Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 206
ตอนที่206 สู้เพื่อพ่อ
หน้าของโค้ชทีมชาติกาตาร์ชากันเป็นแถบๆ เอาจริงๆเรียกว่าไม่รู้จะทําหน้ายังไงดีเลยดีกว่า
คลาร์กนักกีฬาตัวจี๊ดของกาตาร์ดันล้มแล้วไปเกี่ยวเอาเพื่อนร่วมชาติอีกคนนึงล้มตามไปด้วย สมาชิกในทีมการ์ต้าทุกคนออกจากการแข่งขันในชั่วพริบตา โอไนด้าเองก็เป็นนักกีฬาที่ย้ายเข้าเหมือนกัน เขาเป็นนักกีฬาผิวสีจากแอฟริกา ถึงเขาจะไม่เก่งเท่าคลาร์ก แต่ด้วยคุณสมบัติของร่างกายและพรสวรรค์ที่ประทานมาให้กับนักกีฬาผิวสีในด้านการวิ่ง โอไนด้าก็เป็น1ในคนที่มีโอกาสได้เหรียญสูงมาก แต่ตอนนี้ ความหวังที่จะได้เหรียญทองของคลาร์กหายไปแล้ว โค้ชของทีมกาตาร์ก็หน้าชากันไป มีอีกคนที่หน้าชาไม่แพ้กันก็คือ ซูหลี่ เนื่องด้วยฉืออี้จุนที่เป็นนักกีฬาทีมชาติ จีนก็โดนชนร่วงไปด้วยอีกคน ฉืออี้จุนเป็นคนที่เคยเข้าร่วมการแข่งโอลิมปิคและเป็นนักกีฬาที่มี สถิติระดับAของโอลิมปิค ทําให้เขามีโอกาสที่จะได้เหรียญรางวัลในเอเชี่ยนเกมสูงมาก ซูหลี่วางแผนที่จะให้ฉืออี้จุนเป็นตัวคว้าเหรียญในการแข่งครั้งนี้ แต่ความหวังนั้นก็หายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว โค้ชจากประเทศญี่ปุ่นดูจะดี๊ด๊าสุดในสถานการณ์นี้ แถมยังเชียร์อย่างสุดเสียงอีกด้วย
บนลู่วิ่ง โอดะแห่งรุ่งอรุณไม่ได้ยินเสียงเชียร์ของโค้ชตัวเองเลยแม้แต่น้อย เสียงรอบข้างรวมถึงเสียงลมมันดังเกินกว่าที่เขาจะได้ยินเสียงตะโกนของคนๆเดียว
เอาจริงๆ ส่วนมากในหัวของนักวิ่งเร็ว100เมตรมักจะไม่ค่อยมีอะไรเหลือตอนแข่ง นอกจากการวิ่งไปข้างหน้าแล้วเข้าเส้นชัย
นักกีฬาที่มีประสบการณ์ในการแข่งสูงๆมักจะจับตาดูคู่แข่ง และคงความเร็วรวมถึงปรับความเร็วให้เหมาะระหว่างแข่งได้
แต่ถึงจะไม่ได้ยินแต่โอดะก็รู้ว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว
นักกีฬาตัวเต็งทั้ง3คนที่มีโอกาสได้เหรียญมากที่สุดตอนนี้ร่วงลงไปกับพื้นแล้ว ดังนั้น โอดะที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์การชนล้มกันก็เลยรู้ว่า โอกาสของเขาอยู่ตรงหน้าแล้ว
แชมป์เอเชี่ยนเกม! ชื่อตําแหน่งนั้นขึ้นมาในใจของโอดะ เป้าหมายในเข้าแข่งตลอด4ปีที่ผ่านมา แต่เขาก็พบว่าวันนั้นกําลังจะมาถึงแล้ว
โอดะหันไปมองดูรอบๆ ตอนนี้เหลือนักกีฬาสที่วิ่งอยู่ในลู่5คน และช่องว่างระหว่างแต่ละคนก็ไม่ได้กว้างมาก เพราะฉะนั้นจึงยังบอกไม่ได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะกันแน่
