Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1378
บทที่ 1378 – ความแตกต่างระหว่างระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ การต่อสู้ เย่หลางวู่จี้
ชิงสุ่ยพูดออกมาด้วยความใจเย็น เขาไม่รู้ถึงอิทธิพลทั้งหมดในเมืองหลวงของมหาทวีปหรือสิ่งที่จะต้องพบเจอ แต่ถึงอย่างนั้นชิงสุ่ยไม่ได้กังวลอีกต่อไปแล้ว
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาถามคำถามออกไป ในตอนนี้เขายังไม่แน่ใจในเจตนาที่แท้จริงของชายชรา
“ข้าได้กล่าวไปก่อนหน้าแล้ว ถ้าหากหมอคนใดไม่ทำงานให้พวกเราตระกูลเย่หลาง แน่นอนว่าท่านจะต้องพบกับความยากลำบากอย่างแน่นอน เพราะท่านทำให้ตระกูลเย่หลางต้องเสียหน้า” เย่หลางเชียนคุนยังมีสีหน้ายิ้มแย้ม
ชิงสุ่ยรู้ถึงคำตอบนี้อยู่แล้ว ในตอนแรกเขาสงสัยว่าเหตุใดตระกูลเย่หลางจึงไม่มาคิดบัญชีกับเขาแต่กลับเสนอให้ร่วมงานกันแทน แต่ในตอนนี้เขาได้เข้าใจแล้ว ตราบเท่าที่พวกเขาให้ความร่วมมือต่อกัน ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในก่อนหน้าจะถือว่าถูกลบล้างไป เพราะว่าเมื่อพวกเขาได้ร่วมมือกันมันจะแสดงให้เห็นว่าตระกูลเย่หลางมีอำนาจเพียงใดและให้ความรู้สึกว่าตระกูลเย่หลางไม่ถูกลบหลู่
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือ ตระกูลเย่หลางจะเป็นคนแรกที่ขัดขวางการก่อตั้งของเขา ณ ที่แห่งนี้ ตระกูลเย่หลางเป็นตระกูลที่มีอำนาจ เขาคาดคิดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ตามยุ่งกับพวกที่ถูกสามารถจัดการได้ในทันที
อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยไม่ใช่คนกลุ่มนั้น ตระกูลที่ทรงอำนาจย่อมรู้ดีว่าชิงสุ่ยได้ทำอะไรไว้บ้างในอาณาจักรอี่หวงและให้ความสำคัญกับเขา ดังนั้นชิงสุ่ยไม่ใช่คนที่สามารถกลั่นแกล้งได้โดยที่ไม่คำนึงถึงพลังและความสามารถด้านการแพทย์ของเขา นี่เป็นเหตุผลที่ตระกูลเย่หลางเข้าหาเขาด้วยการให้เกียรติ
ตระกูลอี่หวงถูกทำลายโดยชายหนุ่มผู้นี้และหญิงสาวที่อยู่กับเขา แม้ว่าตระกูลเย่หลางจะทรงพลังกว่ามาก พวกเขาก็ไม่ต้องการไปยั่วยุใครบางคนเข้า ในตอนนี้คำพูดเหล่านั้นทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกเสียหน้า แต่ในขณะเดียวกันตระกุลเย่หลางก็ต้องรักษาชื่อเสียงของพวกเขาไว้
“ข้าขอยืนยันว่า ข้ายอมรับได้กับสิ่งที่ข้าได้กล่าวออกไปแล้ว ผู้อาวุโส หอคอยจักพรรดิไม่ทำงานให้ใครทั้งสิ้น” คำพูดของชิงสุ่ยได้เผยให้เห็นจุดยืนที่ชัดเจนเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามคนที่ตัดสินเรื่องนี้ได้ย่อมเป็นฝ่ายตระกูลเย่หลาง
“ข้าหวังว่าท่านจะพิจารณาถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ท่านหมอ ถ้าหากท่านเปลี่ยนใจก็สามารถเข้ามายังตระกูลเย่หลางได้ทุกเมื่อ” เย่หลางเชียนคุนลุกขึ้นยืนโดยไม่มีสิ่งใดๆนอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับคำตอบจากชิงสุ่ยแล้ว
หลังสิ้นสุดคำพูด เย่หลางเชียนคุนยืนขึ้นและเดินจากไป
ชิงสุ่ยไม่ได้เคลื่อนไหวหรือพูดอะไรออกมา เมื่อเขาได้บอกความตั้งใจออกไปทั้งหมดแล้ว เขาก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนมันอีก ดังนั้นเขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองควรจะกล่าวอะไรออกไปมากกว่านี้ และจะไม่แสดงความแมตตาใดๆอีกหากมีใครสุ่มสี่สุ่มห้าบุกเข้ามาหา
เมื่อเขายังไม่มีจุดยืน ณ ที่แห่งนี้ เช่นนั้นก็ต้องสร้างชื่อเสียงขึ้นมาเสียก่อน อย่างไรก็ตามเขายังไม่รู้ถึงพลังของคนในตระกูลเย่หลางว่าพวกเขามีผู้ฝึกยุทธในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสามอยู่หรือไม่?
