Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1521
บทที่ 1521 –เมืองแสงจันทร์
ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้ใช้ย่างก้าวเก้าเทวาในการเดินทาง ในขณะที่เขามองไปที่ฉินชิงที่ไม่ได้ตกใจเลยเมื่อได้เห็นทักษะดังกล่าวของเขา
ชิงสุ่ยนั้นสามารถเข้าได้ในในทันทีว่า เธอนั้นต้องเป็นคนที่มาจากตระกูลที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน ที่ผ่านมาในอดีตมีคนน้อยมากที่จะไม่ตกใจเมื่อเห็นทักษะของเขา นอกจากนี้ด้วยนามสกุลฉินของเธอ ชิงสุ่ยยิ่งมั่นใจอย่างในความคิดของเขา
แต่อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ไม่มั่นใจว่าเธอนั้นอยู่ในจุดสูงสูดของระดับบัญชาสวรรค์พินาศหรือไม่ แต่เมื่อเทียบกับชายชราของตระกูลฮัวแล้วเธอไม่ได้อ่อนแอกล่าวเขาเลย “ทักษะของข้าใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว เราจะลงไปพักผ่อนก่อนรึ เดินทางต่อด้วยสัตว์อสูร เจ้าคิดว่าไง?”
“เราไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนเดินทางก็ได้ ยังมีเวลานานในการเดินทางครั้งนี้”เธอกล่าวออกมาหลังจากเห็นชิงสุ่ยใช้ทักษะของเขาด้วยรอยยิ้ม
ชิงสุ่ยยิ้มและพยักหน้าให้เธอก่อนที่จะกล่าว“ก็ได้ ตามใจเจ้า!”
ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงเมืองแสงจันทร์!
ที่นี่เป็นเมืองเล็กที่อยู่ห่างไกล หากไม่ใช่เพราะในตอนนี้ทักษะของเขานั้นมาถึงขีดจำกัดแล้วเขาคงไม่หยุดพักที่แห่งนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้มันยังเมืองๆหนึ่งในจักรวรรดิจันทรา
“พี่ฉิน เราจะพักที่แห่งนี้สักคืนหนึ่งก่อนที่จะออกเดินทางต่อในรุ่งเช้า!”ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่เขายิ้มออกมา
“อือ!”เธอตอบกลับมาอย่างนุ่มนวล
ในความคิดของชิงสุ่ยที่แห่งนี้ดูคล้ายกับเมืองร้อยไมล์อย่างมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนมันนั้นก็คล้ายกันอย่างกับเป็นเมืองเดียวกัน ไม่ว่าจะถนน หรือภูเขา ต่างออกไปเพียงแค่ ที่แห่งนี้นั้นมีผู้คนอาศัยอยู่มากกว่าเท่านั้น
เมืองแสงจันทร์นั้นตั้งอยู่ในหุบเขาจัทรา จึงทำให้เมืองแห่งนี้มีสภาพอากาศที่ดีอย่างมาก นอกจากนี้ทำเลของมันนั้นก็จัดได้ว่าเป็นจุดชัดยอดในหลักฮวงจุ้ย แต่ที่หน้าเสียดายก็คือที่ต้องของมันนั้นอยู่ห่างไกลเมืองอื่นๆมากมายนัก
ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ขณะที่เขามองไปรอบๆ มันเป็นเรื่องยากอย่างมากที่เขาจะพบเห็นผู้คนที่ใช่ชีวิตอย่างอิสระพอเพียงเช่นนี้ ทุกๆคนที่อยู่ในนี้นั้นใช่ชีวิตตามที่พวกเขาต้องการโดยไม่มีเงินทอง ชื่อเสียงมาผูกติดแต่อย่างใด นี่คือชีวิตในฝันของเขาในอดีต
“ท่านลุงๆ ภรรยาของท่านงดงามมากทำไมท่านไม่ซื้อดอกไม้ช่อนี้ให้นางละ?”
เสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมากทิศใกล้ๆ ชิงสุ่ยและฉินชิงได้หันไปมองที่ต้นกำเนิดของเสียง มันทำให้พวกเขาพบเด็กหญิงตัวเล็กๆที่เดินเข้ามาหาพวกเขา เธอนั้นมีอายุเพียงแค่ 7-8ขวบเท่านั้น เธอนั้นมีร่างกายที่ผอมแห้งแต่ถึงอย่างไรเธอนั้นก็ก็สวมเสื้อผ้าที่สะอาดอย่างมาก เธอนั้นมีวงตาที่ใหญ่โตดังดวงตาของกวาง มันนั้นเต็มไปด้วยความบริสุทธ์และอ่อนโยน
ชิงสุ่ยหดหูใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอ ภาพของลูกๆของเขานั้นลอยขึ้นมาในใจของเขาในทันที ชิงสุ่ยได้แต่ตัดสินใจลืมมันไป และหันไปยิ้มกับเธอในตอนนี้ ก่อนที่จะหยิบดอกสีแดงสดขึ้นมา และส่งเงินให้กับเธอ
เมื่อได้รับเงินเธอยิ้มออกมาก่อนที่จะกล่าวขอบคุณเขาและวิ่งจากไปในทันที
ในตอนนี้เงาเล็กๆของเธอได้หายลับไปแล้ว ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นถูกต้องรึไม่ เขาให้เงินเธอไปจำนวนหนึ่ง ถึงมันจะไม่มากมายนักแต่มันก็พอที่จะทำให้เธอตั้งต้นชีวิตได้ มันจึงทำให้เขาแอบกังวลอยู่รึๆในตอนนี้
ถึงอย่างไรชิงสุ่ยไม่ได้ทำอะไรต่อในตอนท้าย นอกจากส่งดอกไม้ในมือให้กับฉินชิง “นี่ของเจ้า!”ชิงสุ่ยส่งดอกไม้ในมือให้กับเธอก่อนที่เขาจะใช้มือถูกจมูกของเขา
ฉินชิงมองไปที่เขาและถามกลับมาด้วยรอยยิ้ม “นี่เจ้าให้ข้ารึ ข้าไม่เอาหรอก ข้าไม่ชอบดอกไม้”ฉินชิงยิ้มและหัวเราะออกมาก่อนที่จะเดินนำเขาไป
ชิงสุ่ยได้แต่เดินตามเธอไปขณะถือดอกไม้เอาไว้ในมือของเขา
ในตอนนั้นเองชายชราที่อยู่ใกล้ที่เห็นเหตุการณ์ได้หัวเราะออกมาด้วยรอยยิ้มและกล่าว “พ่อหนุ่มสู้ๆอย่ายอม สักวันหนึ่งจะเป็นวันของเจ้า ”
“ขอบคุณท่านปู่”ชิงสุ่ยยิ้มออกมาและวิ่งตามฉินชิงไป
ในขณะที่พวกเขาเดินต่อไปเข้าไปในเมืองและมองไปรอบๆ ตามถนน ร้านค้าเล็กๆ ทำให้พวกเขานั้นรู้ว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่โดดเด่นอย่างมากในด้านอาหาร
ไม่ว่าชิงสุ่ยจะไปที่ไหนก็ตาม เขาจะมักตรวจสอบและลิ้มรสอาหารของต่างเมืองอยู่เสมอ นี่เป็นหนทางที่จะทำให้เขารู้จักที่แห่งนั้นได้ดียิ่งขึ้น การทำอาหารนั้นเป็นศิลปะชนิดหนึ่งที่แฝงเอาไว้ถึงนิสัย วัฒนธรรมของผู้คนเอาไว้ ซึ่งการลิ้มรสอาหารเหล่านั้นมันจะทำให้เขาสามารถเข้าถึงผู้คนได้มายิ่งขึ้น
ในตอนนี้ฉินชิงนั้นก็รู้สึกหิวเล็กน้อยแล้ว มันเป็นเรื่องดีที่พวกเขาจะหาของกินในตอนนี้
…..
หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเขาก็ได้ออกเดินทางเพื่อชอบเมืองแห่งนี้ต่อ ผู้คนส่วนมากในเมืองแห่งนี้จะมีอาชีพเกษตรกร นอกเหนือจากงานเกษตรแล้ว พวกเขาส่วนมากจะนิยมเลี้ยงม้า ซึ่งตั้งแต่พวกชิงสุ่ยเข้ามา เขาสามารถสังเกตเห็นได้เลยว่าทุกๆบ้านจะมีคอกม้าของตน
มันทำให้ชิงสุ่ยเริ่มสงสัยถึงการมีชีวิตอยู่ บางคนนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้น บางคนมีชีวิตเพื่ออยู่ไปวันๆ บางคนนั้นอยู่เพื่อความต้องการของคนอื่นๆ นี่ทำให้เขาสงสัย เช่นเดียวกับชาวบ้านเหล่านี้ ที่มักจะทำอะไรคล้ายๆกัน…….
“พี่ฉินทำไมคนเราต้องมีชีวิตอยู่ด้วยละ ชีวิตมันคืออะไร?”ชิงสุ่ยถาม
ในตอนนี้เธอรู้สึกประหลาดใจในคำถามของชิงสุ่ย เธอแค่คิดว่าตอนนี้เขาคงอ่อนล้าและสับสน เธอจึงได้กล่าวไปโดนไม่หันไปมองเขาว่า “ชีวิตก็คือหน้าที่ๆเราต้องรับผิดชอบหลังจากที่เราได้เกิดขึ้นมา”
“แล้วหน้าที่ของเจ้าที่ทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่คืออะไรละ?”
“นี่คือสิ่งที่เจ้า อยากถามข้ามาตลอดใช่รึไม่?”เธอหันมากมองเขาและตอบด้วยรอยยิ้ม
“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าอะไรที่มีความหมายในชีวิตของเจ้า?”
“คนเราบางครั้งก็ไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องทำจำเพาะเจาะจงหรอก ข้าก็เพียงที่ในสิ่งที่ข้ามีความสุขเท่านั้นเอง ทำรึ? การใช้ชีวิตของข้าสร้างความลำบากใจให้เจ้ารึ?”
“เปล่า เลย……”
หลังจากท่านมื้อค่ำพวกเขาได้เลือกที่จะพักในโรงแรมเล็กๆใกล้ถนนสายหลัก เพื่อต้องการชมภาพของเมือง
ในยามค่ำคืน เนื่องจากเมืองแห่งนี้เป็นเมืองในหุบเขาจะทำให้แสงของพระจันทร์ตกกระทบผ่านยอดเขาลงมา ทำให้เมืองแห่งนี้ดูเหมือนอาบด้วยแสงจันทร์ตลอดเวลา นี่คือที่มาของชื่อเมืองแห่งนี้
“นี่พี่ชาย ดูนั้นสิ ผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้น นางสวยมากๆเลย”
“ใช่นางงดงามมาก แต่ข้าไม่เคยเห็นนางมากก่อน บางทีนางอาจเป็นคนที่มาจากที่อื่น เราเข้าไปหานางกันเถอะ!”
…..
ชายหนุ่มกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้ๆในตอนนี้ พวกเขามีร่างกายที่ผอมแห้งและมีบหน้าที่ธรรมดาอย่างมาก มันให้ชิงสุ่ยรู้สึกสังเวชเมื่อมองไปที่พวกเขา ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นรู้ดีว่าเป้าหมายของพวกเขาคือฉินชิง แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มันทำให้ชิงสุ่ยหัวเราะออกมา พวกเขานั้นช่างกล้าหาญอย่างมากจริงๆ ที่ไม่รู้จักประมาณตน?