คนที่วิ่งแบบไหล่ชนไหล่กับเขาทางซ้ายคือหยางฉือจี๋
ไม่แปลกเลยว่าทําไมหยางฉือจี๋คนนี้ถึงเข้ารอบสุดท้ายมาได้ เขาเก่งจริง แต่ในเอเชีย ฉันเป็นที่สุดแล้วในรุ่นอายุนี้ หยางฉือจี๋อายุน้อยกว่าฉันไม่กี่เดือน อย่ามาทําเก๋าไปหน่อยเลย
ก่อนหน้าที่จะเริ่มแข่ง โอดะได้ดูข้อมูลของนักกีฬาแต่ละคนในการแข่งรอบสุดท้าย เขารู้ว่าหยางฉือจี๋อายุน้อยกว่าเขาไม่กี่เดือน โอดะเลยค่อนข้างมั่นใจในพลังของตัวเองต่อหน้าคู่แข่ง
ความมั่นใจนี้มันได้มาจากการชมของคนอื่น โอดะเกิดในโอซาก้า และที่นั่น เขาได้ถูก ยกให้เป็นนักวิ่งอัจฉริยะในโอซาก้าตั้งแต่สมัยมัธยมต้น แล้วตอนที่เขาขึ้นม.ปลาย เขาก็ถูกมองว่าเป็นนักวิ่งที่อัจฉริยะที่สุดในญี่ปุ่น
ตอนเขาอยู่ม.5ในระหว่างการแข่งกีฬามัธยมปลาย โอดะได้สร้างสถิติ9.97วินาทีด้วยความบังเอิญ ในตอนนั้นเอง เขาได้กลายมาเป็นความหวังใหม่ของวงการวิ่งเร็วญี่ปุ่น แล้วก็ถูกเรียกอย่างนั้นในสื่อทั่วญี่ปุ่น
จากแค่ระดับโรงเรียนสู่ระดับมหาลัย โอดะได้รับฉายาว่าเป็นอัจฉริยะต่อไป และเพื่อที่จะขัดเกลาศักยภาพของเขา ทางญี่ปุ่นเลยส่งเขาไปเข้าร่วมการแข่งนานาชาติมากมาย โอดะเคยได้แข่งแม้กระทั้งกับกริทเทล 1ในนักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าเขาจะแพ้ยับให้กับความทรงพลังของนักกีฬาผิวสีในทุกๆรอบ แต่ความทะเยอทะยานที่อยากจะเก่งขึ้นมากกว่านี้
อย่างน้อยเขาก็เก่งที่สุดในบรรดานักกีฬาที่อายุน้อยกว่า 20
ในตอนนั้นเองที่โอดะมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะหยางฉือจี๋ได้ในอีก10เมตรข้างหน้า
ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความแค้น หยางฉือจี๋ไม่ได้สนใจเรื่องนักกีฬา3คนที่พึ่งล้มไปเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้มีแค่การเอาชนะโอดะให้ได้
ฉันจะไม่แพ้ไอ้ญี่ปุ่นนั้น ฉันต้องชนะ เพื่อเกียรติของพ่อฉัน
ในตอนนั้นเองที่เขานึกภาพหน้าของพ่อขึ้นมา ลึกๆในใจแล้วเขาเป็นคนที่รักพ่อของเขามาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจเหมือนพ่อเขา แต่เขาก็ยังนับถือพ่อเขาในฐานะบุคคลต้นแบบ
