Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1585 – เงือกอสูรทมิฬชูตงรื่อ กองกำลังร้อยมือสังหาร
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1585 – เงือกอสูรทมิฬชูตงรื่อ กองกำลังร้อยมือสังหาร
บทที่ 1585 – เงือกอสูรทมิฬชูตงรื่อ กองกำลังร้อยมือสังหาร
ชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อเดินทางไปนอกพระราชวังทะเลราชันย์ทันที เมื่อพวกเขาได้ยินว่ามู่หยุนชิงเฉิงมุ่งหน้าออกไปพร้อมกับกำลังคน พวกเขาจึงรีบเร่งตามติดไปเพื่อให้ทันเธอ
สถานที่นั้นอยู่ห่างออกไป 1,000 ลี้จากพระราชวังทะเลราชันย์
ชิงสุ่ยคิดในขณะที่เดินทาง ประมุขของพระราชวังสุริยันน่าจะเป็นมนุษย์เงือก แต่ชิงสุ่ยก็ยังไม่ปักใจเชื่อในตอนนี้
มู่หยุนชิงเฉิงเป็นคนจากเผ่านาคาเร้นลับ เมื่อเทียบกับมนุษย์เงือก ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเผ่านาคาเร้นลับแข็งแกร่งกว่า อย่างไรก็ตามเมื่อเขาคิดว่าในเมื่อจินลี่อวี้เองก็แข็งแกร่งขึ้น ทำไมมนุษย์เงือกถึงจะไม่เป็นเช่นนั้น?
ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ ชิงสุ่ยไม่รู้สึกแปลกใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นของใหม่สำหรับชิงสุ่ย ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาในการไตร่ตรองและหาข้อเท็จจริง
ปัจจุบันพระราชวังมังกรสมุทรและพระราชวังฉลามอสูรได้ถูกจำกัดไปแล้ว พระราชวังสุริยันมาเพื่อรักษาหน้าของพวกเขา พระราชวังสุริยันไม่ได้สนใจว่าใครเป็นคนก่อเรื่องหรือใครจะถูกจะผิด เมื่อพวกเขาเห็นว่าพระราชวังมังกรสมุทรและพระราชวังฉลามอสูรถูกทำลาย พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใดๆ
ความความถูกต้องและความผิดเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ในกรณีนี้ ผู้ชนะเท่านั้นที่จะเป็นผู้ปกครอง ผู้แพ้ก็เป็นได้แค่ผู้ร้าย
ในฐานะผู้พิทักษ์ของพระราชวังทะเลราชันย์ ปกติแล้วชิงสุ่ยจะไม่แสดงตัวออกมาตั้งแต่ต้น แต่ตอนนี้ผู้คนในพระราชวังทะเลราชันย์รู้สึกไม่มั่นคงและต้องการผู้ที่พึ่งพิงได้อย่างชิงสุ่ยเพื่อทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้น รวมทั้งเพิ่มขวัญกำลังใจในการทำงานของพวกเขา
แม้ว่าเขาจะแสดงตัว แต่เขาก็ไม่ได้ออกไปเผชิญหน้าให้ใครเห็นโดยตรง เขาเดินเข้าไปในถ้ำซึ่งมู่หยุนชิงเฉิงกำลังหารือกับคนอื่นๆอยู่
ด้านนอกถ้ำชิงสุ่ยมองเห็นกองกำลังที่เคลื่อนตัวมาจากระยะไกลซึ่งกำลังเตรียมพร้อมต่อสู้ เขาและอีเย่เจี้ยนเก้อเดินเข้าไปในถ้ำและเห็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง 2-3 คนของพระราชวังทะเลราชันย์อยู่ที่นี่แล้ว
เมื่อพวกเขาเห็นชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อเข้ามาในถ้ำ พวกเขาก็กล่าวทักทายทั้งคู่อย่างสุภาพ ชิงสุ่ยกล่าวทักทายตอบเช่นกัน ก่อนที่เขาจะหันไปหามู่หยุนชิงเฉิงและถาม “ท่านมีแผนหรือไม่?”
