Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 232
ตอนที่ 232 เอาหมด
ตอนที่หลี่ไต้พูดว่า “จะคว้าเหรียญทองมา” ทุกคนในห้องนั้นตกอยู่ในความเงียบ รวมไปถึงเหว่ยตงด้วย เหมือนทุกคนกําลังอึ้งอยู่
สิ่งที่หลี่ไต้ได้พูดว่า ตําแหน่งที่สูงกว่าหรือเหรียญทอง มันเป็นเหมือนความฝันที่อยู่สูงเกินเอื้อมของนักวิ่งที่มฮั่นเบ
เพราะยังไงซะ นักกีฬาของพวกเขาก็ไม่ได้เก่งพออยู่แล้ว พวกเขาแทบจะไม่ผ่านรอบคัดเลือกด้วยซ้ํา แล้วจะไปเอาที่ไหนมาคว้าเหรียญทองมากันละ
เมื่อกี้หลี่ไต้มันพูดอะไรของมัน? อยากได้เหรียญทองเหรอ? นี่ฉันไม่ได้หูฝาดใช่ไหม
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสําหรับการที่จะทําให้นักกีฬาของเราเข้าแข่งรอบชิงได้ อย่าว่าจะไปได้ที่1ที่2เลย แล้วเขาจะไปเอาเหรียญทองได้ไง
หลี่ไต้ต้องล้อกันเล่นแน่ๆ มีพวกนักกีฬาตัวเต็งทีมชาติรวมไปถึงแชมป์เอเชี่ยนเกมลงแข่งด้วยนะ ระยะห่างระหว่างนักกีฬาของเรากับเหรียญทองมันห่างไกลสุดๆ
เหอะ ไอ้หนุ่มนี้มันหวังสูงจริงๆ คงเป็นเพราะเค้านั้นแชมป์เอเชี่ยนเกมละมั้งทําให้เขาหยิ่งทะนงตน คิดว่าตัวเองเก่งสุดในจีนแล้วละซิ? คิดได้ไงมาโม้ว่าจะเอาเหรียญทอง!
แม้แต่ชูเหว่ยตงยังมีความสงสัยในใจเลย เขาคิดว่าหลี่ไต้นั้นต้องการที่จะได้ตําแหน่งที่สูงๆในการแข่ง แล้วเขาก็ชื่นชมความเด็ดขาดของหนุ่มคนนี้ แต่ถึงอย่างนั้น พอได้ฟังเป้าหมายของหลี่ไต้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าหลี่ไต้นั้นดูเชื่อถือไม่ได้ขึ้นมาเลย
และในตอนนั้นเอง หลี่กั่วตงก็เหมือนปลากระดี่ได้น้ํา พอได้เห็นจุดบอดบนคําพูดของหลี่ไต้ เขาเลยโพลงออกมาด้วยความดีใจ “เหอะ โค้ชหลี่ เมื่อกี้คุณพึ่งบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะเอาเหรียญทอง ผมจําได้ว่าเมื่อหลายนาทีก่อน คุณเองก็เป็นคนบอกเองด้วยว่านักกีฬาของเรานั้นมันยังยากเลยที่จะเข้ารอบแข่งจริงได้ นี้เป็นคําพูดคุณเองแท้ๆ ทําไมมาเปลี่ยนคําพูดกลายเป็นจะเอาเหรียญทองแบบนี้ละ?”
