Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1331
บทที่ 1331 – เคล็ดวิชาแปลงอสูรพยัคฆ์หยกขาว, เรื่องในอดีตของอี่หวงกู่หวู๋
พลังที่ถูกพัฒนาขึ้นทำให้ชิงสุ่ยมีความสุขเป็นอย่างมาก พลังของเขาเพิ่มขึ้นอยู่หลายครั้งในช่วงไม่กี่วันมานี้ตั้งแต่กลับมาที่ตระกูลชิง ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเขากำลังไปถึงเคล็ดเสริมสร้างบรรพกาลขั้นที่แปด ในอดีตเขาเคยคิดว่ามันเป็นภูเขาสูงที่เขามิอาจเอื้อม แต่ในตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าหนทางได้ปรากฏออกมาแล้วและเขาสามารถคว้ามันมาได้ตราบเท่าที่ฝึกฝนอย่างหนัก
เขาสามารถก้าวไปยังอาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้อย่างแน่นอนเมื่อบรรลุเคล็ดเสริมสร้างบรรพกาลขั้นที่แปด ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่ต้องคิดเรื่องที่ต้องเตรียมเพื่อให้บรรลุระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจอีก
นอกเหนือจากนั้น มันยังเป็นเคล็ดวิชาไร้นามตรงตามกับที่เขาคาดคิดเอาไว้ มันมีที่มาจากนิกายฌานเริงรมย์จากนิกายพุทธองค์ เพียงแต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะทรงพลังถึงเพียงนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะหญิงสาวที่เขาได้พบมาก่อนหน้าช่างไร้ที่ติ
ในเคล็ดวิชาทวิบ่มเพาะ หยินและหยางต่างหลอมรวมซึ่งกันและกัน หยินหรือหยางเพียงฝ่ายเดียวมิอาจเสริมสร้างสิ่งใดได้ ด้วยวิธีการลดหยินไปเพิ่มหยาง หรือลดหยางเสริมสร้างหยินล้วนเป็นเคล็ดวิชาทวิบ่มเพาะขั้นต่ำ แต่สิ่งที่ดีกว่านั้นคือการทำให้ทั้งสองสิ่งเติบโตขึ้นไปพร้อมๆกัน ยอดฝีมือจะสามารถเสริมสร้างทั้งสองสิ่งไปพร้อมๆกันได้ แต่สิ่งที่เหนือไปกว่านั้นจัดเป็นของระดับตำนานและระดับพระเจ้า ซึ่งเคล็ดวิชาทวิบ่มเพาะเหล่านั้นสามารถเสริมสร้างหยินและหยางไปพร้อมๆกันได้
ราวกับว่าเคล็ดวิชาไร้นามนี้มีไว้สำหรับพวกระดับตำนาน วิชายุทธิ์เหล่านี้ให้ประโยชน์กับตัวชิงสุ่ยเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่ตัวเขาเท่านั้นแต่หญิงสาวของเขาก็ได้รับประโยชน์พวกนี้ไปด้วย
และในตอนนี้ตัวเขาเองก็ได้รับคำตอบแล้ว หากมีภาพโฉมงามเพียงสิบสองชิ้น อย่างน้อยเขาต้องลบหญิงสาวในตระกูลอวี้ออกจากในรายการ เหตุเพราะนางไม่สามารถเชื่อมต่อกับสิบสองเส้นลมปราณสวรรค์ได้ แต่กลับปลุกให้เกิดดวงดาวสีทองขึ้นมาแทนและมันส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพลังวิญญาณของนาง
อาจกล่าวได้ว่าในตอนนี้สิบสองภาพโฉมงามนั้นได้เสร็จสิ้นลงแล้ว นอกเหนือจากหญิงสาวที่สง่างามในพระราชวังผู้ที่นังอยู่เหนือมังกรมรกต ตัวชิงสุ่ยเองได้เห็นทุกส่วนของผู้หญิงมาแล้วทั้งสิ้น
ชิงสุ่ยนั่งพักอยู่ข้างในศาลา มันเป็นเวลาเกือบจะเช้า คนอื่นๆต่างออกไปฝึกวิชายุทธ เหล่าผู้ที่ยึดถือความสันโดษต่างกระทำกันเช่นนี้เสมอ ในครั้งนี้ชิงสุ่ยได้มอบโอกาสมากมายแก่พวกเขา รวมถึงเหล่ารุ่นที่สามเช่นกัน ทุกๆคนต่างอยากเดินทางไปยังอีกสามมหาทวีปที่เหลือ ชายผู้ใดล่ะที่ไม่มีความกล้าหาญ? ชายผู้ใดล่ะที่ปราศจากความทะเยอทะยาน?