“คราวนี้ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะมีเหตุผลอะไร ตราบเท่าที่พวกเขาตั้งใจทรยศต่อพระราชวังทะเลราชันย์ ข้าก็จะทำให้พวกเขาต้องชดใช้” มู่หยุนชิงเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย แต่มันก็ยังมีร่องรอยของความตึงเครียดอยู่บ้าง
ที่นี่มีผู้นำเผ่าในพระราชวังทะเลราชันย์อยู่จำนวนหนึ่ง ชิงสุ่ยสังเกตสถานการณ์และรู้สึกว่าคำพูดของเธอแฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจในตัวเธอ “อย่าได้กังวล ข้าจะช่วยท่านเอง ข้าเกลียดพวกที่ทรยศที่สุด คนแบบนี้ไม่อาจนับว่าเป็นสหายได้และพวกมันพร้อมจะทรยศผู้อื่นได้ทุกเมื่อ พวกมันจะต้องถูกทุกคนเกลียดชังและไม่มีวันได้ดี”
มู่หยุนชิงเฉิงรู้ว่าชิงสุ่ยกำลังพยายามช่วยเธอ เธอหัวเราะ “พระราชวังสุริยันมาถึงแล้ว แต่พวกเขาดูเหมือนจะไม่อยากเสนอหน้าออกมา พวกกบฏจากพระราชวังทะเลราชันย์ช่างน่าสงสารจริงๆที่คิดว่าพวกมันจะสามารถเป็นใหญ่ขึ้นได้ในทันทีที่แยกตัวออกจากพวกเรา นี่เป็นลูกไม้เดิมๆของพระราชวังสุริยัน ประมุขของพวกเขาเคยถูกหลอกเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงสนุกกับการใช้กลอุบายซ้ๆแบบนี้ หากพวกมันออกจากพระราชวังทะเลราชันย์แล้วสามารถพึ่งพาตัวเองได้ ข้าก็คงจะไม่ว่าอะไร”
ขณะนั้นมีมนุษย์เงือกกลับเข้ามารายงายสถานการณ์ “รายงานท่านประมุข ผู้นำของเผ่าหมาป่าฉลามส่งจดหมายมาถึงท่าน”
มู่หยุนชิงเฉิงรับจดหมายจากมนุษย์เงือกและยิ้ม เธออ่านเนื้อหาของมัน “พวกเจ้าลองเดาถึงสิ่งที่เขียนในนี้สิ”
ชิงสุ่ยสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่หยุนชิงเฉิง แม้ว่าเขาจะมีความคิดบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
อีเย่เจี้ยนเก้อยิ้ม “มันเป็นไปได้หรือไม่ที่เผ่าหมาป่าฉลามกำลังขอกำลังเสริมหรือขอความช่วยเหลือ?”
“อีเย่เจี้ยนเก้อเจ้าช่างฉลาดนัก เผ่าหมาป่าฉลามบอกว่าพวกเขาถูกบังคับให้ต้องทำเช่นนี้และพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาบอกว่าทั้งหัวใจภักดีต่อพระราชวังทะเลราชันย์เสมอ”
ชิงสุ่ยไม่ได้พูดอะไร แต่เขารู้ว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
บางครั้งคนเราก็มักจะพบเจอกับประสบการณ์ที่ต้องเลือกบางอย่าง ทุกทางเลือกอาจส่งผลต่อชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา ไม่มีใครรู้ว่าทางเลือกที่เขาเลือกจะดีหรือไม่ สิ่งที่ดีที่สุดคือการเลือกโดยไม่มัวมานั่งเสียใจ
เผ่าหมาป่าฉลามได้เลือกเส้นทางนั้นและวพกเขาทำได้เพียงเดินต่อไปในถึงที่สุด ชิงสุ่ยรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเขียนตอบกลับจดหมายฉบับนี้ แน่นอนว่าเขาไม่อาจปฏิเสธความคิดที่ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจากฝ่ายตรงข้าม
มู่หยุนชิงเฉิงส่งจดหมายไปให้อีเย่เจี้ยนเก้อและกล่าว “เจี้ยนเก้อ บอกพวกเราหน่อยว่าสมควรทำอย่างไร”
“มันไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องเลือกทำแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่น่าไว้ใจ เผ่าหมาป่าฉลามเป็นพวกที่เจ้าเล่ห์เมื่อเทียบกับเผ่าอื่นๆ ท่านไม่ควรที่จะเชื่อคำพูดของพวกเขา พระราชวังสุริยันนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถตอบโต้พวกเขาได้” อีเย่เจี้ยนเก้อตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเกือบที่จะลืมว่าพวกเรายังมีผู้พิทักษ์ที่ทรงพลัง ชิงสุ่ย พวกเราต้องพึ่งเจ้าแล้วในครั้งนี้” มู่หยุนชิงเฉิงหัวเราะร่า
