Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1784 - รอยประทับฝ่ามือ
AST
บทที่1784 – รอยประทับฝ่ามือ
ทางด้านของปู้หยางชิงชิงสุ่ย และหมอปีศาจยังคงพูดคุยขณะจิบชาในห้องนั่งเล่น
”ชิงสุ่ยข้าเองได้ยินข่าวเรื่องของผู้นำคฤหาสน์ดาบสวรรค์มาบ้าง ดูเหมือนว่ามันตอนนี้มีพลังเหนือกว่าระดับบัญชาสวรรค์พินาศไปแล้ว”ปู้หยางชิง จ้องมองชิงสุ่ยขณะกล่าวอย่างช้าๆ
ชิงสุ่ยพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมปู้หยางชิงถึงได้ทำหน้าบึ้งตึงตลอดเวลานั้นคงเป็นเพราะว่าเขาจะต้องกังวลเรื่องที่จะเกิดขึ้นจึงได้ตัดสินใจพูดคุยกับชิงสุ่ยโดยตรง
”จากท่านพูดตรงหมายความว่ามันเองก็บรรลุระดับดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้วสินะ”สีหน้าการแสดงออกของชิงสุ่ยยังคงเป็นไปด้วยความสงบนิ่งเขาก็ได้พบเจอกับผู้ฝึกตนดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มามากมาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจใดๆ ที่จะได้พบเจอผู้ฝึกตนพลังดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ภายในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ แม้ว่าจะเป็นการอัญเชิญมาจากที่อื่นก็ตาม
อย่างไรซะทุกอย่างก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานเดียวกันหากแข็งแกร่งไม่มากพอก็คงไม่มีโอกาสติดต่อเจริญความสัมพันธ์กับคนกลุ่มระดับพลังสว่างศักดิ์สิทธิ์ได้
”บางทีพวกมันอาจจะเป็นยอดยุทธระดับปานบัญชาสวรรค์พินาศขั้นปลายก็เป็นได้เพราะโอกาสที่จะทะลวงผ่านไปสู่ระดับดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มันเป็นไปได้ต่ำมาก”ปู้หยางชิงกล่าวอย่างจริงจัง
ด้วยความสามารถที่ปู้หยางชิงครอบครองมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะมีกรอบความคิดจำกัดสำหรับระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มันคือระดับพลังที่เขาไม่อาจไขว่คว้ามาได้ ดังนั้นความรู้สึกของเขาจึงยังคงมั่นใจว่ากลุ่มของคฤหาสน์ดาบสวรรค์ยังคงเป็นเพียงแค่พูดที่อยู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นปลาย
แต่ในความเป็นจริงแล้วชิงสุ่ยความรู้สึกได้ว่าโอกาสที่คนระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะมาปรากฏตัวที่นี่มันเป็นไปได้ต่ำเช่นกัน
เมื่อชิงสุ่ยกลับไปที่ห้องพักชิงซิ่วก็นอนหลับเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่วนอีเย่เจี้ยนเก้อ เธอกำลังวาดอะไรบางอย่างดวงตาของเธอยังคงจ้องไปที่ภาพวาดในขณะที่เธอกล่าวทักทายว่า “เจ้ากลับมาแล้วหรือ!!”
ชิงสุ่ยได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วเธอกำลังวาดภาพตัวของเขาอยู่ซึ่งใกล้จะเสร็จสิ้นแล้วความสามารถในการวาดภาพของเธอนั้นถือเป็นความสามารถชั้นเลิศ มันคือภาพที่เหมือนกับไม่ใช่ภาพวาดแต่เป็นภาพถ่ายทุกอย่างเหมือนร่างกายของเขาทุกประการ แม้กระทั่งเอาโครงสร้างกระดูก
ชิงสุ่ยชื่นชมการวาดภาพของอีเย่เจี้ยนเก้อและรอคอยจนกระทั่งเธอวางพู่กันลง
อีเย่เจี้ยนเก้อเงยหน้าขึ้นมองชิงสุ่ยตัวเองรู้ตัวดีว่าตลอดเวลาที่เธอวาดภาพชิงสุ่ยจ้องมองเธอตาแทบไม่กระพริบ แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นสามีภรรยาและมีลูกด้วยกันแต่เธอก็ยังคงรู้สึกเขินอายทำให้เธอหันมองเขาและกล่าวคร่ำครวญว่า “เจ้าอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว เจ้ายังจ้องมองข้าไม่เพียงพอทีหรือ?”
