าฮาว
“ไม่มีครับโค้ชหลี่ นั่งได้เลยครับ” ฮาวหยูอี้ไม่ได้ปฏิเสธอะไรหลี่ไต้ พวกเขามีอายุใกล้ๆกันทำให้พวกเขามีอะไรเหมือนกันมากกว่าที่คิด
หลี่ไต้นั่งเเล้วคุยนิดหน่อยก็จะพูดว่า
“เมื่อวานฉันโทรไปหาโค้ชซูหลี่จากทีมชาติมา”พอได้ยินชื่อของซูหลี่เเล้วฮาวหยูอี้ขมวดคิ้วทันทีตามที่คาด
“ฉันศึกษาในทีมชาติมาก่อนหน้านี้ จะบอกว่าโค้ชซูเปนอาจารย์ของฉันก็ได้ เขาจัดให้ฉันมาทำงานเป็นโค้ชในมหาลัยชิงฮั่ว”หลี่ไต้อธิบายตัวเองก่อน จากนั้นเขาก็พูด “ฉันคุยกับโค้ชศูเกี่ยวกับเรื่องของนายเเล้ว” ฮาวหยูอี้วางตะเกียบเเล้วเงยหน้าขึ้นอย่าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “เขาพูดว่าไงบ้าง?”
“โค้ชซูบอกความจริงกับฉัน เรื่องที่นายเกษียรนั้นละ” หลี่ไต้หยุดซักพักเเล้วพูดต่อ “ในตอนนั้น เเม่นายมาทีมชาติเพื่อมาขอให้ทำให้นายโดนบีบลาออกจากทีมชาติ”
“แม่ผมเนี่ยนะ?”ฮาวหยูอี้ตกใจเล็กน้อย
หลี่ไต้บอกเรื่องราวทั้งหมดที่ซูหลี่เล่าให้เขาฟัง หลังจากนั้น ฮาวหยูอี้ก็ตกอยู่ในความเงียบ เขาไม่ได้พูดอะไรเลยนานๆ
เคยมีคำกล่าวที่ว่าไม่มีใครรู้จักลูกดีเท่ากับแม่ และในทางกลับกันนั้น ลูกๆก็รู้จักพ่อแม่ดีเหมือนกัน มันชัดเจนสำหรับฮาวหยูอี้อยู่แล้วว่าแม่ของเขาคงทำอะไรแบบนั้นแน่นอน
ฮาวหยูอี้นึกขึ้นมาได้ว่าเขาอาจจะโทษทีมชาติผิดไปในเรื่องที่เขาลาออกมานี้
หลี่ไต้ก็หยุดพูดเหมือนกัน เขาให้เวลาฮาวหยูอี้ในการคิดทบทวน และถามขึ้นมา “แม่ของนายได้สนับสนุนให้นายมาเป็นนักกีฬารึเปล่า”
“จะบอกไงดีละ ก่อนหน้านี้แม่ของผมก็ดูสนับสนุนมากๆนะ แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากที่ตรวจเจอมะเร็งแล้ว เธอก็เอาแต่พยายามบอกให้ฉันเลิกเล่นกีฬา” ฮาวหยูอี้ถอนหายใจ”แม่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกีฬามากหรอก เธอคิดเสมอเลยว่ามะเร็งมันเกิดจากการวิ่ง”
“แล้วนายยังเกลียดทีมชาติอยู่ไหม”
“ไม่รู้ซิ”ฮาวหยูอี้ส่ายหัว “ฉันไม่รู้จริงๆ”
ฮาวหยูอี้ตอนนี้สับสนไปหมด ตลอดเวลาหลายปีมานี้ เขาแบกรับความแค้นที่มีต่อทีมชาติที่โดนบีบให้ออก แต่ในวันนี้ สิ่งที่เขาได้รู้ทำให้เขาเริ่มคิดเปลี่ยนไป