แล้วพอเขาคิดถึงเรื่องความไม่ยุติธรรมที่พ่อเขาได้รับในช่วงนั้น ในหัวใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความเที่ยง เขาอยากที่จะแก้แค้นให้พ่อของเขา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเมื่อ20ปีก่อน แล้วโอดะคนนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนั้นเลยก็ตาม แถมเรื่องงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์กับการกีฬามันเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างมาก นั้นเลยกลายเป็นความคิดแก้แค้นแบบเด็กๆของหยางฉือจี๋ ที่ระบายลงโอดะอยู่ฝ่ายเดียว
มันก็คล้ายๆกับกลุ่มติ่งหัวรุนแรงที่คลั่งไอดอลชาย ถ้าไอดอลของเขาโดนวิจารณ์เสียๆหายๆเมื่อไร กลุ่มติ่งพวกนี้ก็สามารถตามไปเผาบ้านคนวิจารณ์ได้ง่ายๆทีเดียว มันจึงเป็นเหตุที่ทําให้เกิดสงครามระหว่างกลุ่มทั้ง2กลุ่มบ่อยๆครั้ง
และตอนนี้ หยางฉือจี๋ก็เป็นคล้ายๆกับติ่งเดนตายของหยางหลิน พ่อของตัวเอง เขาทั้งเป็นคนที่ใกล้ชิดและเคารพรักที่สุด หยางฉือจี๋อยู่ภายใต้รัศมีของ”คุณพ่อรางวัลโนเบล”มาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก เขาเลยมีความเคารพพ่อตัวเองเหมือนคนที่นับถือศาสดาของศาสนา
ตอนนี้พ่อจะอยู่แลป หรืออยู่บ้านนะ? บางทีตอนนี้เขาอาจจะอยู่บ้านนั่งดูทีวีอยู่ หรือว่ากําลังดูฉันอยู่! พอคิดแบบนี้แล้ว ดวงตาของหยางฉือจี๋ก็ลุกเป็นไฟ
เขาอยากที่จะให้พ่อของเขาเห็น และพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าพ่อของเขา ตอนนี้สภาพของเขาเหมือนดั่งดาราคนหนึ่งที่ตื่นเต้นจนไม่หลับไม่นอนเพราะว่าดาราที่ตัวเองชอบโบกมือแล้วยิ้มให้
พ่อของฉันกําลังดูฉันอยู่ ฉันจะแพ้ไม่ได้! ฉันจะไม่มีทางไอ้ญี่ปุ่นนั้นเด็ดขาด!
ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้า ทําให้หยางฉือจี๋พุ่งไปด้วยความเร็วสุดพลัง
อีก1วินาทีที่ผ่านไป นักกีฬาวิ่งก็ได้วิ่งผ่านไปอีก10เมตรแล้ว
ซาราฟานักกีฬาสัญชาติอาหรับมองไปทางซ้ายนักวิ่ง2คนที่อยู่ในเลนข้างๆของเขานําเขาอยู่
ไอ้คนเอเชีย2คนนั้นมันเร็วกว่าฉันอีกเหรอ! ทันใดนั้นเอง ซาราฟาก็เริ่มวิตกกังวล
เขาเป็น1ในนักกีฬาที่นําเข้ามาจากทวีปแถบแอฟริกา เขาเกิดในอูกันด้า ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาที่สุดในโลก อุตสาหกรรมการเกษตรเป็นอุสาหกรรมหลักในอูกันด้า แต่ประเทศนี้ก็ยังจําเป็นจะต้องนําเข้าอุปกรณ์การเกษตรปุ๋ย หรือแม้กระทั้งเมล็ดพันธ์
