Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1485
บทที่ 1485 – ตระกูลเสวี่ย การประลองที่ถนนอวี้หลาง อาคารหลังเล็ก
การจับชีพจรของเขาไม่ควรใช้เวลาเกิน 15 นาทีจึงถือว่ากำลังดี ชิงสุ่ยไม่รบกวนเธอ เขารู้สึกยินดี ถ้าเธอใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ชิงสุ่ยจะสามารถบอกถึงระดับทักษะของเธอได้ในทันที ความอดทนสำหรับหมอเป็นสิ่งที่สำคัญ พวกเขาต้องเข้าใจอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเฟ่ยก็หดมือกลับ เสียงของเธอเจือไปด้วยความเขินอาย “น้องชายตัวน้อย เจ้ามีร่างกายที่เต็มไปด้วยหยาง นอกเหนือจากนี้ไม่มีอะไรมากที่ข้ารู้สึกได้ มันไม่มีอาการป่วย”
“นับว่าเพียงพอ ความรู้ทางด้านการแพทย์ของพี่สะใภ้ถือว่าดี ข้าเองก็รู้เพียงเล็กน้อยเช่นกัน พวกเราจะลองเปิดโรงหมอที่เมืองเซี่ย หากมันไปได้ดี พวกเราจะยึดเส้นทางนี้ ถ้าไม่ พวกเราก็จะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น” ชิงสุ่ยพยายามเปลี่ยนคำเรียกของหญิงสาว เขารู้สึกไม่สบายใจที่ถูกเรียกว่าน้องชายตัวน้อย อนิจจา ความพยายามไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้เธอใช้มัน
หญิงสาวฝึกฝนทักษะเสน่ห์มนตรา เธอเป็นผู้หญิงของหยินต่ง ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่เคยมีความคิดที่ไม่เหมาะสมใดๆต่อเธอ เธอเป็นคนที่มีคุณธรรม ในสายตาของเธอ ชิงสุ่ยเป็นเหมือนน้องชายตัวน้อยจริงๆ
“เจ้าได้ยินหรือไม่? หญิงสาวจากตระกูลเสวี่ยได้จัดการประลองขึ้นที่ถนนอวี้หลาง คนรุ่นเยาว์ที่สามารถเอาชนะนางได้จะกลายเป็นสามีของนาง หากพ่ายแพ้ เธอจะทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของเธอ”
ในเวลานี้มีเสียงดังหึ่มรอบตัวพวกเขา หรือมันอาจเป็นเพราะพวกเขาได้ยินดีกว่าคนทั่วไป ทั้งสองอย่างพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากฟังด้วยความอยากรู้
“หญิงสาวจากตระกูลเสวี่ย… เสวี่ย นิ๋ว? ลืมมันไปเถอะ ในหมู่คนรุ่นเยาว์ใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับนาง? คนโง่เง่าเท่านั้นที่จะขึ้นไปต่อสู้” หนึ่งในหมู่คนส่ายหัวขณะที่เขาพูด
“ถูกต้อง เจ้าคิดว่าจะมีใครกล้าท้าทายนางไหมในครั้งนี้?”
“ในความเป็นจริง มีผู้คนจำนวนมากที่ไม่กลัวความตาย ด้วยรางวัลใหญ่ที่กองอยู่ตรงหน้า ใครบ้างที่ไม่อยากลอง? ตระกูลเสวี่ยที่พวกเรากำลังพูดถึง พวกเขาเป็นหนึ่งในตระกูลระดับสูงของจักรวรรดิราชวงศ์เซีย สำหรับผู้ที่สามารถแต่งงานกับลูกสาวคนโตของตระกูลเสวี่ย เขาผู้นั้นจะต้องประสบความสำเร็จทั้งในอาชีพและการฝึกตน” ชายคนก่อนหน้าหัวเราะ
มีชายวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้น รูปลักษณ์ของเขาดูชาญฉลาดและมีเสน่ห์
“เจ้าอยากที่จะลองดูไหมหล่ะ เทีย หลิน?”
“ข้า? ลืมไปซะเถอะ บุรุษควรที่จะมีความกล้าหาญและไม่เกี่ยงเมื่อต้องเผชิญกับความยากลำบาก แต่หากพยายามในสิ่งที่รู้ว่าตัวเองขาดความสามารถที่จะทำ นั่นเป็นเพียงแค่การกระทำของคนโง่เท่านั้น” ชายชื่อเทียหลินส่ายหัว
……
ทั้งสามคนติดตามฟังอยู่ตลอด พวกเขาได้ยินข้อมูลสำคัญมา 2-3 อย่าง
หญิงสาวของตระกูลเซี่ยถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นในคนรุ่นเยาว์ตระกูลเสวี่ย วันนี้ตระกูลเสวี่ยหวังว่าหญิงสาวของพวกเขาจะได้แต่งงานกับตระกูลอื่นที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างความสัมพันธ์ผ่านการแต่งงาน อีกฝ่ายที่พวกเขาเล็งไว้คือเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิราชวงศ์เซีย พวกเขามีฐานะที่ทัดเทียวกัน ในความเป็นจริงตระกูลเสวี่ยอาจด้อยกว่าเล็กน้อย
ลูกสาวคนโตของตระกูลเสวี่ยได้ปฏิเสธมันมาแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยประลองฝีมือกันมาก่อนในอดีตซึ่งเป็นเหตุให้ปัญหาลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะเธอได้ การแต่งงานก็ยังจะดำเนินต่อไปหรือไม่?