เหล่าชายหนุ่มล้วนถือกระบี่ยาวเอาไว้ในมือและต้องการบรรลุสิ่งที่พวกเขาต้องการ
หยุนต้วนและห่ายต่งชิงต่างเดินทางมาถึง แต่ชิงหยุนกำลังเล่นกับใครบางคนอยู่ หญิงสาวทั้งสองตรงเข้ามาหาชิงสุ่ยในขณะที่พวกนางเห็นเขากำลังฝันกลางวัน ชิงสุ่ยเพิ่งมารู้สึกตัวก็ตอนที่หญิงสาวทั้งสองเดินเข้ามายังศาลาแล้ว
เขายืนขึ้นพร้อมกับโอบกอดทั้งสองคนไว้และนั่งลงอีกครั้ง
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่เช่นนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่” ห่ายต่งชิงยิ้มและถาม
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเมื่อใดเจ้าจะตั้งครรภ์เสียที หลังจากที่ข้าได้ทำงานไปอย่างหนัก” ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปยังหญิงสาวที่ฉลาดและสง่างาม
“เจ้าอยากตายงั้นหรือ?!” ห่ายตงชิงตะโกนใส่ชิงสุ่ย หน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ใบหน้าของนางถูกเติมเต็มไปด้วยสีแดงในทุกๆครั้งที่คิดถึงตอนที่นางและชิงสุ่ยอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ชายผู้นี้เป็นคนที่มีความต้องการมาก และเมื่อเขาปลดปล่อยมันออกมา ช่างเป็นภาษาและท่าทางที่น่าอายเหลือเกิน
เมื่อหยุนต้วนเห็นการแสดงออกของห่ายตงชิง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าของนางก็แดงตามไปตั้งแต่เมื่อใด ชิงสุ่ยมองไปยังใบหน้าของนางก็หัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทีเขินอายของพวกนางทั้งสอง เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก ในตอนนี้เขารู้สึกพอใจในตนเองอย่างเหลือเชื่อ
“ถึงเวลาที่เจ้าต้องไปอีกครั้งแล้วสินะ” ห่ายตงชิงยิ้มและถามด้วยท่าทีที่กลับมาเป็นปกติ
“ใช่ ข้าสามารถกลับมาได้เดือนละหนึงครั้ง มันคงจะดีกว่าเดิมเมื่อเทียบกับเมือก่อน ในอนาคตข้าคงสามารถพาพวกเจ้าเคียงข้างไปได้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราจะไม่ต้องแยกจากกันอีก”
“ใช่แล้ว ข้ารู้สึกมีความสุขเหลือเกิน ในตอนแรกข้าคิดว่าคงจะไม่ได้เจอกันในสิบปีหรือยี่สิบปีนี้” หยุนต้วนกล่าวอย่างมีความสุข
เป็นเพราะเคล็ดวิชาทวิบ่มเพาะ พลังของเหล่าหญิงสาวของชิงสุ่ยต่างถูกพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้มาจากภาพโฉมงามแต่ก็ยังพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น หยุนต้วน หมิงเยวี่ยเก้อโหลว พวกนางทั้งสองไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล่าหญิงสาวในภาพโฉมงามเลย พวกนางต่างเป็นคนที่งดงามมาก
ชิงสุ่ยไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเหล่ารุ่นที่สี่ในตระกูลชิงนัก ด้วยความสามาถในปัจจุบันของเขาถ้าหากเขาสามารถสร้างรากฐานให้ตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาจะกลายมาเป็นนักรบที่มากความสามาถได้ในอนาคต สิ่งหลักๆต้องมุ่งไปที่เหล่ารุ่นที่สองและรุ่นที่สามในตระกูลชิงต่างหาก
พวกเขาเหล่านั้นต้องมีพลังแข็งแกร่ง นั่นเป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยรู้สึก ช่องว่างของพลังระหว่างเขาและแม่ช่างต่างกันยิ่งนัก แต่นั้นมันก็หลายปีมาแล้ว ผู้คนล้วนต่างเปลี่ยนไป เขาไปอยู่ที่ใดกัน? ในตอนนี้เขายังน่าเกรงขามอยู่อีกหรือไม่?
