Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1309
บทที่ 1309 – เจตนาสังหารของชิงสุ่ย เริ่มสงคราม ข้ามาที่นี่เพื่อต่อสู้
อีกฝ่ายเดินทางมาอย่างรวดเร็ว พวกเขามีจำนวนนับที่ล้นหลาม มีสัตว์อสูรขนาดใหญ่กว่า 300 ตัว โดยทั่วไปเป็นอินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำหรือเงิน ร่างกายของพวกมันเป็นอินทรีทองคำและอินทรีเงินขนาดใหญ่ ขณะที่หัวของพวกมันเป็นหัวราชสีห์ทองคำหรือราชสีห์เงิน
ไม่ต้องคิดให้มาก ชิงสุ่ยก็เจ้าใจได้ว่าอินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำเป็นพาหนะตระกูลเป่ยถัง ตระกูลเป่ยถังยังเป็นตระกูลผู้ฝึกสัตว์อสูรที่ทรงพลังอีกด้วย โดยทั่วไปอินทรีราชันย์ราชสีห์เงินน่าจะเป็นพาหนะของจักรวรรดิราชสีห์ชาตะ
ทันใดนั้นชิงสุ่ยเริ่มสงสัยว่าตระกูลเป่ยถังมีสายเลือดเกี่ยวพันกับตระกูลจักรวรรดิในจักรวรรดิราชสีห์ชาตะหรือไม่
“ตระกูลเป่ยถังเคยเกี่ยวดองด้วยการแต่งงานกับจักรวรรดิราชสีห์ชาตะ ดังนั้นตอนนี้ภายในร่างกายคนของจักรวรรดิราชสีห์จึงมีสายเลือดตระกูลเป่ยถังไหลเวียนอยู่
พวกเขามีประมาณ 300 คน เหล่าสัตว์อสูรขนาดใหญ่เพียงพอที่จะปกคลุมพื้นโลกและท้องฟ้า แรงกดดันอันมหาศาลดังกล่าวเข้ามาใกล้ชิงสุ่ยโดยตรง สัตว์อสูรทั้งสี่ตัวที่เป็นผู้นำคืออินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำ 2 ตัวและอีก 2 ตัวเป็นอินทรีราชันย์ราชสีห์เงิน พวกมันมีขนาดเกือบสองเท่าของตัวคนปกติ
ชิงสุ่ยพบว่าการแต่งกายของคนเหล่านี้ที่น่าสนใจจริงๆ ชายชราคนหนึ่งที่อยู่บนอินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำสวมชุดราชสีห์ทองคำ ในขณะเดียวกันอีกฝั่งก็สวมชุดราชสีห์เงิน
“มันเป็นเวลา 3 วันแล้ว ข้าสงสัยว่าท่านได้จัดเตรียมสิ่งที่ข้าต้องการไว้หรือยัง? “
ชายชราคนหนึ่งบนอินทรีราชันย์ราชสีห์ทองคำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชายชรามีรูปร่างสูงโปร่ง ถึงแม้ว่าผมและเคราของเขาจะขาว แต่เขาก็ไม่ได้ดูชราภาพเลย ผิวของเขาเรียบเนียนเหมือนทารก เขาดูสุขภาพดีและดูดี หน้าผากของเขาก็ดูอ่อนเยาว์ เพียงแค่มองครั้งเดียวก็บอกได้ว่าเขาร่ำรวย
สิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจก็คือสายตาของชายชรานั้นกว้างไกล ทุกครั้งที่เขาเปิดหรือปิดตา สายตาที่ถูกเปิดก็เหมือนกับกระบี่อันแหลมคม แม้ว่าเขาจะยิ้ม แต่เขาก็ยังคงแสดงจุดมุ่งหมายแห่งการฆ่าฟัน
“เป่ยถัง ยี่กง ดูแล้วพวกท่านมากันไม่น้อยทีเดียว เป็นไปได้ไหมว่าพวกท่านกำลังวางแผนที่จะใช้กำลังเอามันไป?” ฟาหยิงมองไปที่ชายชราคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำและกล่าวอย่างสงบ น้ำเสียงเขาดูสงบจริงๆ การฝึกฝนจิตใจของนิกายพุทธองค์ทองคำทำให้แม้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง พวกเขาก็ยังคงมีใบหน้าที่นิ่งเฉยอยู่แบบเดิม
