Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1835 - ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1835 - ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร
AST
บทที่1835 – ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร
สุดท้ายชิงสุ่ยก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังผาราชินีปีศาจดูดเลือดเขาไม่สนว่าเขาจะต้องเสียใจได้แล้ว และเชื่อในโชคชะตา เชื่อว่าการที่ได้พ่านพบกันคือรูปแบบหนึ่งของชะตา แม้จะนำมาซึ่งการเป็นศัตรูหรือไม่ก็ตามแต่
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์!!
ชิงสุ่ยใช้เวลาเดินทางเพียงแค่10 วันก็เดินทางมาถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว และเผอิญเขาเองก็ได้พบเจอกับรู่เหมิงที่ปากทางเข้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์โดยบังเอิญ
รู่เหมิงคือหัวหน้าคนรับใช้แล้วเป็นคนกลุ่มแรกที่เขาได้พบเจอ เธอเองก็แสดงท่าทางตกใจก่อนจะยิ้มให้กับชิงสุ่ย “เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ?” ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงความเย็นชาและไม่มีวันเข้าถึงรอยยิ้มที่แสนเย็นชาซึ่งกำลังแสดงการต้อนรับกับเขาอยู่
”ข้ามาที่นี่เพื่อจัดการบางสิ่งบางอย่างไม่ทราบว่านายหญิงของเจ้าอยู่แถวนี้หรือไม่?”
”นางอยู่ที่นี่และรู้ว่าเจ้าจะมา เพียงแต่นางไม่คิดว่าเจ้าจะมาเร็วขนาดนี้”รู่เหมิงยิ้มขณะเริ่มนำทาง
ชิงสุ่ยค่อยๆเดินตามหลังเธอจนกระทั่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากมา มูหยุนชิงเก้อได้อธิบายเรื่องราวบางส่วนเอาไว้ ซึ่งคนระดับเฉิงเจินคงไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ผนวกกับเขาเองยังเคยขอให้เฉิงเจินช่วยเป็นธุระคอยดูแลจักรพรรดินีผีดูดเลือดดังนั้นการกลับมาของชิงสุ่ยจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจใดๆเลย
หลังจากที่เขาเดินมาสักพักใหญ่ก็ก้าวมาถึงจุดสูงสุดมันยังคงเหมือนเดิม หญิงคนใช้ค่อยๆจากไป ก่อนที่หญิงอีกคนนึงจะมาปรากฏเบื้องหน้า
เฉิงเจิน!!
เธอยังคงไว้ซึ่งรูปลักษณ์เหมือนนางฟ้าไม่ต่างจากอีเย่เจี้ยนเก้อมันเป็นกลิ่นอายแห่งความอมตะ กลิ่นอายของคนชนชั้นที่ผู้คนไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกเหล่านี้ได้
ดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาวผนวกกับรอยยิ้มที่อบอุ่น นี่คือความแตกต่าง ระหว่างเธอกับอีเย่เจี้ยนเก้อ แม้เธอจะดูเหมือนคนที่คนทั่วไปเขาถึงไม่ได้ แต่จริงๆแล้วเธอเป็นคนที่เป็นกันเองอย่างมาก
”ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!!”
เฉิงเจินยิ้มขณะกล่าวคำพูดของทั้งสองเป็นคำพูดที่ดูธรรมชาติ แม้ว่าทั้งสองคนจะเคยพบเจอกันเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง
”เทพธิดาเจินก็ยังงดงามเหมือนดั่งวันก่อน!!”ชิงสุ่ยยิ้มขณะพยักหน้าทักทายเธอ
เฉิงเจินยิ้มอย่างเขินอาย ”ครั้งที่แล้วเจ้ารีบจากเร็วเกินไปครั้งนี้ข้าเลยจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้รอเจ้าเลย”เฉิงเจินกล่าวคำเรียนเชิญ
ชิงสุ่ยค่อนข้างแปลกใจ”นี้เจ้ารู้ว่ากำลังจะมาอย่างนั้นรึ?”
”ข้าเพียงแค่รู้สึกได้”
ชิงสุ่ยถูจมูกอย่างเชื่องช้าขณะเดียวกันเขาก็แกล้งทำเป็นหัวเราะก่อนจะเดินตามเธอเข้าไปในห้องโถงใหญ่
งานเลี้ยงครั้งนี้มีผู้ร่วมงานเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่ชิงสุ่ยก็ไม่รู้สึกแปลกใจ
”ยินดีต้อนรับกลับสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์”เฉิงเจินยกจอกสุราขณะกล่าวคำอวยพร
ชิงสุ่ยยกจอกสุราขึ้นเช่นกัน”ขอบคุณมาก!!”