ในวันสุดท้าย ชิงสุ่ยใช้เวลากับเหล่าภรรยาและลูกๆ เขามองไปยังหญิงสาวทั้งหลายที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้หญิงของเขา แน่นอนว่ารวมถึงลูกสาวเช่นกัน พวกนางเป็นเหมือนองค์หญิงตัวน้อยของเขา เมื่อเทียบกันแล้วเขามีลูกชายอยู่น้อยกว่า ชิงซุน ชิงหมิน ชิงหลง ซึ่งชิงซุนและชิงหมินได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหาในการพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต.
ชิงหลงยังเด็กอยู่มาก เขาเป็นเหมือนกับลูกวัวตัวเล็กๆ แม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่ แต่ชิงสุ่ยก็ช่วยตัดสินเส้นทางในการฝึกยุทธของเขาเอาไว้แล้ว เขาจะเป็นผู้ฝึกฝนทางร่างกาย
……
ชิงสุ่ยได้กลับมายังตระกูลชิงกว่าหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่ใช้เวลาในการอำลาทุกคน เขาใช้ธงสวรรค์ปัญจธาตุเพื่อเดินทางกลับ และเขาต้องการแวะไปเยี่ยมเยียนมหาทวีปอู่เซียตะวันตกเสียหน่อย อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เขาสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ที่เขาต้องการ
ในครั้งนี้พวกเขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดต่อกันอีกต่อไป อี่หวงกู่หวู๋ยืนอยู่ที่หน้าต่างของบ้านไม้ไผ่ เมื่อชิงสุ่ยปรากฏตัวออกมาข้างๆ นางหันกลับมาพร้อมส่งยิ้มให้ “เจ้ากลับมาแล้ว”
“ใช่แล้ว ท่านปรมารย์ป้า ท่านกำลังคิดถึงอะไรอยู่เช่นนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยยืนอยู่ข้างนางที่กำลังมองออกไปยังท้องฟ้าที่ไร้ที่สิ้นสุดและผืนโลกอันกว้างใหญ่ ทันใดนั้นเองเขาก็พบว่าตัวเขาค่อยๆรู้สึกสงบลง
“พลังของเจ้าพัฒนาขึ้นรวดเร็วมาก” อี่หวงกู่หวู๋เปลี่ยนบทสนทนาและกล่าวออกมา
ชิงสุ่ยดึงตัวนางเบาๆในขณะที่เห็นดวงตาอันเหนื่อยล้าของนาง “มาเถอะ ข้าจะช่วยให้ท่านผ่อนคลายเอง”
ชิงสุ่ยนั่งลงในฝั่งตรงข้าม เขายื่นมือออกและวางไว้บนไหล่ของนาง จากนั้นยกนิ้วทั้งสิบขึ้นและกดลงไปอย่างรวดเร็ว เขาทำมันด้วยกำลังที่พอเหมาะ อีกทั้งยังมีพลังงานบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์แฝงเอาไว้เช่นกัน
“ท่านปรมารย์ป้า ให้ข้าได้สอนวิชาแก่ท่าน ด้วยประเภทของร่างกายท่าน ข้าคิดว่าน่าจะเหมาะกับมัน ข้ารู้สึกได้ถึงพลังลึกลับบางอย่างในตัวท่าน ท่านควรจะดีงพลังเหล่านั้นออกมา” ชิงสุ่ยรู้สึกได้ในขณะที่ลงมือนวดให้แก่นาง
“อ้ะ วิชาแบบไหนหรือ?” อี่หวงกู่หวู๋รู้สึกสงสัย
“เคล็ดรูปแบบพยัคฆ์!”