“ฉันหวังว่านายจะปล่อยวางมันได้ละนะตอนนี้”หลี่ไต้พูดต่อ “นายควรจะรู้ว่านักกีฬากรีฑาในประเทศเราจะไปแยกตัวเองออกจากระบบไม่ได้ การเข้าทีมชาติแล้วแข่งเพื่อประเทศเรา นี้เป็นเป้าหมายสูงสุดแล้ว ตั้งแต่ที่นายเลือกที่จะเดินในเส้นทางสายกีฬานี้ นั้นก็หมายความว่านายมีทางเดินแค่ทางเดียวคือต้องเก่งจขึ้นเก่งขึ้น ตอนนี้ยังไงนายก็ต้องไปเจอกับทีมชาติอยู่แล้ว นายหนีมันไม่พ้นหรอก ถึงแม้นายจะบอกกับตัวเองหลังจากเกษียรแล้วแต่มันก็ยังมีความต่างระหว่างมหาลัยหนานตูกับทีมชาติอยู่นะ นายจะไปเจอกับทีมชาติด้วยความแค้นแบบนี้ไปตลอดชีวิตไม่ได้ใช่ไหมละ”
“อีกอย่าง ตอนนี้นาย26แล้วด้วย นายยังมีโอกาสที่จะกลับไปยังจุดสูงสุดอยู่นะ!”หลีร่ไต้หยุดซักพัก แล้วมองไปที่ฮาวหยูอี้อย่างรอบคอบ เขาเห็นความหวังในดวงตาของฮาวหยูอี้
ฮาวหยูอี้ส่ายหัว “ฉันอายุ26แล้วก็จริง แต่ฉันจะกลับไปเข้าทีมชาติได้ยังไง? ทีมชาติไม่ต้องการฉันหรอก ตอนนี้สถิติของฉันมันอยู่ที่10.42วินาที ซึ่งมันก็น่าพอใจอยู่นะ ถ้าฉันยังอายุ20ต้นๆแล้วได้เวลา10.42วินาทีฉันคงได้เข้าทีมชาติง่ายๆแล้วละ แต่ถึงอย่างนั้น10.42วินาทีมันไม่ได้ช่วยให้นักกีฬาอายุ26”
“แต่10.42วินาทีมันก็ยังไม่ใช่ที่สุดของนายซักหน่อย? ความสามารถของนายตอนนี้มันแย่ลงกว่าตอนช่วงพีคๆของนายเยอะมากเลยนี้”หลี่ไต้พูดต่อ”หลินเฟ่ยเหลียงยังเคยทำลายสถิติโลกเป็นรอบที่2ตอนที่เขาอายุ26เลย ตราบใดที่นายยังไม่ยอมแพ้ ฉันคิดว่านายก็สามารถกลับมาเป็นแบบเดิมได้นะ”
ตอนที่หลี่ไต้พูดถึงหลินเฟ่ยเหลียง ฮาวหยูอี้ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“หลินเฟ่ยเหลียงเหรอ? อ้อออ จำได้ละ คุณเป็นโค้ชของหลินเฟ่ยเหลียงตอนที่อยู่ในศูนย์ฝึกเป๋ยโข่วนี้!”
หลี่ไต้ยิ้มแล้วพยักหน้า ในที่สุดฮาวหยูอี้ก็จำได้
…
หวางซูกับหนานตูเป็นเมืองที่เชื่อมติดกันด้วยระบบรถไฟความเร็วสูงภายในเมือง แล้วมันก็สะดวกมากๆสำหรับฮาวหยูอี้ที่จะกลับบ้าน เขาออกจากโรงแรมหลังจาก9โมงไปแล้วเล็กน้อย พอถึงบ้าน มื้อเที่ยงก็ยังไม่เริ่มเลย
“แม่ พ่อ ผมกลับมาแล้วตนัล”พ่อแม่ของของเช่าอพาร์ทเม้นเล็กๆอยู่ ตราบใดที่ยังอยู่เป็นครอบครัว ทุกที่ก็คือบ้านที่แสนอบอุ่น
“ลูกกลับบ้านแล้ว แม่กำลังทำอาหารอยู่ข้างในพอดีเลย” พ่อของฮาวหยูอี้พูด
เมื่อคืนฮาวหยูอี้บอกครอบครัวแล้วว่าเขาได้เหรียญเงิน พวกเขาเลยไม่ถามว่าการแข่งเป็นไงอีก