“สาวน้อย เจ้าสนใจไปดื่มเหล้าองุ่นกับข้ารึไม่ รสชาติของมันนั้นยอดเยี่ยมอย่างมาก นอกจากนี้มันยังช่วยเหลือการบ่มเพาะได้อีกด้วย”ชายผู้เป็นหัวหน้ามองไปที่ฉินชิงด้วยความลามก
ชิงสุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมา ชายคนนี้หน้าขยะแขยงอย่างมากในสายตาของเขา
“เจ้าควรถามสามีของข้าก่อนว่าเข้าจะอนุญาตให้ข้าไปรึไม่?”ฉินชิงกล่าวออกมาก่อนที่จะไปที่แขนเสื้อของชิงสุ่ย
หัวใจของชิงสุ่ยนั้นถึงกับหยุดเต้นไปชั่วขณะหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เธอกล่าว ก่อนที่ชิงสุ่ยจะหันไปมองกลุ่มคนเหล่านั้น “พวกเจ้าเป็นใครกันกล้ามายุ่งเกี่ยวกับภรรยาของข้า”
ชิงสุ่ยค่อยโอบกอดไปที่เอวของฉินชิง ในตอนนี้ฉินชิงได้กระซิบไปข้างหูของชิงสุ่ยและกล่าวว่า “เจ้านี้ช่างมองหาโอกาสจากข้าอยู่ตลอดเลยสินะ ?”
ชิงสุ่ยได้แต่ยิ้มออกมาและกอดเธอแน่นยิ่งขึ้น
“เจ้าหนุ่มรู้รึไม่ว่าพี่ใหญ่ของเราเป็นใคร รีบปล่อยนางมาซะถ้าเข้ายังไม่อยากตาย”ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
“มีแต่คนโง่เท่านั้นที่กล่าวแบบนี้ออกมา ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าเป็นใคร รีบไปซะข้าไม่มีเวลามาเล่นกับคนโ.เช่นพวกเจ้า”
“สามหาว พี่น้องเราไปสอนบทเรียนให้มันกัน ให้มันรู้ว่าพวกเราคือใคร?”ชายหนุ่มตะโกน
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นขยะแต่ระดับการบ่มเพาะของพวกเขานั้นก็นับว่าพอใช้ได้ พวกเขานั้นอยู่ในระดับเทวะเซียนในระดับต้น นอกจากนี้ทักษะของพวกเขานั้นก็ดูราวกับว่าได้ถึงฝนมาเป็นอย่างดี
ในตอนนี้เองเพียงแค่ชิงสุ่ยสะบัดมือออกไปหนึ่งครั้ง ร่างของชายคนหนึ่งก็ได้ลอยกระเด็นไปชนกับเสาอย่างรุนแรง ก่อนที่ชายคนนั้นจะกระอักเลือดออกมาและหมดสติไป
การโจมตีดังกล่าวทำให้คนอื่นๆหยุดมือในทันที พวกเขารู้แล้วว่าตอนนี้พวกเขานั้นได้พบกับตัวตนที่ทรงพลังอย่างมาก พวกเขานั้นเป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งในเมืองแห่งนี้ แต่เหตุการณ์เช่นนี้นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย นั้นทำให้ให้พวกเขาใจได้ดีถึงความแตกต่างของพลังได้อย่างชัดเชน
ในตอนนี้ทุกๆคนได้คุกเขาลงในทันทีหลังจากเห็นสิ่งที่เกิด และอ้อนวอนชิงสุ่ยให้ไว้ชีวิต “นายท่านโปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย กรุณายกโทษในความโง่เขล่าของพวกเรา”ชายที่เป็นผู้นำได้กล่าวออกมา
“ในเมื่อพวกเจ้ากล้ามายุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงของข้า พวกเจ้าก็ต้องได้รับบทลงโทษเช่นเดียวกัน”หลังจากกว่าจบชิงสุ่ยต่อยไปที่ท้องและเตะไปที่ระหว่างขาของเขาในทันที
อ๊ากกกก!
ในตอนนี้การบ่มเพาะและอวัยวะเพศของเขานั้นถูกทำลายลงไปแล้ว ต่อไปนี้เขาจะไม่สามารถทำร้ายใครได้อีกต่อไป