“ตกลง!”
พวกเขาทั้งสองตกลงและเริ่มลงมือฝึก ชิงสุ่ยและหญิงสาวมุ่งตรงไปยังชายหาดข้างนอกในขณะที่อวี้ลู่หยานและถานท่ายหยวนต่างเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ อี่หวงกู่หวู๋กล่าวว่าพวกนางได้ก้าวขั้นสู่ขั้นแรกเริ่มได้อย่างบังเอิญแล้ว ถ้าโชคดีก็คงจะได้พบกับเส้นทางแห่งสวรรค์ในเร็วๆนี้ ซึ่งเส้นทางแห่งสวรรค์ไม่ใช่ว่าจะมีพลังอย่างเดียวแล้วจะสามาถก้าวไปถึงได้
หนทางที่จะก้าวไปถึงนั้นมีมากมายหลายเส้นทาง ตัวอย่างเช่น เหล่านักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ ศิลปินชั้นยอด พวกหมอ หรือพวกนักปรุงยา พวกช่างทั้งหลาย และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งพวกเขาเหล่านี้สามารถไปถึงเส้นทางแห่งสวรรค์ได้เช่นกันและกลายเป็นผู้ชำนาญการในแต่ละด้านไป
ชิงสุ่ยเริ่มลงมือฝึกอย่างไม่หยุ่นหย่อน ด้วยระดับในปัจจุบันของเขาไม่จำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไปอีกแล้ว เขาพยายามอย่างหนักเพื่ออธิบายทุกๆอย่างในขณะที่เขาแสดงท่าทางเคล็ดรูปแบบพยัคฆ์ออกมา และค่อยๆแสดงให้เห็นร่างพยัคฆ์ทองคำขนาดใหญ่
ร่างอสูรสำแดง!
ชิงสุ่ยได้รับวิชาร่างอสูรสำแดง เมื่อเขาใช้หมัดออกด้วยเคล็ดรูปแบบพยัคฆ์ เสือทั้งตัวจึงปรากฏออกมาราวกับว่ามีเสือปรากฏขึ้นอยู่จริงๆ
หญิงสาวเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อชิงสุ่ยหยุดนิ่ง นางเริ่มเคลือนไหวอย่างเชื่อช้าแต่กลับทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจ
อย่าที่ได้คิดเอาไว้ ร่างกายของนางถูกสร้างขึ้นมาเพื่อวิชาเคล็ดรูปแบบพยัคฆ์โดยเฉพาะ
ถึงแม้ว่านางจะเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ แต่ทุกท่วงท่าที่แสดงออกกลับดูสง่างามและน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง นอกเหนือจากนั้น นางพัฒนาตัวเองขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าหญิงสาวคนนี้สามารถก้าวข้ามคล็ดรูปแบบพยัคฆ์ไปแล้วด้วยการรับรู้ทางวิญญาณของเขา
โฮ่กก!
ทันได้นั้นเอง หญิงสาวได้ปล่อยหมัดของนางออกมา ขณะที่กำลังทำเช่นนั้น พยัคฆ์หยกขาวก็ปรากฏตัวขึ้นมาข้างหน้าของนาง มันไม่ได้สลายหายไปไหนและให้ความรู้สึกถึงกลื่นอายอันสูงส่ง
เคล็ดวิชาแปลงอสูรพยัคฆ์หยกขาว!
