Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1368
บทที่ 1368 – อี่หวง กู่หวู๋ ยกระดับไปยังระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ บ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิต
ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นผู้คนของตระกูลชือไม่มีผู้ใดก้าวออกมา พวกเขาอยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกันแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรหลังจากที่พวกเขาได้เห็นชะตากรรมของตระกูลอี่หวง คนส่วนใหญ่ย่อมเลือกที่จะทรยศพันธมิตรของตนเองหากมีเรื่องที่คอขาดบาดตายเช่นนี้
ชิงสุ่ยนึกถึงสุภาษิตจากชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังภักดีต่อกันนั้นเพราะคุณค่าของการทรยศนั้นไม่ได้มากพอ เมื่อการทรยศนั้นให้ผลที่มีคุณค่ามากพอผู้คนย่อมเลือกที่จะปิดหูปิดตาเลือกทรยศ สิ่งที่มีคุณค่ามากพอนี้อาจจะมาในรูปแบบของ เงินทอง หญิงสาว ชีวิตของตนเอง การข่มขู่ และอื่นๆ
เช่นเดียวกับตระกูลชือเมื่อเทียบกับการอยู่รอดของตนเองแล้วไม่มีสิ่งใดที่สำคัญกว่า หากพวกเขาไม่อาจรอดชีวิตไปได้ การเจรจาย่อมไร้ประโยชน์ พวกเขาย่อมต้องเลือกรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้มากกว่านำชีวิตไปเสี่ยง
ตระกูลอี่หวงนั้นจบสิ้นแล้ว ทั้งตระกูลของพวกเขานั้นถือว่าถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแม้ว่าชื่อของพวกเขาจะยังคงตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายๆคน อาณาจักรอี่หวงในตอนนี้นั้นปราศจากผู้นำ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเสนอตัวมาเป็นผู้นำของอาณาจักรอี่หวงในตอนนี้อย่างแน่นอน
ในหมู่อี่หวง กู่หวู๋ ชิงสุ่ย ตระกูลปู้หยาง ตระกูลตู่กู๋ ตระกูลสุ่ยและตระกูลชือทุกๆคนต่างเดินจากไปโดยที่ไม่ได้พูดว่าตระกูลปู้หยางนั้นเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด ไม่ว่าตระกูลอื่นๆจะอยู่ข้างเดียวกันกับตระกูลปู้หยางหรือไม่ชิงสุ่ยพวกเขาทั้งหมดย่อมตระหนักได้ถึงพลังของตระกูลปู้หยาง หากตระกูลปู้หยางตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไรพวกเขาก็ย่อมต้องทำตามเช่นเดียวกัน
ชิงสุ่ยขึ้นไปบนหลังของมังกรไอยราเกล็ดทองคำพร้อมกับอี่หวง กู่หวู๋ทันทีและบินออกไปที่หอคอยจักรพรรดิโดยทิ้งสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนี้เอาไว้
“เจ้าคิดว่าผู้ใดจะมาเป็นเสาหลักของอาณาจักรอี่หวงคนต่อไป?”
“มันยังไม่ชัดอีกงั้นหรือ? หากชายหญิงคู่นี้ต้องการที่จะเป็นใหญ่ตระกูลปู้หยางและตระกูลตู่กู๋ย่อมต้องช่วยเหลือพวกเขาอย่างแน่นอน หากพวกเขาไม่ต้องการเช่นนั้นก็คงเป็นตระกูลปู้หยาง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำตัวสูงศักดิ์แต่พวกเขาจะไม่มีความทะเยอทะยานที่จะเป็นใหญ่เลยงั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าในแง่ของความทะเยอทะยานก็น่าคิดแต่ตระกูลปู้หยางอาจไม่สนใจอาณาจักรอี่หวงหรือบางทีพวกเขาอาจจะมองอาณาจักรอี่หวงนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้”
“ทำไมกัน?”
“เจ้าไม่รู้งั้นหรือว่ามีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับตระกูลปู้หยางเมื่อพวกเขาได้พบกับท่านหมอเทวดาชิง? ปู้หยาง ชิงนั้นใกล้จะจบชีวิตของเขาแล้วแต่ก็ได้ยกระดับเป็นผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจในทันที บรรพบุรุษของตระกูลปู้หยางนั้นยังได้ยกระดับเข้าสู่ขั้นที่ 2 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ เวลาชีวิตของนางนั้นก็ใกล้จะหมดลงแล้วเช่นกัน”
“หากท่านกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้น…..”