อีกอย่าง อูกันด้าเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยโรคร้ายนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นมาราเลีย กาฬโรค ไข้หวัด ไข้เหลือ และอีกเป็น10 ผู้ใหญ่จํานวน100คนในอูกันด้าจะมีกคนเป็นโรคเอดส์ แม้แต่เชื้อไวรัสอีโบล่ายังพบเจอที่นี้เป็นที่แรกเลย
มันเป็นประเทศที่ไม่เหมาะสมกับการดํารงชีวิตอยู่สุดๆ ซาราฟาเลยตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสัญชาติตัวเอง ตอนแรกเขาอยากที่จะเข้าไปอยู่ในอังกฤษ เพราะว่ายังไง อูกันด้าก็เคยเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษและอังกฤษเองก็มีอิทธิพลต่อประเทศของเขามาก
แต่ถึงอย่างนั้น ซาราฟาก็ไม่ใช่นักกีฬาวิ่งตัวจี๊ดของโลก ผลการวิ่งของเขานั้น มันมากกว่า10วิ ดังนั้น ทางอังกฤษเลยไม่ยอมรับเขาเข้าประเทศ แต่หลังจากที่เข้าแข่งได้ไม่นาน ซาราฟาก็สามารถพาตัวเองไปเป็นนักกีฬานําเข้าในประเทศอาหรับ
นอจากความสามารถในด้านการวิ่ง100เมตรของซาราฟาแล้ว ทางอาหรับยังให้ค่าความสําคัญในเทคนิคการวิ่ง200เมตรของเขาด้วย ถ้าเทียบกับคลาร์กของกาตาร์แล้ว แรงระเบิดพลังของซาราฟาอาจจะน้อยกว่าแต่เทคนิคการเข้าโค้ชของซาราฟาดีกว่าเยอะ
สถิติของซาราฟาในการวิ่ง200เมตรคือ20.07วินาที ซึ่งนับว่าดีที่สุดในเอเชีย แต่มันยังไม่มากพอจะไปเข้ารอบไฟนอลในกีฬาโอลิมปิคหรือไปแข่งชิงแชมป์โลก
ถึงแม้ว่าการแข่งวิ่ง200เมตรจะไม่ได้จัดบ่อยหรือนิยมเท่ากับการวิ่ง100เมตร แต่มันก็ไม่ได้เป ยนความเป็นจริงที่ว่าเขาชอบการวิ่งในระยะ200เมตรมากกว่า แล้วก็มีความสามารถจะได้เหรียญทองในกีฬาเอเชี่ยนเกมด้วย
ในตอนนี้ทั้งคลาร์กและโอไนด้าออกจากการแข่งขัน มีเพียงแค่ซาราฟาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นนักกีฬาผิดสีในการแข่งนี้ ซาราฟาคิดได้ว่าเขาสามารถเอาชนะแล้วได้แชมป์ได้ แต่ความคิดนั้นก็หายไปเมื่อเขาเห็นนักกีฬาชาวเอเชียแท้2คนกําลังนําเขาอยู่ในระยะที่เหลืออยู่20เมตร
นี้ฉันจะแพ้นักกีฬาชาวเอเชียทั้ง2คนนั้นเหรอ? ไม่ดิ! ฉันจะมาแพ้แบบนี้ไม่ได้! ใน20เมตรสุดท้ายซาราฟาพยายามอย่างสุดแรงเกิด
จนถึงตอนนี้โอดะยังคงเห็นหยางฉือจี๋อยู่ที่หางตาของเขา หยางฉือจี๋ยังคงวิ่งเทียบแบบไหล่ชนไหล่กับเขาอยู่
นี่ฉันยังทิ้งห่างเขาไปไม่ได้อีกหรอ ไม่ใช่ว่าฉันเก่งกว่าเขาเหรอ? โอดะเริ่มโมโห
ในบรรดานักวิ่งอายุเท่าฉันในเอเชีย ฉันเป็นคนที่เร็วที่สุด! ไอ้เด็กนี้มันก็อายุพอๆกับฉัน ทําไมมันถึงเร็วกว่าได้วะ! ฉันต้องชนะซิ!