”ตัวข้านั้นช่วยอะไรก็ไม่ได้มากนักอย่างน้อยตอนนี้นางก็ยังสบายดี ส่วนเจ้ามาเร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้เยอะ แต่ก็ถือว่าไม่เร็วเกินไป”เฉิงเจินเผยเห็นรอยยิ้ม ชิงสุ่ยรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังพูดถึงจักรพรรดินีผีดูดเลือดเขาจึงตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ก็เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว อย่างน้อยข้าก็ควรไปเยี่ยมเยียนนางบ้าง ข้าเองก็รู้สึกผิด”
”ว่าแต่หญิงสาวโฉมงามเผ่านาคาที่มากับเจ้า ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าทั้งสองคนจะแน่นแฟ้นเป็นพิเศษ!!” คำพูดของเฉินเจินทำให้ชิงสุ่ยงุนงง
”พวกเราแค่เป็นเพื่อนสนิทกันว่าแต่เจ้าถามทำไมหรือ?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
”จักรพรรดินีผีดูดเลือดเองก็มีจิตใจเหมือนมนุษย์ นางไม่ได้แตกต่างอะไรจากพวกเราเลย หากเจ้าไม่เต็มใจคิดกับนางเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”เฉินเจินวางจอกสุราลง
ชิงสุ่ยแทบไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้เลยอาจเป็นเพราะเงื่อนไขในจิตใจ จึงทำให้เขารู้สึกเกลียดเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด จนไม่เห็นความเป็นมนุษย์จากตัวของเธอ
เขาทำได้แต่ถอนหายใจ”ข้าเข้าใจและยอมรับมันแล้ว ข้าจึงเดินทางมาที่นี่” ”เป็นเช่นนั้นก็ดีเลยข้าก็หวังว่าเจ้าจะยอมรับมันได้จากใจจริง”เฉินเจินพยักหน้า
”แต่ข้าก็ขอบคุณเจ้าที่คำพูดของเจ้าช่วยย้ำเตือนและเปลี่ยนแปลงทัศนคติของข้า”
”เจ้ามาได้เหมาะสมพอดีเลยข้าเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าบางอย่าง”เฉินเจินยิ้มให้กับชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยทำได้เพียงแค่พยักหน้าก่อนจะถามด้วยความสงสัย” สำหรับเจ้าแล้ว ตราบเท่าที่ข้า สามารถช่วยได้ข้าก็พร้อมที่จะช่วยเต็มที่”
”ตั้งแต่ที่พวกเจ้าจากไปจักรพรรดินีผีดูดเลือดก็เลิกคุกคามพวกเรานางแทบจะเลิกกินเลือดมนุษย์ แต่พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร สถานที่ห่างไกลออกไปจากน่านน้ำ 50,000 ไมค์ทะเลได้เริ่มคุกคามภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของข้าแห่งนี้ ซึ่งตอนนี้ข้าก็คิดว่าข้าคงจัดการด้วยตัวเองไม่ได้”เฉินเจินกล่าวอย่างช้าๆ
”พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร?”ชิงสุ่ยสอบถามด้วยความงุนงง เขาแทบไม่มีความคุ้นเคยกับละแวกพื้นที่ท้องถิ่นแห่งนี้เลยจึงเป็นธรรมดาที่เขาย่อมไม่รู้เรื่องราวของพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร
”พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรคือขุมพลังจากเผ่าพันธ์ยักษ์น้ำ(รากษส)ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีการแข่งขันทางด้านขุมพลังสูงพวกเขาเกิดมาพร้อมร่างกายศักดิ์สิทธิ์ กระดูกที่แข็งแกร่ง และมีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแรงเช่นกัน ยิ่งในหมู่ของยักษ์น้ำ หากผู้ใดสืบทอดพลังมาตั้งแต่ยุคโบราณ พวกมันก็จะแข็งแกร่งซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 5 ตนที่มีพลังอยู่ในระดับเดียวกับข้า”
เฉินเจินมองดูชิงสุ่ยเธอรู้ทันทีว่าเขากำลังจะเอ่ยถาม เธอจึงอธิบายอย่างช้าๆในสิ่งที่เธอรู้
”จากที่เจ้าพูดดูเหมือนระดับพลังของกลุ่มเจ้าและกลุ่มของพวกมันแตกต่างกันอย่างมากแล้วทำไมพวกมันถึงยังรอให้เจ้าสรรค์สร้างภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ขึ้นมาได้อีก?”ชิงสุ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
”ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เคยได้รับการคุ้มครองจากผู้อาวุโสแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสของเราได้จากไปแล้ว พวกพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรที่ได้ยินข่าวจึงเริ่มระดมพลเตรียมตัวเข้าโจมตีพวกเรา”
ชิงสุ่ยเองก็พอคาดเดาได้ว่ามหาอำนาจที่หนุนหลังภูเขาศักดิ์สิทธิ์คงลาจากโลกนี้ไปจึงทำให้ศัตรูของเขาเริ่มกลับมาต่อกรกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
”แล้วเจ้ามั่นใจในตัวของข้าอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยสงสัยอย่างมากเพราะความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหนือเฉินเจินที่สำคัญของศัตรูมีคนในระดับเฉินเจินมาถึง 5 คน ชิงสุ่ยจึงคิดว่าหญิงสาวคนนี้คงศรัทธาในตัวเขามากเกินไป
”การร่วมมือกันระหว่างข้ากับม้าอสูรจันทราสวรรค์น่าจะเพียงพอที่จะเป็นภัยคุกคามแก่พวกมันหากเรามีเจ้าเพิ่มมาอีกคน โอกาสในการชนะก็จะยิ่งมีสูงมากขึ้น แน่นอนว่าการต่อสู้ย่อมมีความเสี่ยง ดังนั้นข้าจะไม่บังคับเจ้าหากเจ้าไม่ต้องการ”เฉินเจินกล่าวด้วยความจริงใจ
”แม้เราจะร่วมมือกันแต่โอกาสในการเอาชนะก็แทบเป็นไปได้ยากข้ารู้สึกว่าเรากำลังจะเผชิญหน้าสงครามที่เราไม่สามารถเอาชนะได้”
”ข้ารู้ว่าเจ้าย่อมมีวิธีหนทางของเจ้าถ้าหากพวกเราหยุดยั้งภัยสงครามนี้ไม่ได้ ข้าจะเป็นคนเปิดทางให้เจ้าหลบหนีเอง”เฉินเจินยิ้มขณะกล่าวตอบชิงสุ่ย
บทที่1835 – ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร
สุดท้ายชิงสุ่ยก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังผาราชินีปีศาจดูดเลือดเขาไม่สนว่าเขาจะต้องเสียใจได้แล้ว และเชื่อในโชคชะตา เชื่อว่าการที่ได้พ่านพบกันคือรูปแบบหนึ่งของชะตา แม้จะนำมาซึ่งการเป็นศัตรูหรือไม่ก็ตามแต่
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์!!
ชิงสุ่ยใช้เวลาเดินทางเพียงแค่10 วันก็เดินทางมาถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว และเผอิญเขาเองก็ได้พบเจอกับรู่เหมิงที่ปากทางเข้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์โดยบังเอิญ
รู่เหมิงคือหัวหน้าคนรับใช้แล้วเป็นคนกลุ่มแรกที่เขาได้พบเจอ เธอเองก็แสดงท่าทางตกใจก่อนจะยิ้มให้กับชิงสุ่ย “เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ?” ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงความเย็นชาและไม่มีวันเข้าถึงรอยยิ้มที่แสนเย็นชาซึ่งกำลังแสดงการต้อนรับกับเขาอยู่
”ข้ามาที่นี่เพื่อจัดการบางสิ่งบางอย่างไม่ทราบว่านายหญิงของเจ้าอยู่แถวนี้หรือไม่?”
”นางอยู่ที่นี่และรู้ว่าเจ้าจะมา เพียงแต่นางไม่คิดว่าเจ้าจะมาเร็วขนาดนี้”รู่เหมิงยิ้มขณะเริ่มนำทาง
ชิงสุ่ยค่อยๆเดินตามหลังเธอจนกระทั่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากมา มูหยุนชิงเก้อได้อธิบายเรื่องราวบางส่วนเอาไว้ ซึ่งคนระดับเฉิงเจินคงไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
ผนวกกับเขาเองยังเคยขอให้เฉิงเจินช่วยเป็นธุระคอยดูแลจักรพรรดินีผีดูดเลือดดังนั้นการกลับมาของชิงสุ่ยจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจใดๆเลย
หลังจากที่เขาเดินมาสักพักใหญ่ก็ก้าวมาถึงจุดสูงสุดมันยังคงเหมือนเดิม หญิงคนใช้ค่อยๆจากไป ก่อนที่หญิงอีกคนนึงจะมาปรากฏเบื้องหน้า
เฉิงเจิน!!