“นี่คือเหตุผลที่ข้าจะบอกว่าท่านหมอเทวดาชิงนั้นสำคัญยิ่งกว่าอาณาจักรอี่หวงสำหรับตระกูลปู้หยาง ตราบใดที่พวกเขายังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับท่านหมอเทวดาชิงนั่นย่อมสำคัญยิ่งกว่าการได้ปกครองอาณาจักรอี่หวง พวกเขายังสามารถแม้แต่ไปยังเมืองหลวงของมหาทวีปหรือบางทีอาจจะไปยังมหาทวีปอุดรเทวา”
…….
“ชิงสุ่ย ข้าชั่วร้ายใช่หรือไม่?” อี่หวง กู่หวู๋ควรจะกำจัดภาระในจิตใจของนางไปได้แต่ดูเหมือนนางจะไม่อาจลบมันไปจากจิตใจได้อย่างสมบูรณ์
“เจ้าชั่วร้ายอย่างไร? ความปราถนาของเจ้านั้นสำเร็จแล้ว เจ้าไม่ดีใจงั้นหรือ? ข้าจะให้พี่ชายและพี่สะใภ้ทำอาหารเพื่อเฉลิมฉลองให้แก่เจ้า” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่ออี่หวง กู่หวู๋เห็นชิงสุ่ยยิ้มให้นาง นางก็กล่าวออกมาว่า “ข้าคิดว่าตนเองอาจจะยินดีเมื่อได้ทำเรื่องเช่นนี้แต่ข้ากลับรู้สึกว่าข้าสูญเสียอะไรบางอย่าง ชิงสุ่ย เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้าสูญเสียสิ่งใดไป?”
ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาเข้าใจความรู้สึกของอี่หวง กู่หวู๋ในทันทีและตอบกลับนางด้วยรอยยิ้ม “มันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งสำหรับคนๆหนึ่งที่ต้องแบกรับภาระหนักแหน่นเช่นนี้ แต่ด้วยเวลาที่ยาวนานเจ้าคงรู้สึกว่ามันผูกพันกับจิตใจของเจ้า หากวันหนึ่งภาระที่หนักแน่นนั้นหายไปผู้ที่แบกรับภาระนั้นย่อมรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป มันอาจจะเป็นความรู้สึกที่เคยขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็ได้ เจ้าได้แบกรับภาระนี้มาอย่างยาวนาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าใช้ชีวิตอยู่กับความเกลียดชัง แต่เมื่อความเกลียดชังนั้นหายไปเจ้าก็คงจะรู้สึกอ้างว้างเช่นเดียวกัน”
ชิงสุ่ยรู้ว่าเหตุผลที่นางรู้สึกเช่นนี้ย่อมเหมือนกันกับเขา เพราะเขาก็เคยสังหารผู้คนมามากมายและเคยรู้สึกมีความสุขกับการได้ล้างแค้นเช่นเดียวกัน
ในการเดินทางกลับของพวกเขาอี่หวง กู่หวู๋และชิงสุ่ยได้เดินทางไปที่สถานที่ที่พ่อแม่และสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆของนางถูกฝังเอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยได้เห็นน้ำตาของหญิงสาวผู้นี้…..
ชิงสุ่ยรู้ว่าอี่หวง กู่หวู๋นั้นต้องการเวลาในการรักษาสภาพจิตใจของนาง นางต้องการเวลาอีกสักพักเพื่อต้องการทำความเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
ในอดีตชิงสุ่ยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของเรื่องนี้แก่หมอปิศาจและคนอื่นๆ เขาคิดว่าคนอื่นๆคงทราบเรื่องนี้อีกไม่นาน แต่เขาไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย
เมื่อพวกเขาได้มาถึงหอคอยจักรพรรดิคนอื่นๆก็ได้รอคอยอยู่ข้างในแล้ว
เมื่อเขาเห็นหมอปิศาจ ลี่จี๋ และหยวน สู่ เขาก็เห็นความกังวลที่ในสายตาของพวกเขา หยวน สู่รีบก้าวเท้าออกและทักทายพวกเขา นางจับไปที่มือของอี่หวง กู่หวู๋และมองไปยังชิงสุ่ย “พวกเจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
ชิงสุ่ยรู้ว่าความรู้สึกของนางนั้นเป็นของจริง เพราะหากเขาเป็นอะไรขึ้นมานางย่อมสามารถป้องกันตนเองได้ ดังนั้นความกังวลของนางนั้นจึงเป็นของจริง
ชิงสุ่ยไม่เคยคิดที่จะคัดค้านจุดมุ่งหมายหรือเจตนานี้ ทุกๆคนก็มีความคิดที่คล้ายคลึงกันก่อนหน้านี้เหมือนกับการทำงานที่ต้องการผลตอบแทน มันเหมือนกับเรื่องธรรมดา สหายของเขาก็เหมือนกับคนที่เหมือนๆกันได้มามาอยู่กลุ่มเดียวกัน เพราะว่าพวกเขาสามารถพูดคุยกันได้อย่างดีการตกลงเรื่องต่างๆจึงเป็นไปได้ง่าย กล่าวอีกนัยหนึ่งพวกเขานั้นต่างก็มีใจที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
หากหยวน สู่รู้ถึงความคิดของชิงสุ่ย นางอาจจะรู้สึกหดหู่ บางทีตอนนี้นางอาจมีจุดมุ่งหมายของตัวเองอย่างแท้จริง เช่นความก้าวหน้าของความสัมพันธ์กับชายคนนี้ไปสุ่ระดับต่อไป….