พลังของผู้ฝึกยุทธชั้นสูงสุดในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นแรกจะมีพลังอยู่ที่ราวๆสองล้านสุริยา ส่วนพลังของชั้นสูงสุดในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสองอยู่ที่ราวๆสี่ล้านสุริยา พลังของชั้นสูงสุดในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสามและขั้นที่สี่จะอยู่ที่สิบเอ็ดล้านสุริยาขึ้นไป
พลังสูงสุดในแต่ละขั้นจะเกิดจากผลรวมของพลังขั้นก่อนรวมกับระดับขั้นทวีคูณด้วยหนึ่งล้าน ตัวอย่างเช่น ขั้นที่ห้าของระดับขั้นปราณบัญชาสวรรค์พินาจจะมีพลังอยู่ที่ห้าล้านสุริยารวมกับระดับก่อนหน้าสิบเอ็ดล้านสุริยา จึงรวมทั้งหมดเป็นสิบหกล้านสุริยา
เส้นลมปราณวชิระของชิงสุ่ยได้ตื่นขึ้นแล้ว ส่วนเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระทำให้ชิงสุ่ยสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสามหรือต่ำกว่าได้ นอกจากนี้มันยังสามารถลดความสามารถของศัตรูลงได้สามในสิบส่วนซึ่งมากพอที่จะส่งใครสักคนไปลงนรกได้
เขาไม่ได้กังวลอะไรมากมายพร้อมมองเย่หลางเชียนคุนที่กำลังเดินจากไป ไม่นานหลังจากนั้นหญิงสาวทั้งสองได้เดินออกมา
“ชิงสุ่ยพวกเราควรทำเช่นไร? ตระกูลเย่หลางแสดงถึงการคุกคามพวกเราอย่างชัดเจน” อี่หวงกู่หวู๋กล่าวออกมาก่อนที่จะนั่งลงข้างๆชิงสุ่ย
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าอยากจะรู้เช่นกันว่าตระกูลเย่หลางจะทำอย่างไรต่อไป” ชิงสุ่ยหัวเราะออกมา เขาไม่ได้กังวลต่อเรื่องนี้มากนัก แม้จะมีหญิงสาวทั้งสองอยู่ด้วย แต่ก็ยังมีห้องว่างให้ฝึกซ้อม
เมื่อหญิงสาวทั้งสองเห็นจุดยืนที่ชัดเจนของชิงสุ่ย พวกนางจึงไม่กังวลอีกต่อไป ชิงสุ่ยได้กลายมาเป็นเสาหลักของพวกนางแล้วอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
……
สองวันผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในวันนี้ มันเป็นเหมือนกับสัญชาตญาณซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันช่างเป็นความรู้สึกที่รุนแรงมาก
เมื่อถึงยามบ่ายของวัน เย่หลางเชียนคุนปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้มาเพียงคนเดียวทว่ามาพร้อมกับคนอื่นๆรวมๆสิบคน คนส่วนใหญ่อยู่ในวัยชราแล้วแต่มีสองในนั้นที่ดูเหมือนชายวัยกลางคน
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแค่มีผู้คนบุกมาถึงที่นี่ ก่อนที่ทุกคนจะรับรู้ได้ ผู้คนมากมายต่างมารวมตัวกันอยู่ที่สนามข้างนอกแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างรู้ว่ากำลังจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น
ชิงสุ่ยรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเพราะเหตุใด ตระกูลเย่หลางกำลังกลับมากู้ชื่อเสียงของพวกเขาคืนแล้ว
เย่หลางเชียนคุนยืนอยู่กลางอากาศ ชิงสุ่ยค่อยๆปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ อี่หวงกู่หวู๋ต้องการตามออกมาเช่นกัน แต่ชิงสุ่ยได้ห้ามเอาไว้และกำชับว่าให้หลีกเลี่ยงการพัวพันในครั้งนี้ ชิงสุ่ยรู้ดีว่าตราบเท่าที่ตระกูลเย่หลางยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้และหากว่าอี่หวงกู่หวู๋ไม่ออกมาด้วยตนเอง พวกเขาจะไม่เพ่งเล็งเป้าไปยังอี่หวงกู่หวู๋
