Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 212
ตอนที่ 212 อาสาสมัคร
ซูหลี่ตกใจพอสมควร เขาไม่คิดฮาวหยูอี้จะเป็นแชมป์ได้
เดิมทีฮาวหยูอี้เองก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนของทีมชาตินัก และถ้าไม่ได้หลี่ไต้คอยอวย เขาก็คงไม่ได้เข้ามาในแคมป์ฝึกเอเชี่ยนเกมแน่ๆ แล้วขั้นตอนการคัดเลือกก็ขึ้นๆลงๆเหลือเกิน จนถึงขั้นต้องมีการแข่งกันตอนสุดท้ายเพื่อวัดว่าใครจะได้ไปในวินาทีสุดท้าย แต่วันนี้คนที่เป็นที่โต้เถียงว่าไม่ควรจะเอาเข้ามาในวันนั้น กลายมาเป็นแชมป์ ซึ่งทําให้ซูหลี่รู้สึกเหมือนกับถูกหวย
สถิติของฮาวหยูอี้คือ20.60วินาที ซึ่งก็ไม่ได้ดีมากนัก เขายังไปไม่ถึงมาตรฐานระดับAของโอลิมปิคด้วยซ้ำ แล้วถ้าเทียบตามฐานความสามารถของนักกีฬาเอเชี่ยนเกมแล้ว สถิติระดับนั้นเรียกได้ว่าได้มาแบบฟลุ๊คชัดๆ
บางทีฮาวหยูอี้อาจจะดวงดีโคตรๆ เพราะทั้งโอไนด้าทั้งฉืออี้จุน รวมถึงคลาร์กออกจากการแข่งขันไปก่อนหน้านี้ แล้วฉืออี้จุนก็เป็นไข้ ความสามารถของเขาเลยลดลงอย่างมาก ส่วนซาราฟาเองก็ติดฝน วิ่งไม่ค่อยออก เลยทําให้ฮาวหยูอี้ได้แชมป์ไปแบบงงๆ
และเพราะว่าในวงการกีฬานั้นแค่ผลลัพท์ก็พอแล้ว ทันทีที่การแข่งขันจบลง ผู้คนก็จําชื่อแค่แชมเปี้ยนส่วนได้มายังไงนั้น ไม่ค่อยสนหรอก ไม่ว่าจะเพราะดวงหรืออะไร ฮาวหยูอี้ก็คู่ควรมากพอที่จะเป็นแชมป์ของเอเชี่ยนเกม
อีกอย่าง ส่วนมากดวงก็มีส่วนในการทําให้ชนะ เพราะกีฬามันเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน ในหลายๆการแข่งหลายๆกีฬาที่ดวงสามารถตัดสินคนแพ้ชนะได้เลย
ซูหลี่มองไปที่โพเดี้ยมรับรางวัลด้วยสีหน้ายิ้มอย่างพอใจ
ตอนนี้ทีมชาติได้ไปแล้ว2เหรียญทอง คือ100กับ200เมตร ตอนแรกทีมชาติกะจะเอาแค่เหรียญเดียว แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะไปไกลกว่าที่ฝันแล้ว
และตอนนี้ ก็เหลือแค่วิ่งผลัดอย่างเดียวแล้ว พอคิดแบบนี้แล้วซูหลี่ก็เริ่มเครียดขึ้นมา
เหว่ยซือเต๋ายังเป็นไข้อยู่เลย ถ้ายังไม่กินยาแบบนี้ แค่กินน้ำกับชุบน้ำเช็ดตัว มันทําให้ไข้ลดแทบจะไม่ได้เลย
ในกลางคืนที่เงียบงันนั้นเอง นักกีฬาทุกคนต่างหลับใหล แต่โค้ชทุกคนยังคงอยู่รวมกันในห้องประชุม
“เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว หมอวัดอุณหภูมิร่างกายของเหว่ยซือเต๋าได้39องศา อย่าคิดเลยว่าไข้จะลดภายในคืนนี้ คงมีแต่ปาฏิหารย์เท่านั้นละที่จะทําให้ไขมันไม่ขึ้นไปมากกว่านี้ได้อะ” ซูหลี่หยุดแล้วพูดต่อ “ผมไม่มีแผนที่จะให้เหว่ยซือเต๋าลงแข่งวิ่งผลัดนะ ถ้าดูจากสภาพเขาตอนนี้แล้ว เดินให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปแข่งจะดีกว่า”