เธอยังคงไว้ซึ่งรูปลักษณ์เหมือนนางฟ้าไม่ต่างจากอีเย่เจี้ยนเก้อมันเป็นกลิ่นอายแห่งความอมตะ กลิ่นอายของคนชนชั้นที่ผู้คนไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกเหล่านี้ได้
ดวงตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาวผนวกกับรอยยิ้มที่อบอุ่น นี่คือความแตกต่าง ระหว่างเธอกับอีเย่เจี้ยนเก้อ แม้เธอจะดูเหมือนคนที่คนทั่วไปเขาถึงไม่ได้ แต่จริงๆแล้วเธอเป็นคนที่เป็นกันเองอย่างมาก
”ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!!”
เฉิงเจินยิ้มขณะกล่าวคำพูดของทั้งสองเป็นคำพูดที่ดูธรรมชาติ แม้ว่าทั้งสองคนจะเคยพบเจอกันเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง
”เทพธิดาเจินก็ยังงดงามเหมือนดั่งวันก่อน!!”ชิงสุ่ยยิ้มขณะพยักหน้าทักทายเธอ
เฉิงเจินยิ้มอย่างเขินอาย ”ครั้งที่แล้วเจ้ารีบจากเร็วเกินไปครั้งนี้ข้าเลยจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับไว้รอเจ้าเลย”เฉิงเจินกล่าวคำเรียนเชิญ
ชิงสุ่ยค่อนข้างแปลกใจ”นี้เจ้ารู้ว่ากำลังจะมาอย่างนั้นรึ?”
”ข้าเพียงแค่รู้สึกได้”
ชิงสุ่ยถูจมูกอย่างเชื่องช้าขณะเดียวกันเขาก็แกล้งทำเป็นหัวเราะก่อนจะเดินตามเธอเข้าไปในห้องโถงใหญ่
งานเลี้ยงครั้งนี้มีผู้ร่วมงานเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่ชิงสุ่ยก็ไม่รู้สึกแปลกใจ
”ยินดีต้อนรับกลับสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์”เฉิงเจินยกจอกสุราขณะกล่าวคำอวยพร
ชิงสุ่ยยกจอกสุราขึ้นเช่นกัน”ขอบคุณมาก!!”
”ตัวข้านั้นช่วยอะไรก็ไม่ได้มากนักอย่างน้อยตอนนี้นางก็ยังสบายดี ส่วนเจ้ามาเร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้เยอะ แต่ก็ถือว่าไม่เร็วเกินไป”เฉิงเจินเผยเห็นรอยยิ้ม ชิงสุ่ยรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังพูดถึงจักรพรรดินีผีดูดเลือดเขาจึงตอบอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ก็เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว อย่างน้อยข้าก็ควรไปเยี่ยมเยียนนางบ้าง ข้าเองก็รู้สึกผิด”
”ว่าแต่หญิงสาวโฉมงามเผ่านาคาที่มากับเจ้า ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าทั้งสองคนจะแน่นแฟ้นเป็นพิเศษ!!” คำพูดของเฉินเจินทำให้ชิงสุ่ยงุนงง
”พวกเราแค่เป็นเพื่อนสนิทกันว่าแต่เจ้าถามทำไมหรือ?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
”จักรพรรดินีผีดูดเลือดเองก็มีจิตใจเหมือนมนุษย์ นางไม่ได้แตกต่างอะไรจากพวกเราเลย หากเจ้าไม่เต็มใจคิดกับนางเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”เฉินเจินวางจอกสุราลง
ชิงสุ่ยแทบไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้เลยอาจเป็นเพราะเงื่อนไขในจิตใจ จึงทำให้เขารู้สึกเกลียดเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด จนไม่เห็นความเป็นมนุษย์จากตัวของเธอ
เขาทำได้แต่ถอนหายใจ”ข้าเข้าใจและยอมรับมันแล้ว ข้าจึงเดินทางมาที่นี่” ”เป็นเช่นนั้นก็ดีเลยข้าก็หวังว่าเจ้าจะยอมรับมันได้จากใจจริง”เฉินเจินพยักหน้า
”แต่ข้าก็ขอบคุณเจ้าที่คำพูดของเจ้าช่วยย้ำเตือนและเปลี่ยนแปลงทัศนคติของข้า”