ชิงสุ่ยออกไปข้างนอกและหยุดอยู่ตรงที่มีระยะห่างจากเย่หลางเชียนคุนหนึ่งร้อยเมตร สำหรับผู้ฝึกยุทธในระดับเช่นพวกเขาระยะห่างขนาดนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับการพูดคุยแต่อย่างใด
“ท่านหมอชิง หวังว่าท่านจะตัดสินใจได้แล้ว? ตราบเท่าที่ท่านมาร่วมมือกับพวกเราตระกูลเย่หลาง ท่านจะไม่ต้องประสบกับความพ่ายแพ้” เย่หลางเชียนคุนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
โลกของผู้ฝึกยุทธนั้นช่างง่ายดาย ในบางครั้งพวกเขาก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้อื่นและกวัดแกว่งอาวุธเข้าหาอีกฝ่ายด้วยนามของความภาคภูมิใจ อย่างไรก็ตามความยิ่งยโสที่มีมากเกินไปมันก็คืออีกรูปแบบของความเลวทรามนั่นเอง
ความเข้าใจทั่วไปคือตระกูลที่ยิ่งใหญ่ย่อมมีความใจกว้าง แต่เขายังไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมโลกทั้งเก้ามหาทวีปแห่งนี้ ความมีชื่อเสียงมักเป็นสิ่งที่ไม่ยอมให้ถูกทำลายได้ โดยเฉพาะกับตระกูลใหญ่ๆ ชีวิตของผู้คนย่อมไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา
สำหรับชิงสุ่ยเอง เรื่องของผลประโยชน์ไม่ได้เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดี มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในโลกแห่งเก้ามหาทวีปแห่งนี้ ผู้ที่ยอมแพ้มักจะเป็นฝ่ายสูญเสียและความสูญเสียมักทำให้ดูไม่น่าเคารพรับถือ
“ข้าได้กล่าวไปแล้วว่าข้าจะไม่ทำงานให้ผู้ใดทั้งสิ้นและก็ยังไม่มีเหตุผลให้ทำเช่นนั้น และข้าก็ลืมบอกท่านไปเช่นกันว่าข้าไม่ชอบการบังคับเป็นที่สุด เช่นนั้นแล้วให้ข้าได้เตือนท่านเสียหน่อย อย่ามาข่มขู่ข้าด้วยวิธีใดๆทั้งสิ้น แล้วท่านจะไม่สามารถรับผลที่เกิดขึ้นได้” ชิงสุ่ยรู้สึกว่าควรเตือนพวกเขาล่วงหน้าเสียหน่อย เพราะพวกเขารู้เรื่องทั้งหมดและนั่นหมายความว่าพวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับหมอปิศาจและคนอื่นๆเช่นกัน
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ตระกูลเย่หลางคงไม่ต้องมาถึงที่นี่… อธิบายพวกเรามาว่าเหตุใดจึงได้ลงมือสังหารผู้คนของพวกเรา” เย่หลางเชียนคุนตอบกลับอย่างใจเย็น เขาไม่ได้รู้สึกร้อนใจกับคำพูดอันโอหังของชิงสุ่ย
“ให้ข้าอธิบาย? ข้าไม่มีสิ่งนั้น ข้ามีสิทธิ์อย่างชอบธรรมในการจัดการกับผู้คนที่บุกรุกเข้ามายังสนามบ้านของข้า และนั่นรวมถึงการลงมือสังหารเช่นกัน”
“ตระกูลเทียนฮี่เสนอประโยชน์อะไรให้กับท่าน? ข้ายินดีให้เพิ่มเป็นสองเท่า” เย่หลางเชียนคุนลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเสนอออกไป
“ตระกูลเทียนฮี่ไม่ได้เสนอสิ่งใดให้ข้าทั้งสิ้น ข้าไม่ต้องการรับสิ่งใดๆจากใครหน้าไหนทั้งนั้น ข้าสามารถหาสิ่งที่ข้าต้องการได้ด้วยมือของข้าเอง” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างใจเย็นรวมถึงได้ประกาศจุดยืนของตนเองออกไปเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจตนเองไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเราควรจะพูดกันด้วยหมัดแทน พวกเราจะประลองกันหาผู้ชนะสองในสาม ถ้าหากพวกเราเป็นฝ่ายชนะ เจ้าจะต้องอธิบายจนกว่าตระกูลเย่หลางจะพึงพอใจ แต่ถ้าหากเจ้าเป็นฝ่ายชนะ พวกเราจะไม่เอาเรื่องทุกอย่างและจะรับรองถึงความปลอดภัยในเมืองหลวงของมหาทวีปแห่งนี้ เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
เมื่อชิงสุ่ยได้ยินคำกล่าวจากเย่หลางเชียนคุน เขารู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นจิ้งจอกเฒ่า ด้วยการกระทำเช่นนี้เขาสามารถปกป้องจุดยืนของตนเอาไว้ได้ ถ้าหากฝ่ายเย่หลางเชียนคุนชนะ พวกเขาจะสามารถสังหารชิงสุ่ยได้อย่างชอบธรรมและหากเป็นฝ่ายแพ้ตระกูลของพวกเขาก็ไม่เสียหายอะไร และโดยการให้ความช่วยเหลือต่อชิงสุ่ย พวกเขายังสามารถสร้างไมตรีที่ดีต่อชิงสุ่ยได้แสดงให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อของตระกูลเย่หลาง
“สามรอบมันดูมากเกินไป มาทำให้มันจบภายในครั้งเดียวเถิด พวกเจ้าทุกคนสามารถเข้ามาพร้อมๆกันได้เลย” ชิงสุ่ยยิ้ม
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เป็นการประลองถึงสามรอบ พวกเขามีกันอยู่เพียงสามคนแต่ด้านหยวนสู่เองคงไม่สามารถเข้าร่วมได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้วคงเป็นเรื่องดีที่สุดหากเขาสู่้เพียงคนเดียว
“ถ้าเป็นสองรอบ เจ้าจะว่าอย่างไร?” เย่หลางเชียนคุนยืนกรานอย่างจริงจัง
ชิงสุ่ยรู้สึกขำขันในเวลานี้ ย้อนกลับไปในตอนที่ต่อสู้กับตระกูลอี่หวง ทั้งเขาและอี่หวงกู่หวู๋ยังไม่บรรลุถึงระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่พยัคฆ์ขาวเพียงสองสามตัวของอี่หวงกู่หวู๋ ก็มีพลังเทียบเท่ากับคนในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นแรกแล้ว
แม้ว่าระยะเวลาเพิ่งผ่านมาไม่นาน พลังของชิงสุ่ยและอี่หวงกู่หวู๋รวมถึงพยัคฆ์ขาวก็อยู่ในจุดที่ทำให้สามารถโลกสั่นคลอนได้แล้ว
“เช่นนั้นข้าตกลง เป็นสองรอบ และสัญญากับข้ามาหนึ่งสิ่งถ้าหากว่าพวกเจ้าแพ้ทั้งหมด” ชิงสุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา
“มันคือเรื่องใดกัน?”
“ช่วยข้าตามหาใครบางคน”
“ย่อมได้ ข้าให้สัญญากับเจ้าว่าข้าจะตามหาอย่างสุดความสามารถแต่ข้าไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะสามารถหาคนผู้นั้นพบได้หรือไม่” เย่หลางเชียนคุนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ตกลง เริ่มกันเถอะ พวกเจ้าจะส่งใครมาเป็นคนแรก”
“ให้ข้าเป็นคนไปเอง!” หนึ่งในสองชายวันกลางคนก้าวออกมาจากฝูงชน
เขาเป็นคนที่ดูหล่อเหลา แม้ว่าจะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว ก็ยังไม่มีริ้วรอยใดๆบนใบหน้าของเขาเลย มีเพียงร่องรอยบางส่วนเท่านั้นที่มองเห็นได้ชัดเจน
ดวงตาของเขาเฉิดฉายราวกับดวงดาว มันเป็นดวงตาที่เข้มแข็งสามารถพบเจอได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ชิงสุ่ยนึกถึงชายผู้ที่เอาชนะเทียนฮี่เรินโม่ขึ้นมาทันใด
ใช่เขาหรือไม่?