ชิงสุ่ยมองไปยังพยัคฆ์หยกขาวด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์และรู้สึกตกใจ
พยัคฆ์หยกขาวระดับเงิน เกิดจากการรวมตัวกันของพลังเข้าด้วยกัน มันมีพลังมากกว่าเจ้าของอยู่หนึ่งส่วน ไม่ต้องใช้พลังในการหล่อเลี้ยง มีเวลาใช้งานราวสิบห้านาที ควบคุมโดยการใช้จิตสำนักซึ่งไม่สิ้นเปลืองพลัง อาจถูกทำลายให้หายไปเมื่อได้รับความเสียหายที่เพียงพอ
หรือหญิงสาวคนนี้จะกลับมาจุติใหม่ด้วยร่างพยัคฆ์หยกขาวกันนะ? ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจในขณะที่มองไปยังพยัคฆ์ตัวสีขาวที่มีความสูงกว่าห้าสิบเมตร เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวันหญิงสาวสามารถบรรลถเคล็ดรูปแบบพยัคฆ์ที่ชิงสุ่ยถ่ายทอดให้ได้
ณ ปัจจุบัน หญิงสาวรู้สึกราวกับเพิ่งตื่นหลังจากฝันไปเนิ่นนาน หลังจากที่นางใช้สมาธิอีกครั้ง พยัคฆ์หยกขาวที่ดูเหมือนกับตัวก่อนปรากฏตัวขึ้นมาข้างๆนาง
“ในตอนนี้ พยัคฆ์หยกขาวสองตัวถูกใช้ออกในเวลาพร้อมกัน แต่ในทุกๆครั้งที่ข้าสร้างพยัคฆ์หยกขาวออกมา มันจะกินพลังไปหนึ่งในสิบส่วนของตัวข้า” อี่หวงกู่หวู๋มองไปยังชิงสุ่ยที่กำลังตกใจกับความงดงามของนาง
“ดูเหมือนว่าคงมีแค่เพียงท่านที่จะสามารถบรรลุเคล็ดรูปแบบพยัคฆ์ในขั้นนี้ได้ คนอื่นๆคงไม่อาจบรรลุมัน” แม้แต่ตัวชิงสุ่ยเองก็อดชื่นชมนางไม่ได้ คงจะดีไม่น้อยหากตัวเขาเองสามารถบรรลุถึงขั้นนี้ได้
“จริงๆแล้วตัวข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมผลถึงออกมาในรูปแบบนี้ ในก่อนหน้านี้ข้าคิดว่ามันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น” ดูเหมือนว่าอี่หวงกู่หวู๋กำลังพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดในก่อนหน้านี้อย่างหนัก
“มันควรจะเป็นเช่นนี้แหละ” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวตอบกลับไป
“ขอบใจเจ้ามาก สำหรับข้าแล้ววิชานี้ถูกจัดเป็นวิชาขั้นสูงสุดอีกวิชาหนึ่งเลย” อี่หวงกู่หวู๋กล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ท่านปรมารย์ป้า ทุกๆอย่างในมหาทวีปอู่เซียตะวันตกยังสงบดีใช่ไหม?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวถาม
“ใช่แล้ว อย่าไปกังวลถึงมันเลย เจ้าควรจะผ่อนคลายให้มากขึ้นเมื่ออยู่กับข้า ณ ที่นี้ ที่นี่ไม่ใช่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำหรือสองมหาทวีปที่เหลือ ”
“เข้าใจแล้ว ท่านปรมารย์ป้า ถ้าตระกูลอี่หวงในอาณาจักรอี่หวงเดินทางมาหาข้า ข้าควรทำเช่นไร? ” ชิงสุ่ยกล่าวถามในขณะที่คิดอยู่ชั่วครู่
“สังหารซะ ถ้าเจ้าสามารถทำได้ แต่สิ่งที่เจ้าต้องคำนึงถึงเป็นอย่างแรกคือความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง ก่อนจะไปถึงจุดสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณจักรพรรดิอย่าเพิ่งต่อสู้กับตระกูลอี่หวง” อี่หวงกู่หวู๋กล่าวหลังคิดอยู่ชั่วครู่
“หรือท่านกังวลว่าจะมีคนในระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจอยู่ในตระกูลอี่หวง?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“ข้ารู้ ตราบเท่าที่ตระกูลอี่หวงยังไม่เผชิญเข้ากับเรื่องวิกฤต คงไม่มีใครกล้าไปรบกวนคนในระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจหรอก” อี่หวงกู่หวู๋กล่าวอย่างใจเย็น
ชิงสุ่ยถอนหายใจออกเมื่อได้ยินคำพูดของอี่หวงกู่หวู๋ เขายิ้มและกล่าว “ท่านปรมารย์ป้า หรือท่านเป็นคนจากตระกูลอี่หวง?”