ความโกรธเริ่มปะทุขึ้น เขาอยากที่จะเอาชนะหยางฉือจี๋ให้ได้ในระยะ20เมตรสุดท้ายนี้
ฉันเป็นอัจฉริยะนะ ฉันเป็นคนที่เก่งที่สุดในรอบ100ปีแม้แต่โค้ชซาซากิยังบอกเลยว่าฉันยังเก่งกว่าเขาอีก แล้วจะกลายเป็นนักวิ่งที่เก่งที่สุดในเอเชียคนต่อไป ฉันจะไปแพ้ไอ้ลูกเจ๊กขี้แพ้นี้ได้ไงกัน
ด้วยความเดือดดาลที่มี โอดะเร่งสปีดของตัวเองจนไปถึงจุดขีดสุด
“ดีมากโอดะ นายนําแล้ว!”โค้ชซาซากิตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น เขาเห็นตัวเองในตอนเป็นเด็กในตัวโอดะ
ซาซากิเคยเป็นนักวิ่งที่เก่งที่สุดในเอเชีย เขาเป็นตัวแทนของยุคทองญี่ปุ่น ในตอนนั้น นักวิ่งญี่ปุ่นชนะทุกคนในเอเชีย ในการแข่งขันบางช่วงแทบจะมีญี่ปุ่น3คนยืนอยู่บนแท่นรับรางวัลด้วยซ้ํา
แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากที่เขาเกษียณ วงการวิ่งของญี่ปุ่นก็ได้ถดถอยลง พวกเขาไม่สามารถชนะได้แม้กระทั้งในเอเชียตะวันออกด้วยกันเอง อย่าแม้แต่จะไปเทียบกับนักกีฬานําเข้าที่แข็งแกร่งจากเอเชียตะวันตกเลย
แต่ตอนนี้ ซาซากิอะกิตะกําลังเห็นอนาคตของวงการญี่ปุ่นกลับมาเพื่องฟูอีกครั้ง
“อีกแค่20เมตรเอง โอดะ ทนไว้!!”
ซูหลี่เริ่มรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา
ถึงแม้ว่าฉือจุนจะล้มลงไปแล้ว แต่หยางฉือจี๋ก็กําลังขึ้นนแล้ววิ่งแบบประชิดติดขอบกับโอดะ
“เอาหน่อยหน่ะ!” ซูหลี่ตะโกนเชียร์
แต่ถึงอย่างนั้น โอดะก็สับเท้าเร็วขึ้นชั่วขณะในตอนนั้น
แย่ละ! แบบนี้เราอาจจะแพ้ก็ได้ ใจของซูหลี่ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ใน20เมตรสุดท้ายของการแข่ง การได้เปรียบเพียงเล็กน้อยที่สุดก็สามารถตัดสินได้ ว่าใครจะแพ้หรือชนะ
ย้อนกลับไปในเมืองฮั่วจิงนั้นเอง หยางหลินตั้งใจกลับบ้านก่อนเวลาเพื่อจะได้มาดูการแข่งของลูกชาย
ในตอนนั้น หยางหลินนั่งไม่ติดโซฟา ยืนเชียร์ลูกชายอยู่หน้าทีวี
ในฐานะที่เขาเป็นนักวิจัยรางวัลโนเบล เขาต้องประสบพบเจอกับอะไรมากมาย เขาจึงจําเป็นที่จะต้องใจเย็นในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทําใจให้เย็นได้เลย เพราะลูกชายของเขาตอนนี้กําลังดวลตัดสินกับคู่แข่งแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
หยางหลินนึกถึงช่วงเวลาที่เขากดดันแบบนี้ครั้งสุดท้ายก็เป็นช่วงเวลา30นาทีก่อนตัดสินรางวัลโนเบล เขารู้แล้วว่าเขาเป็น1ใน3คนสุดท้ายที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง ในตอนนั้นลุ้นยังไง ตอนนี้ก็ลุ้นอย่างนั้นเลย
