Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1465
บทที่ 1465 – ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี
เวลาแต่ละปีเป็นเรื่องที่คนธรรมดาจะรู้สึกว่ามันผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่สำหรับชิงสุ่ยนั้นมันมีค่าเทียบเท่ากับ 100 ปี เขาใช้เวลาทุกปีอย่างคุ้มค่าในการฝึกฝนเพื่อพัฒนาก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง แม้ว่าเขาจะดูเหมือนพัฒนาทีละน้อยแต่ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความมีเสถียรภาพ
…………
กลุ่มมังกรอหังการสูญสิ้นสลายไปแล้ว ดังนั้น 3 จักรวรรดิจึงเติบโตขึ้นเรื่อยๆและยังได้ครอบครองทรัพยากรจำนวนมาก เพราะทุกคนต่างต้องยอมรับความจริงและได้รับการปกครองจาก 3 จักรวรรดิไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางใดก็ตาม
สิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดในโลกหล้ามาทวีปแห่งนี้ก็คือทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นสมบัติแห่งสวรรค์ หรือจะเป็นยาสมุนไพร หรือกองกำลังที่แข็งแกร่ง หากมีทรัพยากรมากพอก็จะทำให้ช่องว่างระหว่างผู้ที่แข็งแกร่งกับผู้ที่อ่อนแอแคบลงทันที
นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กองกำลังที่ยิ่งใหญ่มีประสิทธิภาพและสามารถพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ชิงสุ่ยเองก็มีทรัพยากรที่ค่อนข้างดีพอสมควร ตัวเขาเปรียบเสมือนศูนย์กลางของสมุนไพรที่สามารถสร้างขึ้นได้ตลอดเวลา จึงทำให้เขาสามารถผสมเพื่อนำไปสร้างเป็นยาและทดลองสูตรยาต่างๆได้ตามที่ต้องการ จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
นั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้การฝึกฝนของเขาดูเชื่องช้าเพราะเขาเชื่อมั่นว่ารากฐานที่ดีจะนำมาซึ่งพลังที่แข็งแกร่ง เขาใช้เวลาในการสร้างรากฐานพลังมากกว่าการฝึกฝนถึง 2 เท่า
ความสามารถของชิงสุ่ยนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดแปลกไปๆเลย แต่เพราะความอัจฉริยะในการฝึกฝนจึงทำให้เขาเอื้อมถึงพรสวรรค์และได้รับประโยชน์จากมันมากกว่าทุกคนทั่วไป มันเป็นการสร้างรากฐานเพื่อประโยชน์ระยะยาวมิได้เป็นการฝึกฝนเพื่อสร้างพลังเพียงอย่างเดียว และทุกการฝึกฝนยิ่งสร้างประสบการณ์ จึงทำให้เขาประสบความสำเร็จของผู้อื่น
บนพื้นทวีปของมหาทวีปมังกรอหังกาล ทั้ง 3 จักรวรรดิกลายเป็นผู้นำของมหาทวีป แต่ถึงกระนั้นขอบเขตในการดูแลของพวกเขาก็ยังคงจำกัดเพราะมหาทวีปแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลเกินไป
ความแข็งแกร่งของเหยียนจงเยว่กำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่ใช้สิ่งของที่ชิงสุ่ยมอบให้เลย ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขานั้นเกือบเทียบเท่ากับชิงสุ่ยแล้ว
และถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่แข็งแกร่งเท่ากับผู้อาวุโสหลู่ แต่อย่างน้อยความแข็งแกร่งในปัจจุบันก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่ากลัว ดังนั้นการที่มีเขาและผู้อาวุโสหลู่อยู่ดูแลที่นี้ และการที่ตระกูลชิงกำลังพัฒนาเปลี่ยนแปลงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกปลอดภัย
ตระกูลชิงเดิมทีแล้วเป็นเพียงแค่ตระกูลขนาดใหญ่ในหมู่บ้านเล็กๆ แต่ในปัจจุบันถือได้ว่าพวกเขามาไกลเกินกว่าที่ทุกคนในตระกูลจะคาดคิด คนในตระกูลที่มีระดับต่ำสุดก็อยู่ในระดับปราณนักบุญพิโรธ การที่คนคนนึงจะพัฒนาขึ้นได้นั้นย่อมต้องใช้เวลา คนในตระกูลทำได้เพียงแค่สะสมความแข็งแกร่งของตัวเองไปอย่างช้าๆ และใช้ยาเม็ดเข้าช่วยเพื่อให้ทะลวงผ่านระดับพลังต่างๆไปได้ หากไม่ใช่เพราะความสามารถของชิงสุ่ย คนในตระกูลของเขาเองก็คงไม่อาจดูดซึมตัวยาเพื่อเพิ่มพูนพลังของตนเองได้
นี่คงเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดที่ชิงสุ่ยได้กลับมาอยู่บ้านของเขาตั้งแต่เดินทางออกจากตระกูลชิง ในช่วงนี้เขาเดินทางกลับไปยังพระราชวังจอมอสูรเพียงแค่ครั้งเดียว แล้วได้ออกเดินทางไปยังมหาทวีปอู่เซียตะวันตกรวมถึงมหาทวีปอื่นอีกทั้ง 5 มหาทวีปแต่ก็ไม่ได้รับข่าวคราวของอี่เย่เจี้ยนเก้อเลย แต่เขาก็ยังหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้รับข่าวดี
ตลอดช่วงเวลา ชิงสุ่ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หินมังกรขด ตะเกียงร้อยวิญญาณและกลองสะบั้นสวรรค์ได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันจะช่วยให้สัตว์อสูรของเขาแข็งแกร่งขึ้นเกือบ 2 เท่า และยังมีพลังต้านทานที่สูงยิ่งโดยที่ภายนอกร่างกายไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก
นี่ก็เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่ ชิงสุ่ยไม่ได้รับสิ่งของที่ใช้ในการเสริมสร้างพลังของสัตว์อสูร มีเพียงการพัฒนาของอสูรสยบมังกรที่คืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ค่ายกลเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์เองก็ยกระดับพลังของตัวเองขึ้นอีก 1 ขั้น และด้วยการผนวกเข้ากับย่างก้าว 9 เทวา และกฎแห่งพระราชวัง 9 เทวาจึงทำให้พลังของมันเพิ่มพูนขึ้นทันทีอีก 3 เท่า มันอาจจะไม่เหมือนการเพิ่มพลังทางร่างกาย แต่มันเป็นการเพิ่มพลังของทักษะโดยที่ 3 เท่านั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ตัวเลข การที่สามารถบังคับใช้กฏแห่งพระราชวังเพื่อเปลี่ยนแปลงแรงโน้มถ่วงได้มากสุดถึง 3 เท่านั่นก็เท่ากับอีกด้านหนึ่งก็คือพลังในการถูกดูดกินเพื่อนำมาแปรเปลี่ยนเป็นพลังในการบังคับใช้กฎก็เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าเช่นกัน ดังนั้นการดูดกลืนพลังปราณจำนวนมากเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นการกลืนกินพลังที่แสนน่ากลัวอาจทำให้ผู้ใช้อ่อนแรงลงในทันตาเห็น มันจึงถูกนำมาใช้ในการต่อสู้ในช่วงเวลาสำคัญเท่านั้น
อีกทั้งชิงสุ่ยยังมีความสุขอย่างยิ่งที่การประสานงานกันระหว่างค่ายกลกับรัศมีแห่งเทพสังหารไม่ได้ทับซ้อนกันอีกแล้วอาจเป็นเพราะว่าเขาสามารถบรรลุในอีกระดับหนึ่งของรัศมีแห่งเทพสังหาร เขาสามารถใช้มันได้พร้อมๆกันและปรับเปลี่ยนมันได้ตามใจชอบโดยอาศัยการคำนวณจากสติปัญญาของเขา
โดยปกติเขาจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญในการใช้งานพลังเหล่านั้นเหมือนการสร้างค่ายกลรูปแบบอีก 1 แบบ รัศมีแห่งเทพสังหารคือทักษะเฉพาะตัวและแตกต่างจากการตั้งค่ายกลอย่างมาก รัศมีแห่งเทพสังหารเป็นทักษะที่กลืนกินพลังงานในระดับที่เรียกได้ว่าสามารถกลืนกินพลังปราณในตัวชิงสุ่ยให้หมดลงภายในช่วงสั้นๆ ดังนั้นชิงสุ่ยมักจะเปิดใช้งานมันในเวลาคับขันเพื่อทำให้ศัตรูต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