“ใช่โค้ชหลี่ ผมรู้ว่าคุณเป็นโค้ชของแชมป์เอเชี่ยนเกมนะ แต่เป้าหมายที่คุณตั้งไว้ให้เราเนี่ย มันสูงเกินไปจนเป็นไปไม่ได้นะ!” ฉาเปาจุนพูด เหมือนพัดถ่านให้ติดไฟ
ชูเหว่ยตงเริ่มที่จะพูดไกล่เกลี่ย “หลี่ไต้ เรามีเวลาแค่เดือนเองนะก่อนจะแข่งรอบคัดเลือกหน่ะ หลังจากการแข่งรอบคัดเลือกแล้ว การแข่งจริงๆก็จะเริ่มตอนเดือนสิงหา ซึ่งหมายความว่าก็แค่เพิ่มมาอีกเดือนเดียว เป้าหมายหลักของเราตอนนี้คือทําไงก็ได้ให้นักกีฬาของเราผ่านรอบคัดเลือก แต่เป้าหมายของคุณที่ตั้งไว้ในการแข่งนี้มันดูเหมือนว่าเวลาของเราจะน้อยไปหน่อยนะ”
หลี่ไต้พยักหน้าแล้วพูด “โค้ชชูครับ ทุกๆคน ที่ผมพูดออกมาเมื่อกี้มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ไปหน่อย ผมพูดว่านักกีฬาของเราไม่ได้เก่งเลยในการแข่งกีฬาชาติก็จริง! เพราะว่าทั้งแชมป์กีฬาเอเชี่ยนเกมอย่าง หยางฉือจี้ ฮาวหยูอี้ รวมถึงแชมป์ประเทศเก่าอย่างฉือ จุนกับเหวยชื่อเต๋าก็เข้าแข่งด้วย รวมกับนักกีฬาที่เป็นแชมป์ระดับเขตอีกจํานวนมาก นักกีฬาของเรานั้นนับว่าอ่อนกว่านักวิ่งระดับกลางๆของทีมชาติซะอีก
ช่องว่างของความแข็งแกร่งนี้มันไม่สามารถเติมเต็มได้ในเวลาแค่3เดือนหรอกครับ ไม่มีใครสามารถฝึกนักกีฬาที่พึ่งอยู่ในระดับต่ํากว่ารอบคัดเลือก แล้วกลายเป็นแชมป์ประเทศได้ในเวลาแค่3เดือนหรอกครับ เพราะงั้น มันเลยเป็นไปไม่ได้เลยสําหรับผมที่จะทําให้คว้าแชมป์กีฬาวิ่ง 100 หรือ 200เมตรได้”
หลี่กั่วตงพ่นลมทันที “งั้นมากล้าบอกว่าจะเอาเหรียญทองได้ไงวะ? โถ่ว คิดว่าแน่ซะอีก แค่พูดไปงั้นใช่ไหมละ? ใครๆก็พูดได้วะ ฉันก็คงพูดได้ว่าฉันจะเอาแชมป์โอลิมปิคมาได้เหมือนกันแหล่ะวะ!”
“โค้ชหลี่กั่วตง ระวังคําพูดด้วย นี้เราประขุมกันอยู่นะ” ชูเหว่ยต้องจ้องหน้าหลี่กั่วตง
หลี่กั่วตงรู้สึกว่าตัวเองหลุดไปไกลแล้ว เลยยืดตัวซักนิด ก่อนจะพูด “อย่าเข้าใจผิดนะครับ ที่ผมจะหมายความก็คือ หลี่ไต้ตอนนี้พูดเพ้อเจ้อไม่มีสาระแล้ว แค่นั้นเองครับ”
“คุณคือโค้ชหลี่กั่วตงซินะครับ” หลี่ไต้สําผัสได้ถึงความปองร้ายจากเจ้าถิ่น เขาเลยพูดต่อ “คุณอาจจะคิดว่าคําพูดของผมมันเพ้อเจ้อไร้แก่นสาร แต่ผมก็ยังพูดไม่จบนี้ครับ ผมไม่ได้วางแผนเอาเหรียญทองของการแข่งวิ่งระยะ100หรือ 200 เมตรซักหน่อย”
