Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 231
ตอนที่ 231 ผมอยากได้เหรียญ
นี้เป็นครั้งแรกของหลี่ไต้ที่หลี่ไต้ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงได้ทําการบ้านเตรียมการมาล่วงหน้า หลี่ไต้ได้จัดวางแผนการแข่งมาแล้ว
และตอนนี้ พอชูเหว่ยตงถามเขา หลี่ไต้เลยตัดสินใจที่จะอธิบายได้อย่างมั่นใจ
ทุกคนในห้องประชุมนั้นมองหลี่ไต้เป็นตาเดียว พวกเขาไม่เคยทํางานกับหลี่ไต้มาก่อน พวกเขาเลยไม่รู้ว่าเขาคือใครแล้วไม่รู้ว่าหลี่ไต้นั้นอยู่ในระดับไหนกันแน่ สําหรับเด็กหนุ่มที่ถูกส่งตรงมาจากทีมชาติ บางคนก็มองหลี่ไต้ด้วยความคาดหวังที่เต็มเปี่ยม และหวังให้หลี่ไต้ได้ให้ข้อมูลอะไรบางอย่างกับเขา ส่วนบางคนก็กลอกตามองบนใส่หลี่ไต้ แล้วหวังให้หลี่ไต้โชว์โง่
แต่ก็อย่างว่าแหละ ณ จังหวะนี้คงไม่มีใครไม่อิจฉาเขาแล้วละ ด้วยความที่เขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในห้องประชุมนี้ หลี่ไต้นั้นได้เข้าทีมชาติแล้วถูกชูเหว่ยตง เรียกให้มาคุมทีมเอง การคุมทีมที่ว่าเนี่ยมันก็เหมือนกับการเป็นหัวหน้าทีมเลย ดังนั้น เขาเลยโดนหลายๆคนอิจฉาเป็นเรื่องธรรมดา
ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าพ่อหนุ่มนั้นจะพูดว่ายังไง ! ฉาเปาจุนเบ่งความเป็นรุ่นพี่โดยการนั่งพิงหลังไปแล้วก็ไขว้ขา
ข้างๆเขา หลิวฮั่วก็ทําหน้าตายในขณะที่หลี่กั่วตงกําลังจริงจังมากๆอยู่
หลี่ไต้เคลียร์ลําคอ กระแอมเบาๆแล้วพูด “ผมได้รับสรุปความเข้าใจในด้านของจุดแข็งของนักวิ่งเรามาแล้ว แต่จะให้พูดกันตามตรง นักวิ่งของเรานั้นมันยากมากเลยที่จะผ่านเข้ารอบคัดเลือกไปได้ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะผ่านเข้าไปได้ ก็คงโดนเขี่ยตกรอบตั้งแต่การแข่งนัดแรกในเดือนสิงหาอยู่ดี”
“โค้ชหลี่คุณคิดตามอําเภอใจไปแล้วนะ!”ใครบางคนพูดขึ้นมา แล้วพอดีเลยว่าใครบางคนนั้นก็คือหลี่กั่วตงนั้นละ
“โค้ชหลี่ คุณพึ่งจะกลับมาถึงนี้เอง คุณยังไม่ได้เข้าร่วมการฝึกเลยด้วย แถมคุณยังไม่ได้เจอตัวนักกีฬาอีก คุณจะมาตัดสินใจได้ไงว่านักกีฬาจะเข้ารอบไม่ได้ละ
หลี่กั่วตงทําตัวเป็นศัตรูกับหลี่ไต้อย่างรุนแรง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่หลี่ไต้พูดมามันถูกแล้ว แต่เขาก็ยังหาเรื่องเสียงได้อยู่ดี เหมือนกับว่าพอเขาได้หาเรื่องหลี่ไต้แล้วเขาจะรู้สึกดีขึ้นอย่างงั้นแหล่ะ
ในจังหวะนี้อย่าว่าแต่โค้ชวิ่งเร็วเลย แม้แต่โค้ชจากทีมอื่นๆยังหันมาสนใจที่หลี่ไต้เลย
หุหุ บันเทิงแน่นอนเลย!