ในทางกลับกันชิงสุ่ยก็กำลังวิเคราะห์ฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด เขาพบว่าเขาได้ประมาทคนจากมหาทวีปอู่เซียตะวันตกไป ชายสองคนจากตระกูลเป่ยถังและจักรวรรดิราชสีชาตะมีความแข็งแกร่งประมาณ 8,000 สุริยา นอกจากนี้พวกเขายังจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเมื่อพวกเขาร่วมกันต่อสู้ มีความเป็นไปได้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึง 10,000 สุริยา
ดูเหมือนว่าพวกเขาอาจซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้ ด้วยพลังระดับนี้ มันสามารถใส่ลงไปในรายชื่อจักรวรรดิระดับสี่ได้เลย สำนักสวรรค์เร้นลับก็มีพลังอย่างน้อย 8,000 สุริยาเช่นกัน
จริงๆแล้วนับตั้งแต่ตระกูลเป่ยถังบรรลุถึงพลังระดับนี้ พวกเขาก็ไม่เห็นตระกูลเป่ยถังใน 5 มหาทวีปอยู่ในสายตานานแล้ว แม้กระทั่งพี่น้องที่เกี่ยวพันกันทางสายเลือดก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าหลังจากผ่านไปหลายชั่วอายุคน เมื่อมีคนที่มีพรสวรรค์ มันไม่สำคัญว่าจะผ่านไปกี่ชั่วอายุคน พวกเขาจะยังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่หากครอบครัวไร้ซึ่งกำลัง แม้พี่น้องร่วมสายเลือดก็สามารถตัดขาดกันได้เสมอ
“ขโมยมัน? ราวกับว่าจักรวรรรดิอุดรเทวะจะทำอะไรแบบนั้น! พวกเรามาแลกเปลี่ยนกัน อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ พวกเราจะไม่แตะต้องจักรวรรดิปราณทวะเป็นเวลา 3 ปี ด้วยวิธีนี้มันก็เหมือนกับการที่พวกท่านนำสิ่งของมาแลกกับชีวิตเพื่อให้อยู่รอดตลอด 3 ปีนี้ นี่ไม่คิดว่ามันคุ้มค่าสำหรับท่านหรือ?” ชายชรามองฟาหยิงด้วยท่าทีสงบ
“ข้าได้บอกไปก่อนแล้ว ข้ายอมที่จะทำลายมันดีกว่าปล่อยให้ไปตกอยู่ในมือของเจ้า “ฟาหยิงกล่าวอย่างเยือกเย็น
“พวกสมองตาย ท่านไม่คิดถึงจักรวรรดิปราณทวะบ้างงั้นหรือ? ท่านต้องการเห็นพวกเขาตายต่อหน้าท่านหรือ? เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาทั้งหมดจะต้องตายเพราะท่าน ท่านจะพบเส้นทางแห่งพุทธองค์ได้อย่างไรหากท่านตาย?” ชายชรามองฟาหยิงด้วยรอยยิ้มจางๆ ในขณะนี้รอยยิ้มของเขาดูเหมือนคมกระบี่จริงๆ
“พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าการเข่นฆ่าไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา พวกเราไม่สามารถฆ่าคนเพราะความกลัวได้ แต่แม้แต่เทพก็มีคมมีดของตัวเอง พวกเขาไม่ลังเลที่จะคว้ามีดของพวกเขาออกมาและสังหารปุถุชน หากมันจำเป็น ข้าก็ไม่อยากเป็นแบบนั้น” ในขณะนี้เจตนาฆ่าฟันรอบตัวของฟาหยิงพุ่งมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
