Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1837 - ค่ายกล 9 สวรรค์นักษัตร
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1837 - ค่ายกล 9 สวรรค์นักษัตร
AST
บทที่1837 – ค่ายกล 9 สวรรค์นักษัตร
เมื่อเห็นแววตาของชิงสุ่ยเธอถึงกับพูดไม่ออก มันเต็มไปด้วยแววตาพิศวาสที่ผู้ชายมักจะมองผู้หญิง
”ถ้าหากเจ้าแต่งงานกับมันจริงๆแล้วล่ะก็ชีวิตเจ้าต้องทุกข์ทรมานแน่”ชิงสุ่ยกล่าวแสดงความคิดเห็น
”ใครกันที่บอกเจ้าว่าข้าจะแต่งงานกับมัน”เฉินเจินถึงกับพูดไม่ออก
”พวกโง่ไม่ดูตัวเองมองไม่ออกแม้กระทั่งความแตกต่างของร่างกาย”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง แน่นอนว่าคำพูดของเขาคือเรื่องปกติ ที่คนที่มีลักษณะสภาพร่างกายประหลาดมักจะไม่ประสานสัมพันธ์กัน
ซึ่งทันทีที่เฉินเจินเข้าใจความหมายของชิงสุ่ยใบหน้าของเธอก็แดงกล้ำและคิดกับตัวเองว่า “ผู้ชายดีๆบนโลกใบนี้มีจริงหรือไม่?” เฉินเจินได้แต่บ่นในใจก่อนที่เธอจะหันไปมองกลุ่มยักษาที่กำลังลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า แม้สถานที่แห่งนี้จะอยู่ใต้พื้นผิวมหาสมุทร ไร้ซึ่งแสงดวงอาทิตย์ แต่กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาจากฝูงยักษ์ก็แข็งแกร่งราวกับดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่
ตัวของเฉินเจินมิได้หวั่นกลัวเหลือเกินกลัวพวกมันเลยในขณะที่ชิงสุ่ยหันไปมองผู้คนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าของแต่ละคนบ่งบอกถึงขวัญกำลังใจที่อ่อนแออย่างชัดเจน แม้จะมียอดยุทธอยู่ในกลุ่มของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่บางคนก็เทียบกับกลุ่มยักษ์ไม่ได้เลย
”เฮ้เจ้ายักษ์หิน!!”ชิงสุ่ยตะโกนเรียกผู้นำยักษ์ร่างกายกำยำ
”หึม!!?”ผู้นำฝ่ายยักษ์แสดงสีหน้าสงสัยขณะที่เขาจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความงุนงงแต่ก็ไม่ได้สนใจชิงสุ่ย
”ระดับเจ้าคงมีหญิงข้างกายอยู่มากมายเหตุใดถึงจะมาตามหาหญิงสาวที่นี่อีก”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
”ข้าเพียงแค่ต้องการตามหาโฉมงามแล้วมันจะทำไม? เจ้าคิดที่จะมาสู้กับข้าอย่างนั้นรึ?”ชายร่างใหญ่โตตะโกนกลับมา ลักษณะรูปร่างของเขาพอจะอนุมานคำว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาได้
ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะ”เผ่าพันธุ์ยักษ์น้ำรูปร่างหน้าตาก็ไม่เหมือนมนุษย์ ทำไมถึงไม่เลือกเผ่าพันธุ์ตัวเองแต่กลับมาเลือกมนุษย์ ดูเหมือนเจ้ากำลังดูถูกพันธุ์ของตัวเองอยู่”
ยักษ์น้ำกับยักษาเป็นคำเรียกที่ใช้เรียกแทนกันได้เพียงแต่คำว่ายักษามันฟังดูน่าเกรงขาม ส่วนคำว่ายักษ์น้ำก็เป็นชื่อเรียกดั้งเดิมแต่ในปัจจุบันภายในกลุ่มของยักษ์กับใช้คำว่ายักษ์น้ำเป็นคำดูถูก และผู้ใดที่ใช้เรียกตัวเองว่าเป็นยักษ์น้ำจึงถูกขับไล่จากกลุ่มยักษา
และด้วยเหตุนี้เมื่อชายผู้นั้นถูกเรียกว่ายักษ์น้ำมันจึงเปรียบเสมือนคำยั่วยุดูถูก จนเขาไม่อาบปกปิดความโกรธได้อีกต่อไป “เจ้ากล้าดูถูกยักษาผู้สูงศักดิ์อย่างข้า สงสัยเจ้ากำลังรนหาที่ตาย!!”