หลี่กั่วตงพยายามที่จะข่มขวัญหลี่ไต้ที่เป็นเด็กใหม่
ในกลุ่มวิ่งนี้เอง มีการแข่งขันกันภายในของฉาเปาจุน หลีฮั่ว และหลี่กั่วตงอยู่ และการแข่งกันเองนี้ค่อนข้างดุเดือดด้วย และพอตอนนี้หลี่ไต้เข้ามาผสมวงอีกมันเหมือนเป็นการราดน้ํามันใส่ไฟ
นี้มันเยอะกว่าที่ฉันคิดอีกนะเนี่ย บรรยากาศมันเหมือนจะมวลๆไปหมดเลย นี้แค่วันแรกเองนะ ลองดูกันดีกว่าว่าเจ้าเด็กใหม่หลี่ไต้นั้นจะมีของอะไรมา!
ทุกคนมีมุมมองที่ต่างกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
และในตอนนั้นเอง คนที่นั่งข้างๆหลี่ไต้ก็แนะนํา คนๆนั้นเป็นโค้ชวิ่งเร็ว ชื่อหลี่กั่วตง”
หลี่ไต้เองก็ไม่คิดว่าเขาจะเจอตอตั้งแต่เริ่มพูดแบบนี้ แถมคนที่ขัดยังเป็นคนในทีมวิ่งอีกตั้งหาก หลี่ไต้เลยพอเข้าใจเหตุผลขึ้นมาทันที
มันคงเป็นเรื่องการขัดผลประโยชน์กันซินะ โค้ชคนนั้นกลัวว่าฉันจะมาแย่งงานไปจากเขา! หลี่ไต้ยิ้ม เขารู้ว่าคงจะมีเจ้าถิ่นมาคอยแกล้งเขาแน่ๆอยู่แล้ว แถมยังอยู่ทีมวิ่งเดียวกันด้วย
และตอนนั้นเองที่เขานึกขึ้นมาได้ว่า คนจริงต้องเจอได้หมดทุกสถานการณ์ และเพราะว่าหลี่ไต้เองก็พึ่งมาถึง เขาเลยต้องแสดงแสนยานุภาพหน่อย
หลี่ไต้เลยพูด “ทางทีมชาติได้ขอให้ทีมเขตทุกทีมส่งรายชื่อนักกีฬาที่ดีเด่นที่สุดเป็นประจําทุก3เดือนอยู่แล้วอยู่แล้ว และในแต่ละ3เดือนก็จะให้ส่งสถิติของนักกีฬาพวกนั้นมาด้วย เพื่อเป็นการรวบรวมข้อมูลต่างๆและสรุปผลออกมา และจากข้อมูลที่มีนั้นบอกได้ว่าสภาพนักกีฬาของแต่ละทีมนั้นเป็นยังไงบ้าง นักกีฬาที่ถูกส่งชื่อมาควรจะเป็นคนที่เก่งที่สุดในทีมเรา และผมก็ยังจําได้อยู่หลายทีม รวมถึงที่ชื่อ เฉินกุน ซูหยูอี้หยาง และเชนตั้งฉานด้วย”
หลี่ไต้มองไปที่หลี่กั่วตงอีกครั้งแล้วพูด “นักกีฬาที่ผมพูดชื่อไปนั้นอยู่ในทีมเรา และพวกคุณคงรู้จักดีอยู่แล้วด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็คิดว่าพวกคุณคงไม่รู้ข้อมูลของนักกีฬาจากทีมอื่นๆมากไปกว่าผมหรอกนะ!”