กองกำลังของทั้งสองฝ่ายเข้าสู่สนามรบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ แม้ว่าจะไม่มีการใช้รูปแบบพิเศษใดๆ มันก็ยังคงเป็นการต่อสู้ที่ช่วงชิงจุดที่ได้เปรียบกันอยู่ดี
พระราชวังทะเลราชันย์มีชนเผ่ามัจฉาทำหน้าที่เป็นแนวหน้าในสร้างรูปแบบ รูปแบบประตูมัจฉามังกรนั้นแข็งแกร่ง มันยังถือว่ามีประสิทธิภาพมากสำหรับลดทอนพลังของอีกฝ่ายในสนามรบ
โอกาสที่รูปแบบนี้จะล้มเหลวมีน้อยมาก ไม่เพียงแค่รูปแบบนี้จะช่วยให้เผ่ามัจฉาแข็งแกร่งขึ้น มันจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายอ่อนแอลงด้วย ดังนั้นรูปแบบนี้จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่เสริมทั้งการโจมตีและป้องกัน
จินลี่อวี้เติบโตขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่เขาประสบกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น เขากลายเป็นคนที่เอาจริงเอาจังและเชื่อถือได้ ตอนนี้เขาเป็นผู้นำของชนเผ่ามัจฉาด้วยความพลังของตัวเอง ไม่มีข้อกังขาใดๆจากพวกของเขาอีก
มันเป็นความอัปยศของชนเผ่ามัจฉาที่เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งประมุขสาม เมื่อเวลาผ่านไป บางคนเริ่มตระหนักถึงสาเหตุของความอัปยศนั้น เผ่ามัจฉาต่างถูกประนามจากผู้อื่นด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนส่วนใหญ่ที่ไม่สนอะไรแสดงท่าทีที่ก้าวร้าวต่อพวกเขา พวกเขาทำกับเผ่ามัจฉาอย่างไม่ใยดี อย่างไรก็ตามเผ่ามัจฉาได้ออกคำสั่งไม่ให้ตอบโต้กลับพวกเขา หากทำเช่นนั้น คนที่ลงมือก็จะถูกขับไล่ออกจากเผ่าทันที
ด้วยเหตุนี้ ในช่วงเวลานี้เผ่ามัจฉาจึงอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ชิงสุ่ยไม่ได้พูดอะไรเมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง เขารู้สึกว่ามันคงไม่มีปัญหาใดต่อจินลี่อวี้และเผ่ามัจฉา พวกเขาคงไม่มีทางแข็งข้อขึ้นมา ในทางตรงกันข้ามพวกเขาย่อมหวังที่ก้าวหน้าขึ้น ถ้าหากพวกเขาแข็งแกร่ง พวกเขาก็จะสามารถช่วยเหลือพระราชวังทะเลราชันย์ได้
ขณะนั้นชิงสุ่ยได้เห็นเงือกอสูรทมิฬและเผ่าหมาป่าฉลาม เงือกอสูรทมิฬมีร่างกายที่กำยำกว่าเผ่าหมาป่าฉลาม ความสูงของพวกเขาอยู่ประมาณ 7 หรือ 8 เมตร ส่วนร่างกายของพวกเขามีสีดำสนิทและสวมชุดเกราะซึ่งดูดุดันและเกรี้ยวกราด
แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนมนุษย์ แต่มันก็ยังมองเห็นเขาอันแหลมคมที่ยืนออกมาจากหัวของพวกเขาได้ พวกเขาแต่ละคนถือกระบองขนาดใหญ่เอาไว้ในมือและแผ่กลิ่นอายที่น่ากลัวออกจากร่างกาย
คนจากเผ่าหมาป่าฉลามดูคล้ายกับมนุษย์หมาป่า แขนทั้งของข้างของพวกเขามีกรงเล็บที่แหลมคม ร่างกายของพวกเขากำยำและมีลักษณะของฉลาม นี่เป็นเหตุผลที่เผ่าหมาป่าฉลามถือว่าเป็นกลุ่มคนที่ทรงพลัง
“ประมุขของพระราชวังสุริยันต้องการให้ข้านำข้อความมาบอกเจ้า หากพระราชวังทะเลราชันย์ต้องการยอมจำนนต่อพระราชวังสุริยัน เจ้าต้องกวาดล้างสมาชิกทุกคนซะ เจ้าคิดเช่นไร” หนึ่งในเงือกอสูรทมิฬที่ตัวสูงผิดปกติก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวกับมู่หยุนชิงเฉิง
เขาเป็นเสาหลักคนสำคัญของเงือกอสูรทมิฬ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนยังเยาว์วัย เกราะสีดำของพวกเขาส่องแสงมันวาว เขาคือหนึ่งในห้าของนักสู้ที่แข็งแกร่งแห่งเงือกอสูรทมิฬนาม ‘ชู ตงยื่อ’
เธอยังหวังว่าจะมีโอกาสได้ควบคุมเผ่าเงือกอสูรทมิฬ
“เจ้าบอกว่านี่มาจากประมุขพระราชวังสุริยัน ข้าต้องการให้นางมาบอกข้าด้วยตัวเอง เจ้านึกว่าตัวเองคู่ควรงั้นหรือ?” เสียงของมู่หยุนชิงเฉิงฟังดูเย็นชาเมื่อเธอพูดกับเขา
ฮึ!