”เรื่องประลองเดี๋ยวค่อยมาว่ากันทีหลังถ้าขอถามเจ้าหน่อย ตอนนี้หญิงสาวข้างกายของเจ้ามีรูปโฉมที่งดงาม หรือว่าหญิงสาวข้างกายข้ามีรูปลักษณ์ที่งดงามกว่า?”ชิงสุ่ยกล่าวถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
”เจ้ากำลังหมายความว่าอย่างไร?”ชายรูปร่างกำยำป่าเถื่อนจ้องมองชิงสุ่ยด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
”ข้าเพียงแค่ต้องการเปรียบเทียบวัดสายตาของเจ้ากับข้าเมื่อมองโฉมงามแล้วจะมีความหมายเหมือนกันหรือไม่ก็เท่านั้นเอง”
”เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน?ถ้าแม่นางที่อยู่ข้างเจ้าไม่งดงาม แล้วข้าจะมาที่นี่เพื่ออะไร?”อสูรป่าเถื่อนกำลังจ้องมองมาที่ชิงสุ่ยด้วยสายตาที่เหมือนกำลังมองดูคนงี่เง่า
”นั่นไงล่ะเจ้ากำลังดูถูกพวกยักษ์น้ำของเจ้าเอง”ชิงสุ่ยกล่าวถากถาง คำพูดเยาะเย้ยของชิงสุ่ยมันทำให้เฉินเจินอดหัวเราะไม่ได้
”โถเจ้าพวกยักษ์น้ำเหตุใดพระเจ้าจึงไม่มองเห็นความงามของเผ่าพันธ์ตัวเอง?”ชิงสุ่ยยังคงพูดจาถากถางอย่างต่อเนื่อง
”ไอ้เด็กบัดซบเจ้ากล้าเรียกข้าว่ายักษ์น้ำเป็นครั้งที่ 2 เจ้าจะต้องตาย”สัตว์ร้ายร่างกายกำยำตะโกนด้วยความโกรธแค้น การเรียกยักษาผู้สูงส่งด้วยคำดูถูกอย่างยักษ์น้ำ มันเลวร้ายยิ่งกว่าการด่าว่าเขาเป็นโสเภณีเสียอีก
”ว่าแต่พวกเราควรจะออกไปหาพวกมันหรือรอให้พวกมันเข้ามาหาพวกเราแทนดีละ”ชิงสุ่ยกล่าวถามเฉินเจินโดยไม่สนใจคำพูดของหัวหน้ากลุ่มยักษ์
”ถ้าหากเราออกไปหาพวกมันมีแต่เสียเปรียบและคงถูกบดขยี้ในไม่ช้า”เฉินเจินมองดูเหล่าผู้คนที่อยู่ด้านหลัง
ความแข็งแกร่งของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ยังห่างไกลจากกลุ่มพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรอยู่หลายขุมถ้าหากออกไปหาพวกมันมีหวังคงต้องสูญสิ้นภายในชั่วพริบตา
”ตั้งค่ายกลแบบที่พวกเจ้าฝึกฝนเป็นประจำสิ”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสุขุม
”แม้ว่าจะเป็นค่ายกลที่พวกเราเชี่ยวชาญก็ไม่มากพอที่จะลดความต่างของระดับพลังได้”เฉินเจินถอนหายใจ แต่เธอก็ยังคงโบกสะบัดมือออกคำสั่งให้ผู้คนตั้งค่ายกลเพื่อเตรียมรับมืออย่างเร่งรีบ
ชิงสุ่ยมองดูผู้คนที่กำลังตั้งค่ายกลและรู้ได้ทันทีว่านี่คือค่ายกล9 สวรรค์นักษัตร มันเป็นค่ายกลที่สร้างขึ้นเป็นวงแหวน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ เพียงแต่มันสามารถพัฒนาและผันแปรรูปแบบไปตามตำแหน่งต่างๆได้
ค่ายกลประเภทนี้จะมีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อใช้ในสงครามใหญ่เนื่องจากว่ามันจะสามารถเพิ่มพูนจุดแข็งได้อย่างทวีคูณ แน่นอนว่ายิ่งค่ายกลมีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสในการควบคุมก็ยิ่งยากขึ้น แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่ทรงพลัง ขอเพียงมีจิตใจที่มั่นคงก็สามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้
ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าการวางค่ายกล9 สวรรค์นักษัตรคือสิ่งที่เหมาะสมในการใช้ต้านทานสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น เพียงแต่ถ้าหากค่ายกลเกิดเหตุผิดพลาดแม้แต่เล็กน้อย หากไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลามันจะสร้างผลกระทบทางลบ และยิ่งทำให้ค่ายกลที่ควรเป็นค่ายกลที่ดี ผันแปรจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
ทางด้านของชิงสุ่ยก็ไม่น้อยหน้าเขาเริ่มนำค่ายกลธงสวรรค์ออกมา โดยมีผู้ควบคุมค่ายกลครั้งนี้เป็นชายชรา 2 คน ซึ่งผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้คือผู้อาวุโสระดับสูงของกลุ่มภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ค่ายกลธงสวรรค์ในมือของชิงสุ่ยค่อยๆผ่านแปรสภาพอากาศเป็นต้นไม้ความสูง3 เมตร และกระจายไปทั่ว 4 มุมของขนาดค่ายกล
โดยที่ทั้ง4 มุมยึดตามหลักของทิศทั้ง 4 จากนั้นพวกมันก็ปักลงบนพื้นดินฝังรากทะลุก้อนหินก่อนจะขยายตัวขึ้นไปอีก 10 เมตร
นี่คือค่ายกลสุดยอดที่ชิงสุ่ยเป็นคนคิดค้นด้วยตัวเองแม้ว่าธงสวรรค์ของเขาจะไม่สามารถควบคุมได้ทั้งท้องฟ้า แต่อย่างน้อยมันก็กินพื้นที่ขนาดมหึมา และเป็นธงสวรรค์ที่ใช้ปกป้องระดับสูง
บทที่1837 – ค่ายกล 9 สวรรค์นักษัตร
เมื่อเห็นแววตาของชิงสุ่ยเธอถึงกับพูดไม่ออก มันเต็มไปด้วยแววตาพิศวาสที่ผู้ชายมักจะมองผู้หญิง
”ถ้าหากเจ้าแต่งงานกับมันจริงๆแล้วล่ะก็ชีวิตเจ้าต้องทุกข์ทรมานแน่”ชิงสุ่ยกล่าวแสดงความคิดเห็น
”ใครกันที่บอกเจ้าว่าข้าจะแต่งงานกับมัน”เฉินเจินถึงกับพูดไม่ออก
”พวกโง่ไม่ดูตัวเองมองไม่ออกแม้กระทั่งความแตกต่างของร่างกาย”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง แน่นอนว่าคำพูดของเขาคือเรื่องปกติ ที่คนที่มีลักษณะสภาพร่างกายประหลาดมักจะไม่ประสานสัมพันธ์กัน
ซึ่งทันทีที่เฉินเจินเข้าใจความหมายของชิงสุ่ยใบหน้าของเธอก็แดงกล้ำและคิดกับตัวเองว่า “ผู้ชายดีๆบนโลกใบนี้มีจริงหรือไม่?” เฉินเจินได้แต่บ่นในใจก่อนที่เธอจะหันไปมองกลุ่มยักษาที่กำลังลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า แม้สถานที่แห่งนี้จะอยู่ใต้พื้นผิวมหาสมุทร ไร้ซึ่งแสงดวงอาทิตย์ แต่กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาจากฝูงยักษ์ก็แข็งแกร่งราวกับดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่
ตัวของเฉินเจินมิได้หวั่นกลัวเหลือเกินกลัวพวกมันเลยในขณะที่ชิงสุ่ยหันไปมองผู้คนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าของแต่ละคนบ่งบอกถึงขวัญกำลังใจที่อ่อนแออย่างชัดเจน แม้จะมียอดยุทธอยู่ในกลุ่มของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่บางคนก็เทียบกับกลุ่มยักษ์ไม่ได้เลย