“และตอนที่ผมพูดว่านักกีฬาของเรานั้นไม่ได้ดีพอที่จะผ่านรอบคัดเลือกนั้น ที่ผมพูดอย่างนั้น ผมไม่ได้พูดอิงแค่จากผลงานของนักกีฬาเรา แต่ผมเปรียบเทียบกับผลของนักกีฬาทีมเขตอื่นๆด้วย เพราะว่าผลของทุกคนนั้นมันหาได้ง่ายมากในฐานข้อมูลของทีมชาติ”
และตอนที่หลี่ไต้พูดอย่างนั้นเอง เขาก็มองตรงไปที่หลี่กั่วตงอย่างจงใจ
แต่ถึงอย่างนั้นหลี่กั่วตงก็ตะลึงไปเหมือนกัน หลี่ไต้ได้พูดถึงฐานข้อมูลของทีมชาติซึ่งมันเป็นข้อมูลที่โต้แย้งอะไรไม่ได้เลย
หลี่กั่วตงนั้นไม่ได้เก่งพอที่จะเข้าทีมชาติได้ ดังนั้นเขาเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้ฐานข้อมูลของทีมชาติ ดังนั้น เขาจึงจําเป็นต้องเชื่อสิ่งที่หลี่ไต้พูดโดยขัดไม่ได้เลย
และจนถึงตอนนี้ หลี่กั่วตงก็เกิดคําถามขึ้นในหัว แต่คําถามของเขาไม่ใช่เรื่องหลี่ไต้ แต่เป็นเรื่องฐานข้อมูลของทีมชาติ หลี่กั่วตงนั้นเป็นแค่โค้ชธรรมดาในทีมกรีฑาของเขต การตั้งคําถามกับฐานข้อมูลของทีมชาตินั้น ก็เหมือนไปด่าเจ้าของร้านข้าวข้างทางเรื่องอาหารระดับโรงแรม5ดาว นั่นเป็นแค่องุ่นเปรี้ยว
มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย กะอีแค่ฐานข้อมูลทีมชาติเอง หลี่กั่วตงเริ่มเครียดแล้วไม่พูดอะ
“เหอะ เจ้าหลี่กั่วตงหงอยไปเลย!” ฉาเปาจุนแซะเงียบๆ
หลิวยั่วผ่อนคลายขึ้นมา หลี่เอ้ย ตอนแรกที่แกไปหาเรื่องหลี่ไต้ กะจะให้หลี่ไต้หน้าแตกซิท่า แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ก็น่าจะรู้ๆกันแล้วนะว่าหลี่ไต้มันก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน เขาต้องเอาคืนโดยการแย่งเอาเชนติ้งชานไปจากหลี่กั่วตงแน่ๆ แล้วนักกีฬาของพวกเราก็จะปลอดภัย
หลี่กั่วตงหลังจากที่หาเรื่องหลี่ไต้เสร็จแล้วก็หงอลง เขานั่งพิงเก้าอี้เงียบๆ แล้วจากนั้นหลี่ไต้ก็พูดต่อ “งั้นต่อนะครับ นักกีฬาของเราที่บอกว่าเก่งไม่พอที่จะผ่านรอบคัดเลือกและทําผลงานดีๆ ไม่ได้นั้นมี2สาเหตุ อย่างแรกคือแรงเราไม่พอ และอย่างที่2คือคู่แข่งเราเก่งมาก”
“หลี่ไต้ โบราณกล่าวไว้ว่า รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เรารู้อยู่แล้วว่าทีมวิ่งเราไม่ได้เก่งอะไร คุณช่วยอธิบายย่อๆให้หน่อยได้ไหมว่าทีมวิ่งเขตอื่นๆเป็นยังไงกันบ้าง” ชูเหว่ยตงถามขึ้นมาทันที