ชูตงยื่อถอนหายใจอย่างหนัก ดวงตาของเขาจดจ้องไปที่มู่หยุนชิงเฉิงและกล่าว “ตลอดเวลา เจ้าคิดว่าข้าเป็นลูกน้องของเจ้างั้นหรือ? เมื่อเจ้ากลายเป็นนักโทษของข้า ข้าจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสสิ่งที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย”
“เจ้ามันก็แค่สุนัขรับใช้สำหรับพระราชวังสุริยัน ฐานะของเจ้าได้ลดต่ำลงไปมาก” มู่หยุนชิงเฉิงกล่าวอย่างใจเย็น แม้ว่าคำพูดของเธอจะดูรุนแรง แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย มันแค่เพียงทำให้ชูตงยื่อดูเป็นผู้ชายน่ารังเกียจ
ชูตงยื่อยังคงยืนนิ่งอยู่ เงือกอสูรทมิฬคนหนึ่งเดินออกมาและกล่าว “ไม่เป็นไรหัวหน้า อย่าได้ไปสนคนเช่นนี้ เมื่อพวกเราจัดการพวกมันได้ พวกเราจะจัดการกับนางอย่างสาสม”
“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น พวกเราก็จะไม่ยอมอ่อนข้อให้ พี่น้องทั้งหลาย จงเตรียมตัวให้พร้อม”
เสียงของเขาค่อนข้างดังฟังชัด ทุกคนสามารถได้ยินมัน การต่อสู้เริ่มขึ้นในทันที ทั้งสองฝ่ายต่างถาโถมเข้าสู่สนามรบ
ผู้ที่อ่อนแอมักจะถูกกำจัดเป็นคนแรก อย่างไรก็ตามกองกำลังจากพระราชวังทะเลราชันย์ถือว่ามีจำนวนมาก นอกจากนี้เผ่ามัจฉาก็แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง พวกเขาเหมาะสำหรับการต่อสู้เป็นรูปแบบ ตราบเท่าที่ไม่มีผู้ฝึกตนที่ทรงพลังเข้าร่วม เผ่ามัจฉาก็จะเป็นเหมือนกับป้อมปราการที่แข็งแกร่ง
“ข้าน่าจะให้กองกำลังร้อยมือสังหารเริ่มจัดรูปแบบและลงมือสังหารพวกเขา” ชิงสุ่ยกล่าวเมื่อเขามองดูการต่อสู้ตรงหน้า
มู่หยุนชิงเฉิงพยักหน้าเพื่ออนุญาตให้กองกำลังร้อยมือสังหารเข้าสู่สนามรบ ในขณะนั้นการต่อสู้รุนแรงขึ้น สถานการณ์เปลี่ยนไปทันทีที่กองกำลังร้อยมือสังหารเข้าร่วม แม้ว่าพวกเขาจะมีเพียง 100 คน พวกเขาก็เป็นเหมือนกระบี่ที่คมกริบซึ่งฟาดฟันเพื่อนำไปสู่ชัยชนะของพวกเขา
ชิงสุ่ยรู้สึกพึงพอใจเมื่อเห็นกองกำลังร้อยมือสังหาร ความเหนือกว่าของมนุษย์เงือกเกล็ดทมิฬเป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน
เงือกอสูรทมิฬระเบิดความโกรธออกมาทันทีเมื่อพวกเขาเห็นมนุษย์เงือกเกล็ดทมิฬปรากฏตัวออกมาและจัดการพวกเขา จำนวนของเงือกอสูรทมิฬมีไม่น้อยกว่า 300 คน
เงือกอสูรทมิฬที่ออกไปเป็นแนวหน้านั้นอ่อนแอกว่าชูตงยื่อ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็นับว่าแข็งแกร่ง แม้กระทั่งในเผ่าเงือกอสูรทมิฬ พวกเขายังถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่สูง พวกเขาสามารถพัฒนาขึ้นอีกได้ในอนาคต
รูปแบบเบจธาตุสังหาร!
มนุษย์เงือกเกล็ดทมิฬยังคงโจมตีทะลวงเข้าไปหาอีกฝ่าย ระหว่างการโจมตี วพกเราจะเปลี่ยนกลยุทธ์จากรุกสลับเป็นรับ ทุกคนสามารถมองเห็นได้ว่ากองกำลังทั้ง 100 คนอยู่ท่ามกลางสนามต่อสู้ เฉพาะผู้ที่เชี่ยวชาญเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นถึงความสามารถการโจมตีผสานกันของพวกเขา
รูปแบบเบญจธาตุประกอบไปด้วยธาตุทั้งห้าได้แก่ โลหะ ดิน น้ำ ลม และไฟ แต่ละธาตุจะมีคนประจำตำแหน่งกว่า 20 คน เมื่อแต่ละธาตุผสานเข้ากันอย่างสมบูรณ์แล้ว รูปแบบเบญจธาตุก็จะแสดงพลังที่น่าเกรงขามออกมา