เวลานี้หญิงสาวตระกูลเสวี่ยได้ตั้งเดิมพันที่สูงขึ้น ในอดีตที่ผ่านมา ผู้ที่ชนะไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับเธอ คราวนี้แม้ว่าเธอจะเห็นด้วยที่จะแต่งงานกับใครก็ตามที่ชนะเธอ แต่แน่นอนว่าคู่แข่งต้องเป็นคนรุ่นเยาว์
นี่เป็นเหตุผลที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในช่วงนี้ มีหลายคนที่ต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลเสวี่ย ตระกูลเสวี่ยแต่งงานกับตระกูลราชวงศ์มาแล้วหลายชั่วอายุคน ตระกูลเสวี่ยถือเป็นแกนหลักของตระกูลราชวงศ์
“น้องชายตัวน้อย ทำไมเจ้าไม่ลองดูหล่ะ? ข้าจะสนับสนุนเจ้าเอง” หลินเฟ่ยเหลือบมองไปที่ชิงสุ่ยและหยอกล้อเขา
“ข้าคิดว่าพี่ชายน่าจะขึ้นไปแทน” ชิงสุ่ยหัวเราะขณะที่เขาตอบกลับ
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หยินต่งก็เกือบจะสำลักสุรา “ข้าขอผ่าน” หลินเฟ่ยเป็นผู้หญิงที่งดงามและเขาเพิ่งแต่งงานกับเธอ ในช่วงเวลานี้เขาหลงใหลเธอ สำหรับคนเช่นหยินต่ง ไม่มีทางที่เขาจะคิดถึงหญิงอื่น
“เอาหล่ะ ข้าจะลองดูและใช้โอกาสนี้เพื่อทำความคุ้นเคยกับหญิงจากตระกูลเสวี่ย มันจะเป็นประโยชน์สำหรับเราขณะที่พวกเราอยู่ที่นี่” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขายังคงไม่มีเจตนาที่จะแต่งงานกับหญิงที่ไม่เคยพบหน้า
ชิงสุ่ยมั่นใจว่าเขาจะชนะ สิ่งแรกที่จำเป็นคือเขาจะรับมือกับความท้าทายนี้ได้หรือไม่? แต่นั่นเป็นคำถามที่เขายังไม่ได้รับคำตอบ
มื้ออาหารกินเวลากว่า 1 ชั่วโมง ก่อนที่พวกเขาจะจองห้องพักที่โรงเตี๊ยมและออกเดินทาง จากเด็กรับใช้ พวกเขารู้ว่าถนนอวี้หลางอยู่ตรงข้ามกับพวกเขา
ถนนอวี้หลางเป็นถนนที่มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง มีร้านค้าเรียงรายอยู่มากมายตามถนน
ชิงสุ่ยและสหายของเขาเดินตรงไปยังถนนอวี้หลาง หลังจากมื้ออาหารของพวกเขา พวกเขาไม่ได้แวะกินอะไรริมทางเลย อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงซื้อเครื่องประดับเล็กๆน้อยๆที่พวกเขาเจอ
ถนนอวี้หลางกว้างขวางมาก ถึงกระนั้นมันก็ดูเป็นระเบียบ บางที่ก็ดูหรูหรา ผู้ที่สามารถอยู่ที่นี่ได้ต้องไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา โลกนั้นไม่ยุติธรรม เมื่อมีคนยากจนก็ต้องมีคนร่ำรวยเช่นกัน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้
ทุกครั้งที่ชิงสุ่ยเห็นถนนในโลกนี้ เขาพูดไม่ออก ถนนทอดยาวไปไกลเป็นพันหลายลี้
โชคดีที่ระยะห่างระหว่างสนามประลองกับถนนสายหลักไม่ไกลกันนัก ในไม่ช้าพวกเขาก็เห็นมัน ห่างออกไป 300 เมตร สนามประลองขนาดใหญ่ให้บรรยากาศที่สง่างาม
สนามประลองสำหรับคนอย่างชิงสุ่ยถือเป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้น การต่อสู้โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นกลางอากาศเสมอ
ณ ตอนนี้มีคนจำนวนมากรอบสนามประลอง ท่ามกลางความแออัด เหนือขึ้นไปข้างบน มีคนสองคนที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดบนสนาม พวกเขาแข็งแกร่งพอๆกัน ทั้งคู่อยู่ในระดับปราณเทวะกษัตริย์ปราณเทวะกษัตริย์