งั้นการแข่งวิ่งผลัด 4×100เมตรคนเข้าแข่งก็ไม่พอซิครับ? งั้นเราจะไปขอยืมนักกีฬาจากการแข่งรายการอื่นดีไหมครับ”ใครบางคนพูดขึ้นมา
ซูหลี่พยักหน้า “ก็สําหรับการประชุมในวันนี้ผมเลยชวนโค้ชเหอจากทีมกระโดดไกลมาด้วย เราจําเป็นจะต้องยืมตัวนักกีฬาจากทีมเขา”
ในการแข่งขันกีฬา ถ้าขาดคนลงแข่งวิ่งผลัด4×100เมตรแล้วจําเป็นจะต้องขอยืมนักกีฬาจากทีมอื่น ตัวเลือกแรกๆไม่ใช่ทีมวิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางไม่ก็วิ่ง400เมตร แต่เป็นทีมกระโดดไกล
การกระโดดไกลและการวิ่งเร็วนั้นมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายๆกันและจะมีสิ่งที่ต้องการทางกายภาพสําหรับนักกีฬาใกล้เคียงกัน ทั้งกระโดดไกลและวิ่งเร็วจําเป็นจะต้องใช้แรงระเบิดพลังของนักกีฬาอย่างมหาศาล ก็ในขณะช่วงเริ่มออกตัววิ่งของการกระโดดไกล นักกีฬาจะต้องวิ่งด้วยความเร็วสูง
ก็ถ้าพูดกันตามปรกติแล้ว นักกีฬากระโดดไกลก็วิ่งเร็วใช้ได้เหมือนกัน และนักกีฬากระโดดไกลที่ดีที่สุดอาจจะวิ่งได้เร็วกว่านักกีฬาวิ่งระดับทั่วไปด้วยซ้ำ สําหรับนักวิ่งแล้ว การกระโดดก็จําเป็นที่จะต้องใช้เทคนิ่งการกระโดดเพิ่มเติมนิดหน่อย พวกเขาก็สามารถกระโดดได้อย่างดีแล้ว
ในประวัติศาสตร์ เคยมีแชมป์โลกที่เป็นแชมป์ทั้งกระโดดไกลและวิ่ง100เมตรในคนเดียวกัน
และตอนนี้ กีฬาแข่งวิ่งผลัด4×100เมตรก็กําลังขาดคน ทางทีมชาติเลยขอให้ทีมกระโดดไกลช่วยอย่างไม่ลังเล ดังนั้น ซูหลี่เลยชวนโค้ชเหอที่เป็นคนคุมทีมกระโดดไกลมาปรึกษาด้วย
ซูหลี่หันไปถามโค้ชเหอ “โค้ช เราต้องการความช่วยเหลือด่วนเลย ได้โปรดช่วยแนะนํานักกีฬาที่เหมาะกับการแข่งวิ่งผลัด4×100เมตรมาทีครับ!”
“ผมคิดว่าฝางไฮควานเหมาะสมที่สุดกับการแข่งนี้ เขามีทั้งร่างกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงระเบิดพลัง และความเร็วที่เร็วกว่านักกระโดดไกลคนอื่นๆทุกคน อีกอย่าง เพราะว่าฝางไฮควานได้แชมป์กระโดดไกลไปแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะที่ความมั่นหน้ามั่นใจเต็มเปี่ยมเลย ตาเฒ่าซู จากมุมมองของผม ฝางไฮควานเหมาะที่สุดแล้ว”โค้ชเหอพูด
โค้ชเหอตอนนี้อายุมากกว่า60ปีแล้ว และโดนจ้างกลับมาหลังจากเกษียรอีกรอบ ตอนนี้เขาอายุมากกว่าซูหลี่อีก และน่าจะเป็นคนเดียวในทีมชาติที่กล้าเรียกซูหลี่ว่าตาเฒ่าซู
“ผมเห็นตอนฝางไฮควานแข่งแล้ว เขามีแรงระเบิดพลังที่ยอดไปเลย ผมเห็นด้วยกับโค้ชเหอนะ” ซูหลี่พูดแล้วหันไปทางมวลโค้ช “มีใครเสนออะไรอีกไหม? บอกมาได้เลยนะเราจะได้ปรึกษากันเลย”
ไม่มีใครตอนซูหลี่รอซักนาที และพอเห็นว่าไม่มีใครค้าน เขาเลยพูดต่อเอง “ถ้าไม่มีใครค้านก็ตกลงตามนี้ ฝางไฮควานจะมาแข่งวิ่งผลัด4×100เมตรด้วย!”