”เจ้ามาได้เหมาะสมพอดีเลยข้าเองก็ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าบางอย่าง”เฉินเจินยิ้มให้กับชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยทำได้เพียงแค่พยักหน้าก่อนจะถามด้วยความสงสัย” สำหรับเจ้าแล้ว ตราบเท่าที่ข้า สามารถช่วยได้ข้าก็พร้อมที่จะช่วยเต็มที่”
”ตั้งแต่ที่พวกเจ้าจากไปจักรพรรดินีผีดูดเลือดก็เลิกคุกคามพวกเรานางแทบจะเลิกกินเลือดมนุษย์ แต่พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร สถานที่ห่างไกลออกไปจากน่านน้ำ 50,000 ไมค์ทะเลได้เริ่มคุกคามภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของข้าแห่งนี้ ซึ่งตอนนี้ข้าก็คิดว่าข้าคงจัดการด้วยตัวเองไม่ได้”เฉินเจินกล่าวอย่างช้าๆ
”พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร?”ชิงสุ่ยสอบถามด้วยความงุนงง เขาแทบไม่มีความคุ้นเคยกับละแวกพื้นที่ท้องถิ่นแห่งนี้เลยจึงเป็นธรรมดาที่เขาย่อมไม่รู้เรื่องราวของพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร
”พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรคือขุมพลังจากเผ่าพันธ์ยักษ์น้ำ(รากษส)ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีการแข่งขันทางด้านขุมพลังสูงพวกเขาเกิดมาพร้อมร่างกายศักดิ์สิทธิ์ กระดูกที่แข็งแกร่ง และมีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแรงเช่นกัน ยิ่งในหมู่ของยักษ์น้ำ หากผู้ใดสืบทอดพลังมาตั้งแต่ยุคโบราณ พวกมันก็จะแข็งแกร่งซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 5 ตนที่มีพลังอยู่ในระดับเดียวกับข้า”
เฉินเจินมองดูชิงสุ่ยเธอรู้ทันทีว่าเขากำลังจะเอ่ยถาม เธอจึงอธิบายอย่างช้าๆในสิ่งที่เธอรู้
”จากที่เจ้าพูดดูเหมือนระดับพลังของกลุ่มเจ้าและกลุ่มของพวกมันแตกต่างกันอย่างมากแล้วทำไมพวกมันถึงยังรอให้เจ้าสรรค์สร้างภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ขึ้นมาได้อีก?”ชิงสุ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
”ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เคยได้รับการคุ้มครองจากผู้อาวุโสแต่ตอนนี้ผู้อาวุโสของเราได้จากไปแล้ว พวกพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรที่ได้ยินข่าวจึงเริ่มระดมพลเตรียมตัวเข้าโจมตีพวกเรา”
ชิงสุ่ยเองก็พอคาดเดาได้ว่ามหาอำนาจที่หนุนหลังภูเขาศักดิ์สิทธิ์คงลาจากโลกนี้ไปจึงทำให้ศัตรูของเขาเริ่มกลับมาต่อกรกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
”แล้วเจ้ามั่นใจในตัวของข้าอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยสงสัยอย่างมากเพราะความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหนือเฉินเจินที่สำคัญของศัตรูมีคนในระดับเฉินเจินมาถึง 5 คน ชิงสุ่ยจึงคิดว่าหญิงสาวคนนี้คงศรัทธาในตัวเขามากเกินไป
”การร่วมมือกันระหว่างข้ากับม้าอสูรจันทราสวรรค์น่าจะเพียงพอที่จะเป็นภัยคุกคามแก่พวกมันหากเรามีเจ้าเพิ่มมาอีกคน โอกาสในการชนะก็จะยิ่งมีสูงมากขึ้น แน่นอนว่าการต่อสู้ย่อมมีความเสี่ยง ดังนั้นข้าจะไม่บังคับเจ้าหากเจ้าไม่ต้องการ”เฉินเจินกล่าวด้วยความจริงใจ
”แม้เราจะร่วมมือกันแต่โอกาสในการเอาชนะก็แทบเป็นไปได้ยากข้ารู้สึกว่าเรากำลังจะเผชิญหน้าสงครามที่เราไม่สามารถเอาชนะได้”
”ข้ารู้ว่าเจ้าย่อมมีวิธีหนทางของเจ้าถ้าหากพวกเราหยุดยั้งภัยสงครามนี้ไม่ได้ ข้าจะเป็นคนเปิดทางให้เจ้าหลบหนีเอง”เฉินเจินยิ้มขณะกล่าวตอบชิงสุ่ย