”เฮ้เจ้ายักษ์หิน!!”ชิงสุ่ยตะโกนเรียกผู้นำยักษ์ร่างกายกำยำ
”หึม!!?”ผู้นำฝ่ายยักษ์แสดงสีหน้าสงสัยขณะที่เขาจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความงุนงงแต่ก็ไม่ได้สนใจชิงสุ่ย
”ระดับเจ้าคงมีหญิงข้างกายอยู่มากมายเหตุใดถึงจะมาตามหาหญิงสาวที่นี่อีก”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
”ข้าเพียงแค่ต้องการตามหาโฉมงามแล้วมันจะทำไม? เจ้าคิดที่จะมาสู้กับข้าอย่างนั้นรึ?”ชายร่างใหญ่โตตะโกนกลับมา ลักษณะรูปร่างของเขาพอจะอนุมานคำว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาได้
ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะ”เผ่าพันธุ์ยักษ์น้ำรูปร่างหน้าตาก็ไม่เหมือนมนุษย์ ทำไมถึงไม่เลือกเผ่าพันธุ์ตัวเองแต่กลับมาเลือกมนุษย์ ดูเหมือนเจ้ากำลังดูถูกพันธุ์ของตัวเองอยู่”
ยักษ์น้ำกับยักษาเป็นคำเรียกที่ใช้เรียกแทนกันได้เพียงแต่คำว่ายักษามันฟังดูน่าเกรงขาม ส่วนคำว่ายักษ์น้ำก็เป็นชื่อเรียกดั้งเดิมแต่ในปัจจุบันภายในกลุ่มของยักษ์กับใช้คำว่ายักษ์น้ำเป็นคำดูถูก และผู้ใดที่ใช้เรียกตัวเองว่าเป็นยักษ์น้ำจึงถูกขับไล่จากกลุ่มยักษา
และด้วยเหตุนี้เมื่อชายผู้นั้นถูกเรียกว่ายักษ์น้ำมันจึงเปรียบเสมือนคำยั่วยุดูถูก จนเขาไม่อาบปกปิดความโกรธได้อีกต่อไป “เจ้ากล้าดูถูกยักษาผู้สูงศักดิ์อย่างข้า สงสัยเจ้ากำลังรนหาที่ตาย!!”
”เรื่องประลองเดี๋ยวค่อยมาว่ากันทีหลังถ้าขอถามเจ้าหน่อย ตอนนี้หญิงสาวข้างกายของเจ้ามีรูปโฉมที่งดงาม หรือว่าหญิงสาวข้างกายข้ามีรูปลักษณ์ที่งดงามกว่า?”ชิงสุ่ยกล่าวถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
”เจ้ากำลังหมายความว่าอย่างไร?”ชายรูปร่างกำยำป่าเถื่อนจ้องมองชิงสุ่ยด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
”ข้าเพียงแค่ต้องการเปรียบเทียบวัดสายตาของเจ้ากับข้าเมื่อมองโฉมงามแล้วจะมีความหมายเหมือนกันหรือไม่ก็เท่านั้นเอง”
”เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน?ถ้าแม่นางที่อยู่ข้างเจ้าไม่งดงาม แล้วข้าจะมาที่นี่เพื่ออะไร?”อสูรป่าเถื่อนกำลังจ้องมองมาที่ชิงสุ่ยด้วยสายตาที่เหมือนกำลังมองดูคนงี่เง่า
”นั่นไงล่ะเจ้ากำลังดูถูกพวกยักษ์น้ำของเจ้าเอง”ชิงสุ่ยกล่าวถากถาง คำพูดเยาะเย้ยของชิงสุ่ยมันทำให้เฉินเจินอดหัวเราะไม่ได้
”โถเจ้าพวกยักษ์น้ำเหตุใดพระเจ้าจึงไม่มองเห็นความงามของเผ่าพันธ์ตัวเอง?”ชิงสุ่ยยังคงพูดจาถากถางอย่างต่อเนื่อง
”ไอ้เด็กบัดซบเจ้ากล้าเรียกข้าว่ายักษ์น้ำเป็นครั้งที่ 2 เจ้าจะต้องตาย”สัตว์ร้ายร่างกายกำยำตะโกนด้วยความโกรธแค้น การเรียกยักษาผู้สูงส่งด้วยคำดูถูกอย่างยักษ์น้ำ มันเลวร้ายยิ่งกว่าการด่าว่าเขาเป็นโสเภณีเสียอีก