อี่หวง กู่หวู๋รู้สึกมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้เห็นหยวน สู่ หมอปิศาจและชิงสุ่ย เมื่อนางตระหนักว่านางยังคงมีลู่หยาน ถานท่าย หยวนและคนอื่นๆของเทือกเขาปู๋โถว นางก็รู้สึกดีมากขึ้น นางไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวและมีอีกหลายคนที่เป็นห่วงนางจากใจจริง
ชิงสุ่ยจับมือของนางเอาไว้แน่นเสมอไม่ว่านางจะเผชิญกับปัญหาใดก็ตามเหมือนดังเช่นวันนี้ หากชิงสุ่ยไม่ได้อยู่ที่นี่นางย่อมไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้
อี่หวง กู่หวู๋บีบของชิงสุ่ยแน่น เมื่อมีชายคนนี้นางจะต้องการอะไรอีก? สายตาของนางสงบนิ่งมากขึ้นเมื่อนายได้มองไปยังสายตาของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยทำอาหารออกมามากมาย คนอื่นๆก็เข้ามาช่วยเขาทำอาหารด้วยเช่นกัน ห้องครัวของที่นี่มีขนาดใหญ่และกว้างขวางอย่างยิ่ง
พวกเขาทั้ง 5 คนรีบนั่งรอบๆโต๊ะทันทีเมื่อชิงสุ่ยนั่งลงข้างๆอี่หวง กู่หวู๋ หยวน สู่ก็นั่งอยู่อีกข้างติดกับอี่หวง กู่หวู๋และลี่จี๋และถัดไปเป็นหยวน สู่ ลูกของหมอปิศาจได้นอนหลับอยู่ในห้องและคนดูแลเขาอยู่
“พี่สาวหวู๋ได้จบปัญหาที่ค้างคาในใจของนางมาอย่างยาวนาน วันนี้เรามาฉลองกันเถอะ” ชิงสุ่ยกล่าวกับคนอื่นๆ
“ข้าเข้าใจ พี่สาวหวู๋จะไม่ต้องแบกรับภาระเช่นนี้จากนี้เป็นต้นไป” หยวน สู่ยิ้ม
“เจ้าจะรู้ว่าจะสหายของตนเองนั้นสำคัญที่สุดในเวลาที่ ข้าจะรักพวกเขาไปตลอดชีวิตที่เหลือของข้า” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวเบาๆ
“จงมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองนับแต่นี้เป็นต้นไป จงทำให้ตัวเจ้าเองนั้นมีความสุขมากยิ่งขึ้น”
“มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง เช่นนั้นเจ้าล่ะ? เจ้าก็เริ่มมีอายุมากขึ้นแล้วในตอนนี้ เคยมีสักวันหรือไม่ที่เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง?” อี่หวง กู่หวู๋กล่าวเบาๆขณะที่นางมองไปยังชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาเคยปรับทุกข์กับอี่หวง กู่หวู๋ในเรื่องส่วนตัวของเขาก่อนที่เขาจะบอกนางว่าเขามีความสามารถด้านใดบ้าง จากนั้นชิงสุ่ยก็ส่ายศีรษะเบาๆและกล่าวออกมาว่า “บางทีอาจจะมีผู้คนที่มีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งต่างๆให้แก่ผู้อื่นและไม่เคยมีวันไหนที่พวกเขาจะไม่มีความสุขเพราะความสุขของพวกเขานั้นคือการได้ใช้ชีวิต เหมือนกับเจ้า ท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้าคงจะได้จากไปอย่างสงบสุข”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถจัดการปัญหาของตนเองได้โดยเร็วที่สุด”
“ข้าจะทำและมันคงจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้” ชิงสุ่ยตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม แม้เขาจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ปัญหาของเขาดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จได้โดยง่าย ในตอนนี้เขามีอายุได้ 40 ปีแล้วและหากเขายังอยู่ในโลกก่อนหน้านี้ของเขาเขาจะถือเป็นคนวัยกลางคนแล้ว แต่ในโลกใบนี้ยังเหลือเวลาอีกมากมายในชีวิตของเขา
…….