“เดี๋ยวผมไปช่วยแม่นะครับ!”ฮาวหยูอี้วางกระเป๋าแล้วถอดเสื้อนอกออกแล้วเดินเข้าครัว ซักแปปนึงอาหารหลายจานก็ถูกยกมาวางที่โต๊ะ ถึงแม้ว่าอาหารจะไม่ได้หวือหวาอะไร แต่มันก็คงคุณค่าสารอาหาร
“นี้ลูก แข่งมาคงเหนื่อยมาก กินเยอะๆซิ”แม่ของฮาวหยูอี้ตักอาหารใส่จานของฮาวหยูอี้
“มีกับเยอะแล้วครับ ผมพอแล้ว”ฮาวหยูอี้กินข้าวเต็มปากแล้วพูด “ผมเจอคนรู้จักที่หวางซูด้วยละครับ เขาเป็นโค้ชจากทีมชาติ”พ่อแม่ของฮาวหยูอี้ไม่ตอบอะไรเขา เหมือนกับว่าพวกเขาไม่อยากตอบ
ฮาวหยูอี้พูดต่อ “เขาบอกว่าตอนที่ผมได้รับผลตรวจผิดมา แม่ไปที่ทีมชาติแล้วไปพบหัวหน้าโค้ชมา”
พ่อแม่ของฮาวหยูอี้วางตะเกียบลงแล้วมองหน้ากันเอง พวกเขารู้ว่าปิดไว้ไม่ได้อีกแล้ว
และสุดท้ายพ่อของเขาก็พูดขึ้น “ใช่ พวกเราไปทีมชาติมาแล้วก็ไปพบหัวหน้าโค้ชฮาวชูเหล็นด้วยตัวเอง แล้วก็รองหัวหน้าโค้ชซูหลี่ด้วย แล้วก็เป็นพวกเราเองที่ขอให้พวกเขาบีบลูกให้เกษียรเอง”
ก่อนที่ฮาวหยูอี้จะถามอะไร พ่อของเขาก็พูดต่อ “แม่ของลูกกับพ่อไม่อยากให้ลูกเป็นนักกีฬาอีกแล้ว ถึงแม้ว่าเนื้องอกในเข่าของลูกมันจะไม่ใช่มะเร็งแล้วรักษาหายได้ แต่มันก็ต้องเสียเวลาในการฝึกไปอีกหลายปี รอบนี้มันอาจจะไม่ใช่มะเร็ง แล้วรอบหน้าละ ในอนาคตละ?”
พ่อฮาวหยูอี้ถอนหายใจอย่างเสียใจ เขาพูด “พ่อกับแม่ก็เริ่มแก่แล้ว ครอบครัวของเราก็เปราะบางลงทุกวัน ถ้าลูกเอาแต่ฝึกอยู่แล้วลูกก็เป็นมะเร็งไปอีกคน พวกเราจะทำยังไง?”
รอบนี้แม่ของเขาพูดบ้าง “ลูกเป็นลูกคนเดียวของเรานะ พ่อกับแม่ไม่ได้อยากให้ลูกกลายเป็นคนที่ชนะหลายการแข่งหรือหาเงินได้มากมายมหาศาล แต่พ่อกับแม่ก็หวังแค่ว่าให้ลูกปลอดภัยแค่นั้นเอง เรามีความสุขมากๆแล้วแค่เราครอบครัวอยู่ด้วยกัน”
ตั้งแต่ที่ลูกกลับมาจากอเมริกา พ่อกับแม่ก็เป็นห่วงมาตลอดเลยนะ เรากลัวว่าลูกจะเป็นมะเร็งไขกระดูกจริงๆ เราหาข้อมูลตั้งเยอะแยะเลยนะ อย่างเช่น ผลจากการฝึกเป้นเวลานานทำให้นักกีฬาหลายคนบาดเจ็บไปตลอดชีวิตหรือไม่ก็พิการไปเลย ชีวิตของพวกเขาเจ็บปวดมากๆ โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาแก่ตัวไปแล้ว เราไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นเลย”พ่อของเขาพูด
แล้วแม่ก็พูดกับเขาต่อทันที “ลูก ช่วยให้แม่ได้ตามใจหวังทีเถอะนะ เลิกฝึกแล้วอย่าเป็นนักกีฬาอีกเลยนะ แม่ขอละ!”