”ว่าแต่พวกเราควรจะออกไปหาพวกมันหรือรอให้พวกมันเข้ามาหาพวกเราแทนดีละ”ชิงสุ่ยกล่าวถามเฉินเจินโดยไม่สนใจคำพูดของหัวหน้ากลุ่มยักษ์
”ถ้าหากเราออกไปหาพวกมันมีแต่เสียเปรียบและคงถูกบดขยี้ในไม่ช้า”เฉินเจินมองดูเหล่าผู้คนที่อยู่ด้านหลัง
ความแข็งแกร่งของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ยังห่างไกลจากกลุ่มพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรอยู่หลายขุมถ้าหากออกไปหาพวกมันมีหวังคงต้องสูญสิ้นภายในชั่วพริบตา
”ตั้งค่ายกลแบบที่พวกเจ้าฝึกฝนเป็นประจำสิ”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสุขุม
”แม้ว่าจะเป็นค่ายกลที่พวกเราเชี่ยวชาญก็ไม่มากพอที่จะลดความต่างของระดับพลังได้”เฉินเจินถอนหายใจ แต่เธอก็ยังคงโบกสะบัดมือออกคำสั่งให้ผู้คนตั้งค่ายกลเพื่อเตรียมรับมืออย่างเร่งรีบ
ชิงสุ่ยมองดูผู้คนที่กำลังตั้งค่ายกลและรู้ได้ทันทีว่านี่คือค่ายกล9 สวรรค์นักษัตร มันเป็นค่ายกลที่สร้างขึ้นเป็นวงแหวน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ เพียงแต่มันสามารถพัฒนาและผันแปรรูปแบบไปตามตำแหน่งต่างๆได้
ค่ายกลประเภทนี้จะมีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อใช้ในสงครามใหญ่เนื่องจากว่ามันจะสามารถเพิ่มพูนจุดแข็งได้อย่างทวีคูณ แน่นอนว่ายิ่งค่ายกลมีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสในการควบคุมก็ยิ่งยากขึ้น แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่ทรงพลัง ขอเพียงมีจิตใจที่มั่นคงก็สามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้
ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าการวางค่ายกล9 สวรรค์นักษัตรคือสิ่งที่เหมาะสมในการใช้ต้านทานสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น เพียงแต่ถ้าหากค่ายกลเกิดเหตุผิดพลาดแม้แต่เล็กน้อย หากไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลามันจะสร้างผลกระทบทางลบ และยิ่งทำให้ค่ายกลที่ควรเป็นค่ายกลที่ดี ผันแปรจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
ทางด้านของชิงสุ่ยก็ไม่น้อยหน้าเขาเริ่มนำค่ายกลธงสวรรค์ออกมา โดยมีผู้ควบคุมค่ายกลครั้งนี้เป็นชายชรา 2 คน ซึ่งผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้คือผู้อาวุโสระดับสูงของกลุ่มภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ค่ายกลธงสวรรค์ในมือของชิงสุ่ยค่อยๆผ่านแปรสภาพอากาศเป็นต้นไม้ความสูง3 เมตร และกระจายไปทั่ว 4 มุมของขนาดค่ายกล
โดยที่ทั้ง4 มุมยึดตามหลักของทิศทั้ง 4 จากนั้นพวกมันก็ปักลงบนพื้นดินฝังรากทะลุก้อนหินก่อนจะขยายตัวขึ้นไปอีก 10 เมตร
นี่คือค่ายกลสุดยอดที่ชิงสุ่ยเป็นคนคิดค้นด้วยตัวเองแม้ว่าธงสวรรค์ของเขาจะไม่สามารถควบคุมได้ทั้งท้องฟ้า แต่อย่างน้อยมันก็กินพื้นที่ขนาดมหึมา และเป็นธงสวรรค์ที่ใช้ปกป้องระดับสูง