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและก่อนที่ทุกคนจะได้รู้ตัวเวลาก็ได้ผ่านไปกว่า 3 เดือนแล้ว ชิงสุ่ยฝึกฝนอย่างระมัดระวังในทุกๆวันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายของเขา กายาทองคำ 9 หยางในระดับสมบูรณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในที่สุดมันก็มั่นคง
เขายังติดอยู่ระหว่างระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจและประตูของขั้นที่ 8 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล เขาไม่อาจยกระดับไปยังระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจได้แต่คนอื่นๆนั้นสามารถทำได้
อี่หวง กู่หวู๋!
เมื่อภาระในจิตใจของนางได้หายไปก็เหมือนกับว่าจิตวิญญาณของนางได้ถูกปลดปล่อย ด้วยการช่วยเหลือจากชิงสุ่ยนางสามารถยกระดับขึ้นไปยังระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจได้ภายในเวลา 3 เดือนของการฝึกฝนและได้รับพลังมากถึง 1.5 ล้านสุริยา
ในที่สุดนางก็สามารถยกระดับขึ้นได้ด้วยพลัง 500,000 สุริยา
ชิงสุ่ยไม่เคยคาดคิดว่านางจะได้เข้าสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจก่อนเขา แม้ว่ารูปแบบพยัคฆ์ของนางจะไม่ได้ยกระดับขึ้นหลังจากที่นางได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจและมันย่อมยากยิ่งนักที่จะยกระดับไปยังระดับทองคำอินทนิล แม้กระนั้นพลังของนางก็ยังคงน่ากลัวอย่างยิ่ง
ด้วยพยัคฆ์ขาวที่มีพลังมากถึง 4-5 ล้านสุริยาและพวกมันยังมีถึง 6 ตัว……
พลังในระดับขั้นที่ 2 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ…..
อี่หวง กู่หวู๋ได้รับ ‘สัตว์อสูร’ ทั้ง 6 ตัวที่อยู่ในขั้นที่ 2 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจจากรูปแบบพยัคฆ์ซึ่งทำให้นางรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง ใน 2-3 วันที่ผ่านมานางได้ไปยังตระกูลปู้หยางหลายครั้ง หลังจากที่ได้ปรึกษากับหญิงชราของตระกูลปู้หยาง นางก็ตำหนักว่านางต้องสร้างรากฐานของร่างกายให้ถูกต้องเมื่อได้ยกระดับมาสู่ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ มิฉะนั้นอาจจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะขจัดปัญหาต่างๆของระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ ขั้นที่ 1 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจนั้นอ่อนแอที่สุดแต่ก็ถือว่าสำคัญที่สุดเช่นเดียวกัน
ชิงสุ่ยนั้นช่วยเหลือนางในการบำรุงร่างกายเพื่อที่จะเสริมสร้างรากฐานให้แก่ร่างกายของนาง!