“แล้วจะเอาอะไรละ? เราเป็นกลุ่มวิ่งเร็วนะ ถ้าไม่พูดถึง วิ่ง100เมตรหรือ200เมตร แล้วจะพูดถึงอะไร? หรือว่านายกําลังจะเปลี่ยนกลุ่มนักกีฬาของเรา? มีเวลาแค่3เดือนเองนะ อย่าลืม แค่นั้นมันไม่พอหรอก” หลีกั่วตงพูดโจมตีเพื่อให้หลี่ไต้รักษาหน้าตัวเองไม่ได้
หลี่ไต้เมินคําเสียดสีของหลี่กั่วตงและเก็บความโกรธไว้ในใจ “เราแข่งกับนักกีฬาทีม อื่นๆในด้านวิ่ง100หรือ200เมตรไม่ได้ก็จริง เราเลยจําเป็นที่จะต้องหาช่องทางอื่นเพื่อที่จะชนะได้”
“หลี่ไต้ ไม่ต้องมากความแล้ว พูดออกมาเลย” ชูเหว่ยตงเรียกร้อง
“เราจะไปเน้นแข่งวิ่งผลัดกันครับ!”หลี่ไต้พูด
ในห้องประชุมนั้นเอง โค้ชหลายๆคนทําหน้าครุ่นคิดกันอยู่ เอาจริงๆพวกเขาก็รู้แล้วละว่าหลี่ไต้หมายถึงว่าจะตั้งใจไปที่การแข่งวิ่งผลัด เพราะยังไงซะ การแข่งวิ่งเร็วนั้นมันประกอบไปด้วย วิ่ง100เมตร วิ่ง200เมตร และวิ่งผลัดอยู่แล้ว
หลี่ไต้พูดต่อ “เราชนะเหรียญทองการแข่งเอเชี่ยนเกมมาได้ ผมว่าทุกคนก็คงดูการแข่งตอนนั้นซินะครับ ผมเองก็อยู่ในสนามนั้นด้วย จากมุมมองของการแข่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระหว่างการแข่งหรือผลที่ออกมา คุณอาจจะมองไม่เห็นว่าทีมไหนเป็นคู่แข่งตัวฉกาจที่สุดของทีมชาติ ไม่ใช่ทีมญี่ปุ่น ไม่ใช่ทีมซาอุ แต่เป็นทีมไทย ระดับความสามารถของทีมไทยในการวิ่งนั้นไม่ได้สูงมาก ในบรรดานักวิ่ง มีแค่คนเดียวในทีมไทยเท่านั้นที่ได้มาตรฐานะระดับBของโอลิมปิค ถ้าเป็นเรื่องความสามารถส่วนตัวแล้วละก็ ทีมไทยคงโดนเขี่ยตกรอบแรกในการแข่งแบบเดี่ยวแน่ๆ แต่พอมาเป็นเรื่องของทีม ในการแข่งเอเชี่ยนเกมครั้งนี้รวมกับอีก2ครั้งที่แล้ว ทีมไทยได้เหรียญทอง2เหรียญเงินมาจากการแข่งวิ่งผลัดล้วนๆ เราบอกได้เลยว่าความสามารถในการวิ่งผลัดของทีมไทยนั้นเก่งกว่าญี่ปุ่นแบบขาดลอย ผมได้แรงบันดาลใจมาจากทีมไทยเนี่ยละครับ ความสามารถเฉพาะตัวของทีมเราไม่ได้ดีอะไรมากและคงไม่มีทางได้ผลงานที่ดีในการแข่ง 100หรือ200เมตรแน่ๆ เราเลยกะจะยอมแพ้เรื่องการแข่งแบบเดี่ยว แล้วมุ่งไปที่การแข่งวิ่งผลัด ซึ่งเรามีโอกาสชนะได้มากกว่า”
ฉาเปาจุนรู้สึกแย่ขึ้นมาทันที
“ตอนแรกคิดว่าเขาจะเลือกนักกีฬาจากพวกเราแค่คนเดียวซะอีก กลับกลายเป็นว่าเขาวางแผนที่จะเอาแชมป์วิ่งผลัดแล้วเอานักกีฬาของเราไปทั้ง3คนเลย หลี่ไต้นี้มันตระกละจริงๆ”