“ฮ่าฮ่า การสังหารจากเทพ? แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่มีความสามารถในการทำเช่นนั้น ข้า เป่ยถังยี่จง รับประกันในนามของตระกูลเป่ยถัง ตราบเท่าที่ท่านมอบศิลาพระพุทธองค์มา พวกเราจะจากไปทันที พวกเรารับประกันได้ว่าจะไม่แตะต้องจักรวรรดิปราณทวะเป็นเวลา 3 ปี หลังจาก 3 ปี ถ้าจักรวรรดิปราณทวะยอมจงรักภักดีต่อจักรวรรรดิอุดรเทวะ ข้ารับประกันได้ว่าจะไม่แตะต้องแม้แต่เส้นผมของจักรวรรดิปราณทวะ” เป่ยถังยี่จงหัวเราะออกมา
“ข้ายอมตายเสียดีกว่าคุกเข่าให้ท่าน…” เหมือนปกติ ฟาหยิงยังมีท่าทีคงเดิม
“หากท่านต้องการที่จะตาย ข้าก็จะตอบสนองความต้องการของท่าน ข้ามั่นใจว่ามีผู้คนที่ไม่ต้องการตายในวัดพุทธองค์ทองคำ ข้าจะคิดเรื่องที่เหลือหลังจากสังหารท่าน” เป่ยถังยี่จงกำลังจะลงมือทันทีที่พูดเสร็จ
“ช้าก่อน พวกเราก็อยู่กันพร้อมหน้าที่นี่แล้ว เจ้าจะรีบร้อนไปเพื่ออะไร? มันยังไม่สายหากเจ้าค่อยลงมือ เพื่อให้แน่ใจ มันจะดีกว่าหากพวกเรามาพูดคุยกัน” ในตอนนี้ชิงสุ่ยก้าวออกมา
“หนุ่มน้อย นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับเจ้าที่จะแสดงความคิดเห็น อย่าพยายามขัดขวางพวกเรา ถ้าเจ้ายังยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น ข้าจะสังหารเจ้า” ชายชราคนหนึ่งในชุดราชสีห์เงินกล่าว
ชิงสุ่ยเหลือบมองไปทางชายชราผู้ซึ่งพูด เขามองชิงสุ่ยอย่างหยาบกระด้างและดุดันราวกับเป็นราชสีห์ตัวผู้ที่ดุร้าย
“ถ้าเจ้ายังขืนพูดต่อ เจ้าเชื่อได้เลยว่าข้าจะทำให้เจ้าหายสาบสูญไปอย่างสิ้นเชิงพร้อมกับตระกูลเป่ยถัง?” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
ชายชรากระพริบตานิ่งเงียบ เขาถูกชายชราอีกคนที่อยู่ใกล้ๆหยุดไว้ เป่ยถังหยินทอดสายตาไปที่ชิงสุ่ย “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าใครกันช่างหยิ่งยโสนัก ที่แท้ก็เป็นเจ้า ตระกูลเป่ยถังพยายามตามหาเจ้าอยู่นาน น่าแปลกใจที่เจ้ามาหาพวกเราด้วยตัวเอง วันนี้ข้าจะสังหารเจ้าเป็นคนแรกก่อนที่ข้าจะไปยัง 5 มหาทวีปเพื่อกำจัดตระกูลของเจ้า”
แต่เดิมชิงสุ่ยกำลังคิดหาวิธีแก้ปัญหากับตระกูลเป่ยถัง แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเขาควรจะทำอย่างไร เมื่อชายชราหมายเอาชีวิต เขาก็จะไม่แสดงความเมตตา
“สำหรับคำพูดนี้ เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยความตายที่น่าเวทนา” ชิงสุ่ยมองไปที่เป่ยถังยี่กงอย่างใจเย็น
“แม้ยังเยาว์วัย แต่เจ้าช่างหยิ่งยโส หากเป็นเช่นนั้น ลองมาดูกันว่าหมัดของใครจะหนักกว่ากัน อันที่จริงข้าไม่ใช้ผู้เลือก เจ้าเลือกเองที่จะเดินไปสู่ความตาย ใครต้องการที่จะสู้กับข้าอีกในตอนนี้?”