“ชิงสุ่ย ข้ามีสูตรของยาที่จะสามารถช่วยเสริมสร้างรากฐานของร่างกายที่ดี แต่ส่วนประกอบต่างๆที่ต้องการในสูตรนี้นั้นล้วนหายากอย่างยิ่ง” หยวน สู่กล่าวว่าหลังจากที่นางได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมอบสูตรการปรุงยาให้กับชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยมองไปยังสูตรของยานี้และยิ้มออกมา เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้เพราะว่าส่วนประกอบที่นางว่าหายากนั้นเขาได้มีอยู่ในครอบครองแล้ว พวกมันคือฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต ผลึกเสริมกายาและผลเบญจธาตุอีก 2 แบบ
หลังจากที่ได้อ่านสูตรของยาแล้วเขาก็เข้าใจว่าส่วนผสมต่างๆนั้นมีประโยชน์อย่างไร ผลเบญจธาตุจะสอดคล้องกับอวัยวะภายในทั้ง 5 ซึ่งเปรียบเสมือนองค์ประกอบของธาตุทั้ง 5 ฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตนั้นสามารถปลุกการเคลื่อนไหวของร่างกายและทำให้ร่างกายสดชื่นมากยิ่งขึ้นเพื่อเสริมสร้างเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย……
ชิงสุ่ยค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้อ่านสูตรของยานี้ ตรรกะของหญิงสาวผู้นี้ก็เหลือเชื่ออย่ายิ่ง นางสามารถผสมผสานคุณสมบัติทางการแพทย์ของสมุนไพรต่างๆเหล่านี้ได้อย่างลงตัวแต่แน่นอนว่าชิงสุ่ยนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถดึงมันออกมาได้ แต่หยวน สู่นั้นเป็นคนเขียนขั้นตอนในการปรุงยาต่างๆให้แก่เฒ่า
เมื่อเขาบอกว่าเขาจะทำมันเขาก็หมายความตามที่พูดเอาไว้ เนื่องยาสมุนไพรที่ใช้อาบนั้นล้ำค่าอย่างยิ่งมันจึงสามารถใช้ได้กับผู้ฝึกยุทธในทุกๆระดับ แต่จะมีข้อยกเว้นบางอย่างตำรับยาสมุนไพรที่ใช้อาบนี้ ไม่ว่ายังไงสูตรของยานี้ก็ต้องปรุงยาออกมาเป็นผงก่อนจากนั้นจึงจะนำไปละลายน้ำในสัดส่วนต่างๆที่ระบุเอาไว้
ชิงสุ่ยชอบที่จะลงมือทำในทันทีดังนั้นเขาจึงเข้าไปยังดินแดนหยกยุพราชอมตะ สูตรของยานี้ยังไม่มีชื่อแต่หยวน สู่ได้ตั้งชื่อของมันมาหนึ่งชื่อแล้ว – “บ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิต” ชิงสุ่ยไม่ได้สนใจในเรื่องชื่อของมันดังนั้นเขาจึงยินดีที่จะไม่ต้องตั้งชื่อมันด้วยตนเอง
ครั้งนี้เขาสูญเสียหญ้าอสรพิษทองคำไปมากมายเหมือนดังปกติ แน่นอนว่าฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตและผลเบญจธาตุก็สูญเสียไปมากเช่นเดียวกัน เพราะหลังจากที่การปรุงยาล้มเหลวส่วนประกอบต่างๆก็จะหายไปด้วยเช่นกัน
ผลเบญจธาตุนั้นยังคงมีอีกมากมาย เขาได้เก็บมันเอาไว้จำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรดังนั้นเขาจึงไม่คาดคิดว่ามันจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในเวลานี้
หยวน สู่ได้กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าบ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิตเมื่อใช้ไปครั้งหนึ่งแล้วจะต้องรอระยะเวลาจึงจะใช้ได้ใหม่โดยที่ระยะเวลานั้นจะขึ้นอยู่กับการดูดซึมพลังของผู้ใช้ โดยทั่วไปแล้วหากการดูดซึมพลังนี้เป็นไปได้อย่างต่อเนื่องผู้ใช้จะสามารถใช้ได้ใหม่ภายในเวลาไม่กี่วัน พวกเขาจะสามารถดูดซึมพลังได้อีกหลายครั้งในอนาคตแต่ก็คงไม่ดีเท่ากับครั้งแรก หากบ่อน้ำเบญจธาตุแห่งชีวิตถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่องมันคงจะดีกว่าหากแบ่งเป็นช่วงเวลาพักก่อนจะใช้ใหม่อีกครั้ง
ติ๊ง!
หลังจากที่ดิ้นรนมากกว่า 1 เดือนในที่สุดเขาก็ปรุงยานี้ได้สำเร็จ ชิงสุ่ยมองไปที่ก้นของหม้อกลั่นยาเหล็กทองคำประกายเพลิงที่มีผงสีเขียวอ่อนประมาณ 1 กำมือ มันส่งกลิ่นแปลกๆออกมาเมื่อดมแล้วรู้สึกราวกับมันกระตุ้นให้เสพติดอย่างยิ่ง
สิ่งต่างๆที่ระบุไว้ในสูตรของหยวน สู่ได้สำเร็จทั้งหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยจึงตัดสินใจที่จะตรวจสอบยานี้อย่างใกล้ชิด
เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์!