อี่หวงกู่หวู๋มองไปยังชิงสุ่ย หลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ นางพูดออกอย่างช้าๆ “ไม่ หรือสิ่งที่เจ้าสงสัยคือแซ่ของข้าที่ใช้อยู่”
ชิงสุ่ยพยักหน้าและไม่ได้กล่าวอะไรต่ออีก
“แม่ของข้าถูกดูถูกโดยคนจากตระกูลอี่หวง หลังจากนั้นพวกเขาขับไล่นางออกมาราวกับรองเท้าที่ไร้ค่า แต่แม่ของข้าได้ถูกใครบางคนช่วยชีวิตเอาไว้ เขาเป็นสมาชิกจากหนึ่งในสาขาของตระกูลอี่หวง เขาชอบพอแม่ของข้าแม้ว่าแม่ของข้าจะตั้งครรภ์แล้ว เขายังคงแต่งงานกับนางและรับนางเป็นภรรยา เมื่อข้าได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกแล้วเขายังคอยดูแลข้าราวกับว่าข้าเป็นลูกสาวแท้ๆของเขา แต่ต่อมาเมื่อคนๆนั้นรู้เรื่องเข้า เขาลงมือสังหารพ่อเลี้ยงของข้า แม่ของข้าฆ่าตัวตายตามไปเช่นกัน เป็นเพราะนางครอบครัวทางฝั่งพ่อเลี้ยงของข้าถูกสังหารจนหมดสิ้น ดังนั้นแซ่อี่หวงของข้ามาจากพ่อเลี้ยง ไม่ใช่อี่หวงในปัจจุบันนี้” เมื่ออี่หวงกู่หวู๋พูดจบนางรู้สึกสงบลง อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยรู้สึกถึงจุดมุ่งหมายในการฆ่าลึกๆลงไปในจิตใจของนาง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางดูเหนื่อยล้า นางพยายามทำตัวเหมือนไม่เป็นอะไรและมีความสุขอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำนี้นาง…
“ท่านปรมาจารย์ป้า เชื่อข้าเถอะ ท่านสามารถล้างแค้นได้ในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน ท่านมีความสามารถพอที่จะทำมัน” ชิงสุ่ยเชื่อว่านางคงไม่ลังเลที่จะสังหารพ่อที่มีสายเลือดเดียวกับนาง เหตุเพราะพวกเขาไม่ได้แบ่งปันความรู้สึกที่ดีต่อกันเลยแม้แต่น้อยตรงกันข้ามกลับมีแต่ความรู้สึกเกลียดชัง อีกทั้งแม่ของนางยังถูกขับไล่ใสส่งอย่างไม่ใยดี สำหรับคนพวกนั้นเหมาะสมแล้วที่จะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
ชิงสุ่ยได้เข้าใจเรื่องของนางกับตระกูลอี่หวงมากขึ้น เมื่อนางบอกว่าจะไม่ช่วยเหลือใครจากตระกูลอี่หวงเป็นอันขาด แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นเช่นนี้ ในความเป็นจริงแล้วตระกูลชั้นสูงทั้งหลายมักมีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกตระกุลจะมีคนเช่นอี่หวงกู่หวู๋อยู่