”ไม่ว่าข้าจะมองเจ้านานเท่าไหร่มันก็ไม่เคยเพียงพอสำหรับข้า”ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เขาเดินตรงเข้าไปโอบเอวเธอ
”ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากขึ้นข้าก็จะกลายเป็นยายแก่ผมหงอก ตอนนั้นเจ้าจะยังอยากมองข้าอีกไหม?”อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
”ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนเจ้าก็ยังคงอยู่ในใจเขาเสมอไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไรก็ยิ่งหลงรักเจ้ามากเท่านั้น”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่น่าเชื่อถือ
……………………………………..
ยามราตรีผ่านไปยามเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็ปรากฏชิงสุ่ยตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อรับแสงแดดยามเช้าท่ามกลางการฝึกฝนทักษะเพลงหมัดหลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ผืนน้ำมหาสมุทรมาเป็นเวลาหลายๆปี มันทำให้เขารู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่ใต้น้ำนั้นรู้สึกดีกว่าการใช้ชีวิตบนบก
ชีวิตว่ายน้ำของเขาเต็มไปด้วยความสนุกโดยที่รอบตัวของเขามีเกราะคอยกันน้ำ ในขณะที่การเคลื่อนไหวสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับปลา ทั้งยังมีเผ่าพันธุ์ที่แปลกตา สัตว์อสูรที่คอยดึงดูดความกระหายผจญภัย
หลังจากมื้อเช้าเสร็จสิ้นเวลาก็ล่วงเลยไปถึงประมาณช่วงสายชิงสุ่ยยังคงหวังว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาในเร็ววัน มิฉะนั้นเขาคงต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อรอคอยกว่าจะได้กลับบ้าน
ครึ้นนนนนน~~
ทันใดนั้นชิงสุ่ยรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าจ้องมองออกไปยังทิศทางที่ไกลแสนไกล
ณเส้นขอบฟ้า ปรากฏให้เห็นเป็นจุดสีดำพร้อมกับคลื่นเสียงแหวกอากาศ พวกมันกำลังเดินทางตรงเข้ามาหาเขา!!
ชิงสุ่ยมีความสุขอย่างมากที่จะได้กำจัดปัญหา และไม่ต้องเสียเวลากับคนกลุ่มนี้อีก
นอกเหนือจากอีเย่เจี้ยนเก้อคนอื่นๆไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนกับชิงสุ่ยเลย คฤหาสน์ดาบสวรรค์สร้างชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้มากมาย ที่สำคัญคือพวกเขาอยู่เหนือกลุ่มคนจากอาณาจักรอี่หวง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องมีพลังเหนือกว่ากลุ่มคนทั้งหมด
ในตอนนี้ตระกูลปู้หยางถือว่าเป็นตระกูลอันดับ1 ประจำเมือง อย่างไรก็ตามแต่คูณปู้หยางก็ยังไม่อาจแสดงอาการต่อต้านโดยทั้งสิ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคฤหาสน์ดาบสวรรค์ นี่ก็เป็นข้อชี้ชัดอย่างดีว่ากลุ่มคฤหาสน์ดาบสวรรค์นั้นทรงพลังมากน้อยเพียงใด
ตระกูลมากมายที่แข็งแกร่งถึงกับต้องหดหัวอยู่ในกระดองไม่แสดงความเขินอายเลยทั้งสิ้นหากต้องโค้งคำนับอ่อนน้อมให้ครับกลุ่มคฤหาสน์ดาบสวรรค์ มิฉะนั้นตระกูลของพวกเขาก็จะต้องเผชิญกับการทำลายล้าง พวกมันใกล้เข้ามาแล้ว!!