สนามประลองมีสองชั้น ชั้นบนคือที่ซึ่งชิงสุ่ยเห็นคนกำลังต่อสู้ มันสูงขึ้นไป 300 เมตร ส่วนชั้นล่างสูงประมาณ 10 เมตร ชั้นบนใช้สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับปราณเทวะกษัตริย์และสูงกว่า ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับนี้จะไม่สามารถเหาะเหินกลางอากาศได้
มีเสียงโห่ร้องดังออกมาเป็นครั้งคราว
พวกเขาไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับการต่อสู้ในเวลานี้ หยินต่งและหลินเฟ่ยไม่ได้สนใจและพวกเขาตัดสินใจที่จะออกไปมองดูรอบๆถนนอวี้หลาง
“ดูนั่นสิ?” หลินเฟ่ยกล่าวอย่างกระทันหันและนิ้วชี้บอก
มันเป็นสถานที่เล็กๆขนาดประมาณ 600 ตารางเมตร มันดูดีเมื่อเทียบกับร้านค้าโดยรอบ
มันเป็นอาคารที่มีป้ายเขียนคำว่า “ขาย” แขวนเอาไว้
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ พวกเราต้องการสถานที่เช่นนี้ ลองเข้าไปดูกันเถอะ หากเป็นได้ก็ซื้อมันไว้เลย” ชิงสุ่ยกล่าวและยิ้ม
“ฟังดูเข้าท่า แต่ข้าคิดว่ามันคงยากที่จะซื้อสถานที่ดังกล่าวด้วยเงินเพียงอย่างเดียว” หลินเฟ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“ตราบเท่าที่มีราคา มันย่อมมีวิธีซื้อ” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความมั่นใจ
หลังจากผ่านไปหลายนาที ทั้งสามก็มาถึงอาคารหลังเล็กๆ ประตูเปิดอยู่ จริงๆแล้ว 600 ตารางเมตรไม่ถือว่าเล็ก
พวกเขาพบชายคนหนึ่งลงมาจากบันได เขาเป็นคนที่ผอมและดูท่าทางเบื่อเล็กน้อย ดวงตาของเขาเห็นได้ถึงเส้นเลือด ราวกับว่าเขาไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลานาน เขามองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นชิงสุ่ยและสหาย “ มาที่นี่เพื่อซื้องั้นหรือ?”
“ถูกต้อง พวกเราตั้งใจที่จะเปิดโรงหมอและคิดว่าสถานที่นี้ดีมาก นอกจากนี้พวกเราเห็นป้ายระบุว่าขายจึงแวะมาดู พวกเราอยากรู้ว่าท่านต้องการขายเท่าไหร่?” ชิงสุ่ยถูจมูก เขาสามารถได้กลิ่นยาในอากาศจากตัวของชายนคนนี้ ถ้าสถานที่แห่งนี้ไม่เคยเป็นโรงหมอมาก่อน ชิงสุ่ยสันนิษฐานว่าเขาต้องมีอาการป่วยจึงใช้ยา
“เจ้าเป็นหมองั้นหรือ?” ชายคนนั้นดูเหมือนจะกระวนกระวายใจ
“อืม!”
“ไปซะ ข้ายอมเผามันทิ้งเสียยังดีกว่าที่จะขายให้พวกหมอน่ารังเกียจ” ชายคนนี้สบัดมือไล่
ชิงสุ่ยหัวเราะและมองไปที่ชายคนนี้ “ถ้าท่านไม่เชื่อในตัวของหมอ เช่นนั้นทำไมท่านถึงยังใช้นยารักษาหรือ?”
“พอแล้ว ไป ข้าบอกไปแล้วว่าจะไม่ขายให้เจ้า” ดูเหมือนชายคนนี้จะมีอคติกับหมอมาก
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน แต่ท่านไม่สามารถตัดสินอาชีพหนึ่งโดยคนเพียงคนเดียวได้ ข้าไม่กล้าโอ้อวดทักษะทางการแพทย์ของตัวเอง แต่ข้าก็ไม่เคยรักษาผิดพลาด” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความมั่นใจ
“มันไม่มีทางที่จะขายสถานที่แห่งนี้ให้กับหมอ แต่ข้าจะขายให้หากรักษาผู้หญิงของข้าได้เท่านั้น ถ้ามันไม่ใช่เพราะหมอที่ไร้ความสามารถ นางก็คงจะไม่ต้องมานอนซมเช่นนี้” ขณะที่ชายคนนี้พูดคำเหล่านั้น ร่างกายของเขาก็สั่นเทาและมือของเขากำหมัดแน่น เขาหายใจออกอย่างแผ่วเบา