“ได้ครับ เมื่อปีที่แล้ว ทีมท้องถิ่นหลายๆทีมส่งนักกีฬาที่ยอดเยี่ยมมาที่ทีมชาติในช่วงค่ายฝึกเอเชี่ยนเกม และทางทีมชาติก็ได้รับลงทะเบียนนักวิ่ง40คนระหว่างค่ายฝึกฐานแรก ทั้ง40คนนั้นเป็นคนที่แกร่งพอที่จะเข้ารอบแข่งจริงของกีฬาชาติ ซึ่งหมายความว่าตําแหน่งที่นั่งครึ่งนึ่งของการแข่งนั้นเป็นของ40คนนั้นล้วนๆ นอกจากนี้ เท่าที่ผมรู้ ยังมีนักกีฬาอาวุโสบางคนในทีมเขตที่มีประสบการณ์แน่นไม่ได้เข้าไปในค่ายฝึกเอเชี่ยนเกมของทีมชาติด้วย เพราะว่าค่ายนั้นเน้นฝึกให้กับนักกีฬารุ่นใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นนักกีฬาอาวุโสพวกนี้ก็เก่งมากทีเดียว เท่าที่ผมคาดการ ตําแหน่งที่ นั่ง1ใน4ของทั้งหมดจะเป็นของนักกีฬาอาวุโสพวกนี้
และอีกอย่าง นักกีฬาจากทางฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน ก็มาเข้าแข่งด้วย องค์กรทางกีฬาอย่าง ทีมกีฬาฉินเจียงก่อสร้าง ทีมโรว์ลิ้งสต็อค ทีมเหมือง และทีมอื่นๆ ที่มพวกนี้ก็จะมาเข้าร่วมการแข่งด้วย
ปรกตินักกีฬาจากทางฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน แล้วรวมไปถึงพวกองค์กรทางการกีฬาทั้งหลายที่มุ่งเน้นไปที่กีฬาสู่โดยเฉพาะกีฬาวิ่งเร็ว ซึ่งพวกนี้ก็เก่งมากๆเลยทีเดียว ผมคิดว่านักกีฬาพวกนี้ก็จะเข้ามายึดไปอีก1ใน4ของทั้งหมด
แล้วก็ยังมีพวกม้ามืดอีก ที่ไม่รู้มากจากไหน เอาง่ายๆว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นักวิ่งของทีมเราจะผ่านรอบคัดเลือก ไม่ว่าจะ100หรือ200เมตร
ชูเหว่ยตงพยักหน้า เขาเข้าใจในสิ่งที่หลี่ไต้พูดดี แต่ถึงอย่างนั้น โค้ชระดับต่ําๆนั้นดูเหมือนจะไม่รู้ข้อมูลในส่วนพวกนี้
ชูเหว่ยตงเลยพูด “หลี่ไต้ เหตุผลที่ผมเรียกคุณกลับมาในครั้งนี้ ก็เพื่อให้คุณช่วยพานักกีฬาของเราไปแข่งในกีฬาชาติ ตอนนี้คุณก็น่าจะรู้สภาพของทีมเราแล้ว ตอนนี้การโยกย้ายนักกีฬาก็หมดช่วงไปแล้วด้วย เพราะงั้นเราจะไปเกณฑ์นักกีฬาใหม่ๆมาก็ไม่ได้ ตอนนี้ก็เหมือนเล่นไพ่ละครับ ที่เปิดไพ่มาทั้งหมดแล้วไพ่มันบอด ไม่มีอะไรดีเลย ทีนี้เราจะเล่นยังไงดีละครับ?”