ตอนนี้ชิงสุ่ยมองเห็นพวกมันอย่างชัดเจนกลุ่มคน 100 คนเป็นทะยานลงสู่เบื้องล่างห่างไม่ไกลจากชิงสุ่ยประมาณ 300 เมตร
พวกเขายังคงเข้าใกล้ชิงสุ่ยโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ชิงสุ่ยยังคงสงบนิ่งไม่มีทีท่าและทำเหมือนมองไม่เห็นพวกมัน
ทันใดนั้นเขาก็โบกสะบัดมือกวาดท้องฟ้า
รอยประทับฝ่ามือรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าและพุ่งตรงเข้าหากลุ่มคนแออัดที่อยู่เบื้องหน้าคลื่นพลังขนาดยักษ์ทำให้สีหน้าของกลุ่มคนแออัดแปรเปลี่ยนเป็นอย่างมาก หลายคนถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึง บางส่วนถึงกับหลบหนีความตายโดยไม่รักษาตำแหน่งขบวนทัพ อย่างไรก็ตามถ้าเป็นกลางคนหมู่มากก็มีคนนึงที่ยื่นออกมาปัดป้องพลังและสลายแรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากฝ่ามือชิงสุ่ย
บทที่1784 – รอยประทับฝ่ามือ
ทางด้านของปู้หยางชิงชิงสุ่ย และหมอปีศาจยังคงพูดคุยขณะจิบชาในห้องนั่งเล่น
”ชิงสุ่ยข้าเองได้ยินข่าวเรื่องของผู้นำคฤหาสน์ดาบสวรรค์มาบ้าง ดูเหมือนว่ามันตอนนี้มีพลังเหนือกว่าระดับบัญชาสวรรค์พินาศไปแล้ว”ปู้หยางชิง จ้องมองชิงสุ่ยขณะกล่าวอย่างช้าๆ
ชิงสุ่ยพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมปู้หยางชิงถึงได้ทำหน้าบึ้งตึงตลอดเวลานั้นคงเป็นเพราะว่าเขาจะต้องกังวลเรื่องที่จะเกิดขึ้นจึงได้ตัดสินใจพูดคุยกับชิงสุ่ยโดยตรง
”จากท่านพูดตรงหมายความว่ามันเองก็บรรลุระดับดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้วสินะ”สีหน้าการแสดงออกของชิงสุ่ยยังคงเป็นไปด้วยความสงบนิ่งเขาก็ได้พบเจอกับผู้ฝึกตนดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มามากมาย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจใดๆ ที่จะได้พบเจอผู้ฝึกตนพลังดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ภายในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ แม้ว่าจะเป็นการอัญเชิญมาจากที่อื่นก็ตาม
อย่างไรซะทุกอย่างก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานเดียวกันหากแข็งแกร่งไม่มากพอก็คงไม่มีโอกาสติดต่อเจริญความสัมพันธ์กับคนกลุ่มระดับพลังสว่างศักดิ์สิทธิ์ได้
”บางทีพวกมันอาจจะเป็นยอดยุทธระดับปานบัญชาสวรรค์พินาศขั้นปลายก็เป็นได้เพราะโอกาสที่จะทะลวงผ่านไปสู่ระดับดินแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มันเป็นไปได้ต่ำมาก”ปู้หยางชิงกล่าวอย่างจริงจัง
ด้วยความสามารถที่ปู้หยางชิงครอบครองมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะมีกรอบความคิดจำกัดสำหรับระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มันคือระดับพลังที่เขาไม่อาจไขว่คว้ามาได้ ดังนั้นความรู้สึกของเขาจึงยังคงมั่นใจว่ากลุ่มของคฤหาสน์ดาบสวรรค์ยังคงเป็นเพียงแค่พูดที่อยู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นปลาย
แต่ในความเป็นจริงแล้วชิงสุ่ยความรู้สึกได้ว่าโอกาสที่คนระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะมาปรากฏตัวที่นี่มันเป็นไปได้ต่ำเช่นกัน
เมื่อชิงสุ่ยกลับไปที่ห้องพักชิงซิ่วก็นอนหลับเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่วนอีเย่เจี้ยนเก้อ เธอกำลังวาดอะไรบางอย่างดวงตาของเธอยังคงจ้องไปที่ภาพวาดในขณะที่เธอกล่าวทักทายว่า “เจ้ากลับมาแล้วหรือ!!”
ชิงสุ่ยได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วเธอกำลังวาดภาพตัวของเขาอยู่ซึ่งใกล้จะเสร็จสิ้นแล้วความสามารถในการวาดภาพของเธอนั้นถือเป็นความสามารถชั้นเลิศ มันคือภาพที่เหมือนกับไม่ใช่ภาพวาดแต่เป็นภาพถ่ายทุกอย่างเหมือนร่างกายของเขาทุกประการ แม้กระทั่งเอาโครงสร้างกระดูก
ชิงสุ่ยชื่นชมการวาดภาพของอีเย่เจี้ยนเก้อและรอคอยจนกระทั่งเธอวางพู่กันลง
อีเย่เจี้ยนเก้อเงยหน้าขึ้นมองชิงสุ่ยตัวเองรู้ตัวดีว่าตลอดเวลาที่เธอวาดภาพชิงสุ่ยจ้องมองเธอตาแทบไม่กระพริบ แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นสามีภรรยาและมีลูกด้วยกันแต่เธอก็ยังคงรู้สึกเขินอายทำให้เธอหันมองเขาและกล่าวคร่ำครวญว่า “เจ้าอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว เจ้ายังจ้องมองข้าไม่เพียงพอทีหรือ?”