ขณะที่เป่ยถังยี่กงกำลังพูดอยู่ ชายชราคนหนึ่งก็ก้าวไปข้างหน้า
“ท่านพี่ ทำไมท่านไม่ให้ข้าลงไปสู้ก่อนหล่ะ!” ชายชราคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆเป่ยถังยี่กงก้าวไปข้างหน้าและกล่าว
เป่ยถังยี่กงตอบหลังจากคิดชั่วครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็ดี ยี่จง ข้าจะช่วยให้เจ้าขึ้นเป็นผู้นำ วันนี้ให้พวกมันรู้ว่าเพียงแค่คนเดียวจากตระกูลเป่ยถังก็สามารถกำจัดพวกมันทั้งหมดได้”
เป่ยถังยี่จงลงไปยืนอยู่ตรงกลางทั้งสองฝ่ายอย่างรวดเร็ว ในขณะนี้เขากำลังยืนอยู่เหนืออากาศและจ้องมองไปที่วัดพุทธองค์ทองคำและชิงสุ่ย แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดก็ตาม ใครหล่ะจะขึ้นไปสู้?
ฟาหยิงกำลังจะก้าวไปข้างหน้าแต่เขาถูกหยุดโดยชิงสุ่ย “ผู้อาวุโส ท่านมั่นใจว่าท่านจะชนะหรือ? ทำไมท่านไม่ปล่อยให้ข้าจัดการกับเรื่องนี้?”
“ข้าไม่มั่นใจ แต่นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรก ข้าต้องเป็นคนลงไปสู้ แม้ว่าอาจหมายถึงตัวข้าเองต้องตายก็ตาม” ฟาหยิงกล่าวด้วยความแน่วแน่
เมื่อมองไปที่เจตนาของฟาหยิง ชิงสุ่ยก็รู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้อีกต่อไป ชิงสุ่ยถอนหายใจและพูดอย่างช้าๆ “ตกลง จงระวังตัว ตราบเท่าที่ท่านยังหายใจ ข้ามีหนทางที่จะช่วยรักษาชีวิตท่าน”
แม้ว่าคำพูดนี้อาจฟังดูไม่น่าพอใจ แต่ชิงสุ่ยก็ยังรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูด เขากลัวว่าฟาหยิงจะต่อสู้จนตัวตาย เช่นนั้นจะเป็นการยากที่เขาจะช่วยไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเป็นการเตือนสติให้กับฟาหยิง เขามั่นใจว่าความตายเป็นสิ่งที่ฟาหยิงไม่เต็มใจที่จะเผชิญ แต่ถ้ามันหมายถึงการตายพร้อมกับชายชราฝั่งตรงข้ามกับเขา เขาจะไม่ลังเลสำหรับตัวเลือกนี้
ชิงสุ่ยชื่นชมคนที่ไม่กลัวการตายจริงๆ พวกเขามีความเชื่อในหัวใจที่แรงกล้า สำหรับพวกเขา มันคือการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมของตนเอง
ฟาหยิงพยักหน้า “ข้าจะ ข้ายังต้องการดูว่าวัดพุทธองค์ทองคำจะสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้หรือไม่” ฟาหยิงยิ้มให้กับชิงสุ่ย เขากำฝ่ามือและโค้งตัวลง
“ผู้อาวุโส โปรดวางใจ นิกายพุทธองค์ทองคำจะมีแต่เจริญรุ่งเรืองและรุ่งเรืองยิ่งขึ้นเท่านั้น ท่านต้องมีชีวิตอยู่และเฝ้าดูมันด้วยตัวเอง” น้ำเสียงชิงสุ่ยฟังดูมั่นใจ
อาวุธของฟาหยิงเป็นกระบองขนาดใหญ่ มันเป็นสีทองและมีความยาว 3 เมตร มันหนาประดุจแขนของผู้ใหญ่ ทันทีที่เขาขยับตัว เขาก็ไปอยู่ตรงกลางอากาศห่างประมาณ 30 เมตรจากเป่ยถังยี่จง
สำหรับพวกเขา มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเดินทางไปในทันทีด้วยระยะทางแค่นี้
“ยอมรับมันด้วย อย่าได้พูดว่าข้าข่มขู่ท่าน ข้าได้ให้ท่านเลือกแล้ว ท่านเป็นผู้ที่แสวงหาความตายด้วยตัวเอง อย่าได้ตำหนิผู้อื่น” เป่ยถังยี่จงกล่าวอย่างหยิ่งยโส ต่อหน้าฟาหยิง เขามีความสามารถพอที่จะอวดดี
“อย่าพยายามหาข้อแก้ตัวอีกต่อไปเลย ลึกๆท่านเองก็รู้ว่ามันไม่ถูกต้องและพยายามหาข้อแก้ต่างเพื่อให้อภัยตัวเอง?” ฟาหยิงกล่าวช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆกวัดแกว่งกระบองในมือด้วยพลังที่แปลกประหลาด เขารีบกระโดดขึ้นไปอย่างรวดเร็วและเดินตรงไปยังเป่ยถังยี่จง
วารีร่ายรำ กระบองวชิระอสูรอรหันต์!
ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดว่าฟาหยิงจะใช้กระบองวชิระอสูรอรหันต์
พลังโจมตีของกระบองรุนแรงมาก นอกจากนี้ยังมีความเร็วที่ดี ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฟาหยิง เขาได้ดึงเอาศักยภาพสูงสุดของเคล็ดวิชาออกมา
เป่ยถังยี่จงยังคงแสดงสีหน้าอวดดีเมื่อกระบองฟาดลงมา เขาสะบัดมือขวาและในขณะที่เขาทำอย่างนั้นลมปราณแรกเริ่มก็ห่อตัวเป็นกรงเล็บราชสีห์ส่งเข้าใส่กระบอง
ฟุ่บ!
ปัง!
เป่ยถังยี่จงตะโกนออกมาเสียงดัง เขายังคงปลดปล่อยการโจมตีของเขาด้วยกรงเล็บราชสีห์ ขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าและผลักดันฝ่ามือของเขา กรงเล็บราชสีห์สองสายขนาดใหญ่ก็พุ่งไปทางฟาหยิง
ทุกที่ที่มันพุ่งผ่านไป ปรากฏพายุหมุนสองลูกขึ้นกลางอากาศ
กายาวชิระ!
แสงสีทองส่องผ่านร่างของฟาหยิง เขาถือกระบองค้ำยันไว้ข้างหน้า กรงเล็บราชสีห์ได้ผลักดันให้เขาถอยร่นไป พวกเขาสองคนดูแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมาก่อน
ความต่างชั้นด้านพลังมีมากเกินไป การต่อสู้จบลงแล้ว แม้ว่าเขาจะมีกายาวชิระ แต่การป้องกันของเขาก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เขาไม่บาดเจ็บ
อึก!
ฟาหยิงจับกระบองเอาไว้แน่น อย่างไรก็ตามเขายังคงเลือดออกจากปากและเซไปข้างหลัง นักบวชสองคนเดินเข้ามาจับเขาไว้อย่างรวดเร็ว พวกเขาให้ยาฟื้นฟูและนำตัวเขาลงไป ชิงสุ่ยได้เอาเข็มทองคำออกมาและฝังลงไปบนหน้าอกของฟาหยิงอย่างรวดเร็ว
ส่วนที่ฟาหยิงได้รับบาดเจ็บคืออวัยวะของเขา แม้กระทั่งใช้กายาวชิระ เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง แต่ตราบเท่าที่เขายังไม่ตาย ชิงสุ่ยก็มีวิธีที่จะช่วยเขาได้
“ผู้อาวุโส ข้าจะจัดการส่วนที่เหลือเอง นี่เป็นวันที่ตระกูลเป่ยถังจะต้องชดใช้ทั้งหมด เมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็จะทำมันให้เด็จขาด” ชิงสุ่ยกล่าวในขณะที่พยายามรักษาอาการบาดเจ็บของฟาหยิงให้คงที่
“ไม่เป็นไรคุณชายชิง ขอโทษที่สร้างปัญหา”
ชิงสุ่ยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและขึ้นไปขัดขวางเป่ยถังยี่จงซึ่งได้ลงมาถึงวัดพุทธองค์ทองคำแล้ว
“ข้าจะเป็นคนจัดการส่วนที่เหลือของการต่อสู้ ข้าจะปล่อยให้เจ้าเริ่มก่อน อย่าหาว่าข้าข่มขู่เจ้าหล่ะ ข้ากลัวว่าเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ลงมือทำอะไรแม้เพียงสักครั้ง” ชิงสุ่ยคืนคำที่เป่ยถังยี่จงกล่าวแก่ฟาหยิงกลับไปให้ตัวเป่ยถังยี่จงเอง