“โค้ชชู มีเป้าหมายของทีมวิ่งในการแข่งครั้งนี้ไหมครับ?”หลี่ไต้ถาม
“ก็อย่างน้อยก็ให้นักกีฬาของเราซักคน2คนผ่านรอบคัดเลือกแล้วได้แข่งในสนามจริงตอนเดือนสิงหาได้ก็พอแล้ว” ชูเหว่ยตงพูด
“งั้นก็ไม่ยากครับ เรายังเหลือเวลาอีก3เดือนกว่าการแข่งรอบคัดเลือกจะเริ่ม ถ้าผมได้คุมการฝึกแล้ว ตราบใดที่นักกีฬามีพรสวรรค์พอ ผมเชื่อว่าพวกเขาสามารถเข้ารอบแข่งจริงได้อย่างแน่นอนครับ” หลี่ไต้พูดอย่างมั่นใจ
บางทีหลี่ไต้อาจจะกําลังมั่นใจเกินไปหน่อย คนรอบๆเลยมองด้วยสายตาแปลกๆเหมือนกัน
“หึ ขี้อวด อวดไปเถอะ ยิ่งอวดเยอะยิ่งอายเยอะเท่านั้นละถ้าพลาดขึ้นมา” ฉาเปาจุนคิดเงียบๆในใจ
หลี่ไต้พูดกับตัวเองก็ได้วะ! นี้เขาซื้อวดหรือเขาเก่งจริงเนี่ย หลิวฮั่วในใจมีแต่ความสงสัย
หลี่กั่วตงเป็นคนที่กังวลที่สุดในบรรดา3คน คําพูดของหลี่ไต้นั้นถูกทําให้เข้าใจได้ง่ายๆว่าจะขอนักกีฬาไปจากทีม และมีคําว่า “ตราบใดที่นักกีฬามีพรสวรรค์มากพอ” แปลว่า “เอานักกีฬาที่ดี ที่สุดมาเดี๋ยวนี้” และในทีมวิ่งคนที่เก่งที่สุดตอนนี้ก็คงไม่พ้นเชนติ้งชาน คนที่อายุยังไม่ถึง20และอยู่ใต้การนําของหลี่กั่วหงอยู่ตอนนี้
หลี่ไต้พูดต่อ “พวกคุณอาจจะคิดว่าผมโม้ แต่เอาจริง ความมั่นใจของผมนั้นมาจากความสําเร็จของผมเองที่เคยทํามาก่อน ผมคิดว่าพวกคุณคงรู้จักฮาวหยูอี้ แชมป์เอเชี่ยนเกมในกีฬาวิ่ง200เมตร ตอนที่เขาสมัครเข้าค่ายฝึก ความสามารถของเขาอยู่เหนือกว่าปรกติหน่อยเดียวเอง แต่หลังจากที่ผ่านไป3เดือน เขาก็กลายมาเป็นแชมป์ของเอเชียนเกมได้”
“ฮาวหยูอี้เหรอ คุณเป็นคนฝึกเขาเหรอ”ใครบางคนถามขึ้นมาด้วยความตกใจ
ในทีมชาติ โค้ชและนักกีฬาทุกคนรู้ว่าฮาวหยูอี้ได้หลี่ไต้เป็นคนฝึก แต่โค้ชจากทีมเขตไม่รู้ เพราะงั้น พวกเขาเลยรู้แค่ว่าหลี่ไต้เก่งมากในทีมชาติ แต่ไม่รู้ว่าเก่งเพราะอะไร
และตอนนี้ หลี่ไต้ก็พูดถึงเรื่องของฮาวหยูอี้ที่เป็นความเป็นจริง ทําให้ทุกคนสนใจในตัวหลี่ไต้ทันที
หลี่ไต้ยิ้มและพยักหน้า “มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรนะครับ ทุกคนในทีมชาติรู้ดีอยู่แล้ว”
ทุกคนในห้องประชุมรู้ดีว่าความหมายที่หลี่ไต้จะสื่อคือ “ถ้าไม่เชื่อก็พิสูจน์ได้” เพราะว่าหลี่ไต้ท้ามาแล้ว พวกเขาเลยต้องเชื่อว่านี้เป็นเรื่องจริง
เขาผลิตแชมป์เอเชี่ยนเกมได้ใน3เดือนเหรอ หลี่ไต้คนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
น่าพอใจทีเดียว เขาเข้าทีมชาติได้ตั้งแต่อายุ25แถมยังถูกเลือกโดยซูหลี่ด้วย
กลายเป็นว่าโค้ชหลี่คนนี้เป็นโค้ชของแชมป์เอเชี่ยนเกมเฉยเลย โค้ชของเราเทียบไม่ได้จริงๆ