หยางหลินหายใจออกอย่างตื่นเต้นแล้วพึมพํากับตัวเอง “ลูกคนนี้ชอบทําให้พ่อตื่นเต้นเล่นเหลือเกิน”
ในสนามแข่ง ชาราฟาใช้ทุกอย่างที่ตัวเองมี ในฐานะที่เขาเป็นนักกีฬาผิวสี เขาจึงมีแรงระเบิดพลังที่ไม่ได้น้อยกว่าใครในการแข่งขันนี้ เขาจึงใช้ทั้งหมดเพื่อไล่ตามโอดะจนทัน
ส่วนอีกด้านนึง หยางฉือจี๋ก็สังเกตได้ว่าโอดะสับเท้าเร็วขึ้น
เขาไม่อยากจะโดนแซงเขาเลยใช้กําลังทั้งหมดที่มีวิ่งไปข้างหน้า มันเหลืออีกเพียง10เมตรสุดท้ายเท่านั้น แต่นักกีฬาทั้ง3คนยังวิ่งติดกันแบบเทียบกันเป๊ะๆ
ฉัน เป็น อัจฉริยะของวงการ ฉันคือความหวังของญี่ปุ่น ฉันจะไปแพ้ได้ไงวะ! โอดะคิดอยู่ในใจ
ฉันเป็นคนที่เก่งที่สุดในนี้ เป็นคนที่ย้ายเข้ามาจากแอฟริกาเพียงคนเดียว ฉันเร็วกว่า แข็งแรงกว่าพวกเอเชียง่อยๆนั้นซิ แล้วนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันมีค่า ฉันจะไปแพ้พวกนี้ได้ไงกันละ ฉันไม่อยากกลับไปที่อูกันด้า! เลือดของซาราฟาเดือดดาล เหมือนเขากําลังวิ่งหนีจากอดีตที่ขมขึ้นของตัวเอง
พ่อครับ มองผมให้ดีนะครับ ผมจะชนะให้ได้ ผมต้องชนะให้ได้ เพราะผมเป็นลูกของพ่อ ผมจะไม่ทําให้พ่อผิดหวัง ผมจะทําให้พ่อภูมิใจในตัวผมให้ได้! เส้นชัยไม่ได้เป็นอย่างเดียวที่อยู่ในสมองของหยางฉือจี๋ตอนนี้ แต่กลับเป็นหน้าของพ่อเขา
วินาทีต่อมา ไม่ซิ เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา นักวิ่งทั้ง3คนนั้นก็ได้เข้าเส้นชัย “แบบพร้อมเพรียงกัน”
พวกเขายืดอกรับเทปเส้นชัยในแทบจะเสี้ยววิเดียวกัน
เข็มนาฬิกาหยุดลงที่10.27วินาที ซึ่งไม่ได้เป็นผลงานที่ดีเท่าไรสําหรับการแข่งเอเชี่ยนเกม ถ้าคลาร์กยังอยู่ เขาคงตบพวกนี้ทีมไปแล้ว
เสียงของกรรมการตัดสินดังขึ้นมา พร้อมกับชายหนุ่มที่ชูนิ้วชี้ของเขาขึ้นฟ้า
คนๆนั้นคือหยางฉือจี๋!!
เสียงเฮดีใจของคนทั่วทั้งสนามแข่งดังระทํานึกก้องไปทั่วสนาม
“ชนะ! เราชนะ! “ หลีไต้มองดูหยางฉือจี๋จากระยะไกล เขารู้ว่าชัยชนะนี้มันได้มายากเย็นขนาดไหน (ก็ยากซิแหม แข่งแค่10วิแต่ร่ายยาวไป2ตอน แถมตอนนี้ยังล่อไปเกือบ3000คํา)
ในบรรดานักกีฬาทั้ง3คนนั้น หยางฉือจี๋มีความสามารถที่น้อยที่สุด แถมยังไม่ได้มีแรงระเบิดพลังที่แกร่งเท่าซาราฟาหรือโอดะ แต่หยางฉือจี๋ก็ชนะการแข่งมาได้ ด้วย(พลังของติ่งพ่อ เอ้ย ไม่ใช่) พลังการก้าวข้ามตัวมาได้อีกครั้ง
“หยางฉือจี๋ นายทําได้แล้ว” หลีไต้ยิ้ม ที่เขายิ้มไม่ใช่แค่เพราะหยางฉือจี๋ชนะ แต่เป็นเพราะเลเวลในระบบเขาอัพอีกแล้ว!