–
ซูหลี่เขียนชื่อของฝางไฮควานลงในรายชื่อ จากนั้นก็พูด “ฮาวหยูอี้ หยางฉือจี๋ หนิวกั๋วหง และ ฝางไฮควาน พวกเขาทั้ง4คนนี้จะเป็นตัวแทนเข้าแข่งวิ่งผลัด 4×100เมตรในวันพรุ่งนี้ แต่ฝางไฮควานเป็นนักกระโดดไกล เขาไม่เคยแข่งวิ่งผลัด4×100เมตรมาก่อน ดังนั้นเราจะต้องจัดการฝึกพิเศษ การแข่งรอบชิงจะเกิดขึ้นหลัง1ทุ่มครึ่ง นั้นหมายความว่าเรามีเวลาซ้อมช่วงกลางวัน”
ตอนที่เขาพูด เขาก็มองไปที่มวลโค้ชทั้งหลาย “เรามีเวลาเตรียมตัวแค่วันเดียว เวลาเรามีน้อยและการฝึกก็ค่อนข้างหนัก ใครอยากจะเสนอตัวเองไหม”
โค้ชคนอื่นๆในห้องมองหน้ากันเองแล้วไม่พูดอะไร
เอาจริงๆทุกคนรู้ว่ามันไม่ใช่งานที่ดีเลย ในสายตาพวกเขา โค้ชที่รับงานนี้อาจจะเป็นเหมือนแพะรับบาปถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา
แข่งวิ่งผลัด 4×100เมตรไม่ได้ต้องการแค่ความเร็วอย่างเดียว แต่รวมถือการร่วมมือกันในทีมด้วย แม้แต่นักกีฬาที่นําอยู่0.1วินาที แล้วเปลี่ยนไม้เมื่อไร การขึ้นนํานั้นอาจจะไม่มีอีกแล้วก็ได้หรือถ้าแย่กว่านั้น ทั้งที่มอาจจะพังไปเลยก็มี
ปรกติแล้วการสร้างทีมเวิร์คนั้น นักกีฬาจะต้องฝึกด้วยกันอย่างน้อย1-2อาทิตย์ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝึกกันได้ภายในวันเดียว
ยังไม่พูดถึงเรื่องลูกทีมแต่ละคนที่เป็นแชมป์เอเชี่ยนเกมทั้ง3คนเลยด้วย ทั้งหยางฉือจี๋จากกีฬาวิ่ง100เมตร ฮาวหยูอีจาก200เมตร และฝางไฮควานจากการแข่งกระโดดไกล
เอาจริงๆ การวางนักกีฬาแบบนี้ก็เหมือนจะเท่นะ อย่างน้อยก็ในสายตาคนนอก ทีมแบบนี้แม่งโคตรตัวเต็งแชมป์ชัดๆ ถ้าใน สายตาคนนอก การเอานักวิ่งที่เร็วที่สุดในโลกคนมาอยู่ทีมเดียวกัน ทีมนั้นก็จะเป็นทีมแข่งวิ่งผลัด4×100เมตรที่ดีที่สุดในโลก
แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย อย่างที่ว่าไปตอนแรก การแข่งวิ่งผลัด4×100เมตรเน้นไปที่ทีมเวิร์ค ถึงแม้ว่าทีมชาติจะส่งทีมตัวท็อปไปล้วนๆ แต่พวกเขาขาดทีมเวิร์ค พวกเขาก็อาจจะไม่ได้เหรียญอะไรเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น การนําทีมแข่งวิ่งผลัด4×100เมตรในตอนนี้ มันก็เหมือนรับมันเผาร้อนๆที่พึ่งขึ้นจากเตา มันดูดีนะแต่ก็ยากที่จะถือ ถ้าทีมเต็งแชมป์นี้ชนะ ก็ถือว่าตามที่คาดไว้เท่าทุน แต่ถ้าแพ้ขึ้นมานี้โค้ชโดนด่ายับแน่นอน
และด้วยความที่ทีมชาติจีนเป็นเจ้าภาพ คนดูก็ต้องหวังผลเป็นธรรมดา คนทั่วไปส่วนมากแคร์แค่ผลลัพท์ที่ออกมาอยู่แล้ว พวกเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลงาน สิ่งที่เกิดขึ้น บางคนเห็นแค่ว่ามันก็เป็นแค่การวิ่งส่งไม้แค่นั้นเอง
โค้ชในห้องประชุมนั้นส่วนมากจะรู้มากกัน ไม่มีใครอยากที่จะเป็นแพะรับบาปที่มีแต่จะเท่าทุนไม่ก็โดนด่ายับ เพราะงั้นตอนนี้ซูหลี่เปิดให้มีอาสาสมัครมาคุมทีมวิ่งผลัด ทุกคนเลยทําตัวไม่อยากมีส่วนร่วมขึ้นมาทันที
หน้าซูหลี่มืดขึ้นมา เขามองไปที่ฝูงชน ทุกคนในห้องนั้นเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยมจากทีมชาติ แต่เหตุการณ์มันก็โหดร้ายจริงๆ คงไม่มีใครกล้ามาแบกรับเรื่องแบบนี้ไว้บนบ่าโดยไม่จําเป็นหรอก
และในตอนนั้นเอง มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “โค้ชครับ ให้ผมลองได้ไหมครับ?”
ซูหลี่คุ้นเสียงนั้นมาก และบอกได้เลยว่านั้นคือเสียงของหลี่ไต้
และหลี่ไต้ก็ได้เสนอตัวเป็นโค้ชทีมวิ่งผลัด!