และ ณ ตอนนั้นเอง หลี่ไต้ยืนตัวตรงยืดอกรับทันที หลายๆคนตอนแรกเรียกเขาว่า หลี่ เฉยๆ ตอนนี้กลายเป็นโค้ชหลี่แล้ว
ผลงานนั้นเป็นตัวตัดสินทุกอย่างในโลกกีฬา คนที่อวดโดยไม่มีผลงานนั้นก็ทําได้แค่อวด สําหรับคนที่อยู่ในวงการนี้แล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามาถผลิตแชมป์ได้อยู่ พวกเขาก็นับว่าเป็นฮีโร่ทั้งนั้นแหละ
ในวงการกีฬาทุกอย่าง ถ้านักกีฬาถูกยกว่าแข็งแกร่งเป็นที่1ในโลก หรือ เป็นผู้นํายุค แต่ถ้าพวกเขาไม่มีผลงานดีๆ พวกเขาก็จะถูกมองว่าฟลุคได้ตําแหน่งมาทันที
ในการแข่งNBA มีนักแข่งดาวรุ่งหลายๆคนพยายามที่จะเข้าทีมเก่งๆ แล้วก็ประกาศค่าตัวเองว่า1ล้าน แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการก็มีแค่แชมป์NBA เท่านั้น สําหรับคนที่ได้แชมป์NBAตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ไร้ชื่อ แต่เขาก็คงถูกจดจําไว้ในฐานะแชมป์ทุกครั้งที่นึกถึงเขา
นี้เป็นพลังของคําว่าแชมป์ หลี่ไต้นั้นแสดงตัวออกมาว่าเป็นโค้ชของแชมป์เอเชี่ยนเกมเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
หลี่ไต้รู้ตัวเองดีว่าเขายังหนุ่มและเป็นเด็กใหม่ มันจึงเป็นเรื่องปรกติที่เขามักจะไม่ได้รับความยอมรับ เขาต้องมีความน่าเชื่อถือเพียงพอด้วยการแสดงแสงยานุภาพ เพื่อที่จะทําให้พวกปากมากที่คอยกลั่นแกล้งหุบปากลงได้
ชูเหว่ยตงนั้นดีใจมากทันที เขาได้ยินว่าหลี่ไต้นั้นประสบความสําเร็จมากๆในทีมชาติก็จริง แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าหลี่ไต้จะทําได้มากถึงขนาดนี้ โค้ชที่ฝึกให้แชมป์เอเชี่ยนเกมนั้นถือว่าหาได้ยากมากๆในจีน และในเขตฮั่นเบนั้นเอง ทีมกรีฑาถือว่าโชคดีมากที่ได้เขามา
นั้นทําให้ชูเหว่ยตงยิ้มหนักเข้าไปอีก เขาพูด “หลี่ไต้ แน่นอนว่าเราเชื่อในความสามารถคุณ พรุ่งนี้คุณไปเลือกนักกีฬาระหว่างที่ฝึกได้เลย คนที่คุณเลือกจะได้มาฝึกกับคุณต่อไป”
สิ่งที่ชูเหว่ยตงพูดออกมานั้นยิ่งทําให้หลี่กั่วตงวิตกหนักเข้าไปใหญ่ เขาอยากที่จะค้าน แต่เขาพูดไม่ออก
หลี่ไต้โบกมือ “โค้ชชูครับ ผมมีอีกความคิดนึงอยู่ ถ้าไม่ว่าอะไร ขอให้ผมพูดได้ไหมครับ”
“ พูดออกมาเลย เราอยากฟัง!” ชูเหว่ยตงบอกอย่างใจดี
“ในความคิดของผมแล้ว การให้นักกีฬาของเราผ่านรอบคัดเลือกแล้วไปแข่งรอบจริงๆนั้นไม่ถือว่าเป้าหมายจริงๆหรอกครับ” หลี่ไต้พูด
“โอ้ หลี่ไต้ คุณอยากได้ผลงานที่ดีกว่านั้นเหรอ? ดีเลย คนหนุ่มอย่างคุณมักจะกล้าเสี่ยงกล้าทําอยู่แล้ว” ชูเหว่ยตงพูด
“โค้ชครับ ผมอยากที่จะเอาเหรียญมา” หลี่ไต้หยุด แล้วพูด “ผมอยากที่จะคว้าเหรียญทองมาให้ได้”