รัศมีแห่งเทพสังหารคือทักษะวิวัฒนาการซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนจะมีเพียงแค่ชิงสุ่ยที่ครอบครองมันและสามารถทนการใช้งานจากมันได้ โดยที่ทักษะเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้กันได้ง่ายๆ
ณ ปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างถือได้ว่าขับเคลื่อนไปได้อย่างราบรื่น ชิงสุ่ยสามารถปลดปล่อยได้ทั้งหงส์เพลิงสะบั้นศึก รัศมีแห่งเทพสังหาร ค่ายกลสังหาร ค่ายกลเนตรศิลาศักดิ์สิทธิ์ และกฏแห่งพระราชวังเก้าเทวาโดยไม่มีข้อบกพร่องใดๆทั้งสิ้น
ตัวของชิงสุ่ยนั้นก็ไม่ได้ละทิ้งเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าของตระกูล เขาทุกคนมันจนก้าวขึ้นสู่ขีดสูงสุดจนวิวัฒนาการกลายเป็นดอกบัว 9 บัวบานแต่ความสามารถของมันนั้นก็ไม่ได้มีพลังมากเท่าที่ควร แล้วยังสู้ประโยชน์จากภูเขา 9 เทวาไม่ได้ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงเลือกที่จะใช้มันเป็นครั้งคราว และแทบจะไม่ได้ใช้มันในการต่อสู้ที่จริงจังอีกเลย
หลังจากงานทุกอย่างเสร็จสิ้น ชิงสุ่ยก็ได้พักอยู่อาศัยที่บ้านตระกูลชิงเป็นเวลาอีกกว่า 10 วันก่อนจะเขาจะเดินทางออกจากตระกูลอีกครั้ง ส่วนทางเหยียนจงเยว่เขาเลือกที่จะพักอยู่กับตระกูลชิงต่ออีกสักพัก และหลู่ซิงก็เดินทางกลับไปยังจักรวรรดิเหยียนพร้อมกับลูกๆคนอื่น
……………
ชิงสุ่ยรู้สึกโล่งใจที่เห็นปัญหาของคนผู้เป็นพ่อและแม่ถูกแก้ไขไปทั้งหมด ความวิตกกังวลที่หลู่ซิงเก็บงำเอาไว้หลายปีก็ถูกแก้ไขไป
ตอนนี้ก็จะเหลือเพียงปัญหาของอี้เย่เจี้ยนเก้อที่ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนกัน และปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือความสัมพันธ์ระหว่างชิงสุ่ยและถานท่าย หลิงเยียน ซึ่งตัวเธอนั้นเป็นคนที่เข้าถึงได้ยากและชอบเก็บตัวเงียบ อีกครั้งเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่เธอถึงจะออกจากการฝึกตนแบบสันโดษ
การเข้าสู่การฝึกตนแบบสันโดษอาจจะไม่ใช่วิธีการเดียวในการปลีกตัวออกจากโลกใบนี้ แต่คนส่วนใหญ่มักจะตั้งเป้าหมายเอาไว้เช่นคนๆหนึ่งจะฝึกตนและตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์จนกว่าจะก้าวขึ้นถึงระดับพลังที่ตัวเองต้องการ แน่นอนว่าการฝึกตนแบบนี้ย่อมต้องปิดกั้นจิตใจจนไม่อาจรับรู้ได้ถึงห้วงเวลาและสภาพจิตของตนเอง
ชิงสุ่ยค่อนข้างคุ้นเคยกับพระราชวังจอมอสูรราวกับเป็นบ้านของตัวเอง เขามีศาลาที่พักส่วนตัว และเมื่อเขากลับมาเขาได้กล่าวทักทายกลับเต่าเฒ่าและต้องพบกับความประหลาดใจที่รู้ว่าถานท่าย หลิงเยียนได้กลับมาตั้งแต่เมื่อ 3 วันก่อนแล้ว
ชิงสุ่ยจึงรีบกล่าวลาเต่าเฒ่าและมุ่งหน้าตรงไปยังที่พักของถานท่าย หลิงเยียน เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วมากนี่เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้เจอกัน เธอยังคงสงบนิ่งเฉกเช่นเดียวกับเมื่อ 2 ปีก่อน ชิงสุ่ยทนที่จะรอพบเธออีกต่อไปไม่ไหวแล้ว