“เจ้าคือเย่หลางวู่จี้?” ชิงสุ่ยสอบถามด้วยน้ำเสียงเบา
“เทียนฮี่เรินโม่บอกเจ้าเช่นนั้นหรือ? แม้ว่าสิ่งที่ข้าได้ทำจะทำให้เขาได้รับความเจ็บปวด สังคมย่อมดำเนินไปเช่นนี้ เมื่อพวกเราทั้งสองต่างชอบในสิ่งเดียวกันมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องต่อสู่เพื่อแย่งสิ่งนั้นมา และเขาไม่ใช่ฝ่ายที่ชนะ” ชายผู้นั้นกล่าวออกมาเบาๆ คำพูดของเขาดูเหมือนโอหังแต่เมื่อเป็นคำกล่าวที่ออกมาจากปากเขาแล้ว กลับให้ความรู้สึกน่าเชื่อถือ
“ดังนั้นเจ้าหมายถึงมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่จะแย่งสิ่งใดมาก็ได้ตราบเท่าทีเจ้ามีพลัง?”
“มันคงเป็นวิถีของโลกแห่งเก้ามหาทวีปแห่งนี้ เมื่อราชวงศ์ได้ล่มสลาย ราชวงศ์ใหม่ก็จะขึ้นมาปกครองแทน แต่ในความจริงก็คือราชวงศ์ใหม่ได้ครอบครองทุกอย่างของราชวงศ์ก่อนหน้าและเพียงเปลี่ยนชื่อมันเสีย ก็เหมือนกันกับหญิงสาวที่เลิกราต่อจากชายหนุ่มแล้วและได้ตกหลุมรักกับชายหนุ่มคนใหม่ ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งสองจะไม่สอดคล้องกัน แต่สังคมแห่งนี้มักจะเกิดเรื่องแย่งชิงขึ้นได้เสมอ และรูปแบบการแย่งชิงก็มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะด้วยวิธีนองเลือดหรือต้องโกหกหลอกลวง และด้วยความสัตย์จริงการแย่งชิงด้วยการหลอกลวงไม่ถือเป็นวิธีการที่โหดร้าย เพราะมันเป็นการฆ่าโดยที่ไม่ต้องมีการหลั่งเลือด”
ชายผู้นั้นไม่ได้พูดด้วยความรวดเร็ว คำพูดของเขาให้ความรู้สึกที่จริง ถ้าหากผู้หญิงคนใดเลิกราต่อผู้ชายแล้วและนำตัวเองไปอยู่ในอ้อมแขนของชายอีกคน นั่นหมายความว่าชายคนนี้ย่อมมีความสามารถมากกว่าชายคนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการแย่งชิงที่ไม่ต้องหลั่งเลือดและถือเป็นการแข่งขันที่รุนแรง และนั่นสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดพวกคนร้ายมักจะรวยและมีหญิงสาวมากมายรายล้อมพวกเขา
“ตกลง เช่นนั้นมาเริ่มกันเถอะ หวังว่าพวกเจ้าทั้งสองจะจัดการปัญหากันได้ในภายภาคหน้า ” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา และให้สัญญาณในการเริ่ม
“ให้เจ้าได้เห็นกับตาเองจะดีกว่า”
เย่หลางวู่จี้ชักกระบี่ที่สลักไปด้วยดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และกลุ่มดาวออกมา — กระบี่ดาราสุริยันจันทรา
กลิ่นอายอันทรงพลังถูกแผ่ออกมารอบๆตัวเขา เขาเป็นผู้ฝึกยุทธในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ
ชิงสุ่ยรีบโคจรพลังในร่างกายของตนเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เย่หลางวู่จี้อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจแต่ยังเป็นปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสองเสียด้วย และนี่คือเบื้องหลังของตระกูลเย่หลาง ในฐานะอัจฉริยะจากตระกูลเย่หลางสิ่งเหล่านี้ย่อมอยู่ในความคาดหมาย