”ไม่ว่าข้าจะมองเจ้านานเท่าไหร่มันก็ไม่เคยเพียงพอสำหรับข้า”ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เขาเดินตรงเข้าไปโอบเอวเธอ
”ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากขึ้นข้าก็จะกลายเป็นยายแก่ผมหงอก ตอนนั้นเจ้าจะยังอยากมองข้าอีกไหม?”อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
”ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนเจ้าก็ยังคงอยู่ในใจเขาเสมอไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไรก็ยิ่งหลงรักเจ้ามากเท่านั้น”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่น่าเชื่อถือ
……………………………………..
ยามราตรีผ่านไปยามเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็ปรากฏชิงสุ่ยตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อรับแสงแดดยามเช้าท่ามกลางการฝึกฝนทักษะเพลงหมัดหลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ผืนน้ำมหาสมุทรมาเป็นเวลาหลายๆปี มันทำให้เขารู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่ใต้น้ำนั้นรู้สึกดีกว่าการใช้ชีวิตบนบก
ชีวิตว่ายน้ำของเขาเต็มไปด้วยความสนุกโดยที่รอบตัวของเขามีเกราะคอยกันน้ำ ในขณะที่การเคลื่อนไหวสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับปลา ทั้งยังมีเผ่าพันธุ์ที่แปลกตา สัตว์อสูรที่คอยดึงดูดความกระหายผจญภัย
หลังจากมื้อเช้าเสร็จสิ้นเวลาก็ล่วงเลยไปถึงประมาณช่วงสายชิงสุ่ยยังคงหวังว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาในเร็ววัน มิฉะนั้นเขาคงต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อรอคอยกว่าจะได้กลับบ้าน
ครึ้นนนนนน~~
ทันใดนั้นชิงสุ่ยรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าจ้องมองออกไปยังทิศทางที่ไกลแสนไกล
ณเส้นขอบฟ้า ปรากฏให้เห็นเป็นจุดสีดำพร้อมกับคลื่นเสียงแหวกอากาศ พวกมันกำลังเดินทางตรงเข้ามาหาเขา!!
ชิงสุ่ยมีความสุขอย่างมากที่จะได้กำจัดปัญหา และไม่ต้องเสียเวลากับคนกลุ่มนี้อีก
นอกเหนือจากอีเย่เจี้ยนเก้อคนอื่นๆไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนกับชิงสุ่ยเลย คฤหาสน์ดาบสวรรค์สร้างชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้มากมาย ที่สำคัญคือพวกเขาอยู่เหนือกลุ่มคนจากอาณาจักรอี่หวง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องมีพลังเหนือกว่ากลุ่มคนทั้งหมด
ในตอนนี้ตระกูลปู้หยางถือว่าเป็นตระกูลอันดับ1 ประจำเมือง อย่างไรก็ตามแต่คูณปู้หยางก็ยังไม่อาจแสดงอาการต่อต้านโดยทั้งสิ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคฤหาสน์ดาบสวรรค์ นี่ก็เป็นข้อชี้ชัดอย่างดีว่ากลุ่มคฤหาสน์ดาบสวรรค์นั้นทรงพลังมากน้อยเพียงใด
ตระกูลมากมายที่แข็งแกร่งถึงกับต้องหดหัวอยู่ในกระดองไม่แสดงความเขินอายเลยทั้งสิ้นหากต้องโค้งคำนับอ่อนน้อมให้ครับกลุ่มคฤหาสน์ดาบสวรรค์ มิฉะนั้นตระกูลของพวกเขาก็จะต้องเผชิญกับการทำลายล้าง พวกมันใกล้เข้ามาแล้ว!!
ตอนนี้ชิงสุ่ยมองเห็นพวกมันอย่างชัดเจนกลุ่มคน 100 คนเป็นทะยานลงสู่เบื้องล่างห่างไม่ไกลจากชิงสุ่ยประมาณ 300 เมตร
พวกเขายังคงเข้าใกล้ชิงสุ่ยโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ชิงสุ่ยยังคงสงบนิ่งไม่มีทีท่าและทำเหมือนมองไม่เห็นพวกมัน
ทันใดนั้นเขาก็โบกสะบัดมือกวาดท้องฟ้า
รอยประทับฝ่ามือรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าและพุ่งตรงเข้าหากลุ่มคนแออัดที่อยู่เบื้องหน้าคลื่นพลังขนาดยักษ์ทำให้สีหน้าของกลุ่มคนแออัดแปรเปลี่ยนเป็นอย่างมาก หลายคนถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึง บางส่วนถึงกับหลบหนีความตายโดยไม่รักษาตำแหน่งขบวนทัพ อย่างไรก็ตามถ้าเป็นกลางคนหมู่มากก็มีคนนึงที่ยื่นออกมาปัดป้องพลังและสลายแรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากฝ่ามือชิงสุ่ย