Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1435
บทที่ 1435 – ภาพหญิงโฉมงามคนที่ 11 โจมตีถึงตาย
ความรู้สึกอันนุ่มสบายเกือบทำให้ชิงสุ่ยลืมกล่องสมบัติ โชคดีที่เขาใช้มืออีกข้างดึงมันมาอย่างสุดแรง
เมื่อพวกเขาเข้าไปในประตูหิน ประมุขอสูรก็รีบถอยออกจากชิงสุ่ยทันที เมื่อเธอถอยไป เขาได้กลิ่นหอมจางๆของเธอบนใบหน้าของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าความทรงจำของเขาตอนโลงศพแก้วจะแจ่มชัด แต่ความทรงจำเหล่านั้นก็เทียบไม่ได้กับในปัจจุบัน เช่นนั้นความรู้สึกของเขาตอนนี้ย่อมดีกว่าความทรงจำในอดีต
เมื่อชิงสุ่ยและประมุขอสูรผ่านประตูหินเข้ามา ชายชราทั้งสามก็รีบวิ่งมาทางพวกเขา มิหนำซ้ำพวกเขายังรวดเร็วมาก อย่างไรก็ตามประมุขอสูรได้ใช้กระบี่คู่ชะโลมเลือดในมือของเธอเพื่อป้องกันการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
โฮก!
ในเวลาเดียวกันอสูรศิลายักษ์ก็ฟื้นตัว สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของมันคอยปกป้องกล่องสมบัติและประตูด้านหลัง ตอนนี้กล่องสมบัติห่ายไปและมีคนสองคนผ่านประตูหินไปแล้ว อสูรศิลาโกรธจัดมาก
ช่างเป็นเรื่องที่โชคร้ายของชายชราทั้งสามที่พุ่งไปยังประตูหลังอสูรศิลา มีเสียงคำรามดังขึ้น ขณะที่ปราณสีเทาถูกปล่อยออกมาจากร่างของอสูรศิลา
ปัง
เกิดเสียงบางอย่างดังขึ้น มันเป็นการระเบิดโดยตรงๆที่ชายชราทั้งสาม พวกเขาถอยกระเด็นไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตามแรงปะทะทำให้ทั้งสามอาเจียนออกมาเป็นเลือด ทั้งสามได้รับบาดเจ็บสาหัส
…
ประมุขอสูรค่อยๆมองไปที่ชิงสุ่ย ใบหน้าของเธอไม่มีความรู้สึกใด ชิงสุ่ยไม่สามารถมองความคิดของเธอออก เธอโกรธไหม? มันไม่ได้ดูเป็นเช่นนั้น บางทีอาจจะมีความสุข? นั่นก็ไม่ใช่อย่างแน่นอน
“ข้าเคลื่อนไหวมาไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว มันช่วยไม่ได้ที่พวกเราต้องตัวติดกัน ข้าไม่อยากจะตำหนิเจ้า” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
ขณะที่ได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย ประมุขอสูรก็กำหมัดเอาไว้แน่น อย่างไรก็ตามเธอมองไปรอบๆโดยไม่ตอบกลับคำพูดของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยส่ายหัว เขายังคงไม่สามารถทำให้อารมณ์ของเธอแปรเปลี่ยนไปได้ เช่นมีความสุข โกรธ เดือดดาล และอื่นๆ… แม้ว่าเธอจะสูญเสียการควบคุมอารมณ์สักเล็กน้อย เขาก็จะไม่ติดใจ สิ่งที่เขากลัวคือเธอจะอยู่อย่างไร้อารมณ์เช่นเคย ถ้าเวลานี้เธอสูญเสียการควบคุมอารมณ์และทุบตีชิงสุ่ย เขาจะมีความสุขอย่างมาก
นี่เป็นการปล่อยตัวไปตามอารมณ์ โดยไม่ต้องเปิดหัวใจของเธอ ไม่มีทางที่เขาจะเข้าใจเธอได้ ถ้าเขาล้มเหลว มันก็ไม่เป็นไรและเขาจะพยายามลองอีกครั้ง ชิงสุ่ยหยุดคิดและมองดูรอบๆ ตอนนี้พวกเขาเข้ามาในวิหารลึกขึ้น
มันคล้ายกับวิหารชั้นก่อนหน้านี้ แต่มันใหญ่กว่าเล็กน้อย สถานที่แห่งนี้มีอสูรศิลาขนาดพอกัน อย่างไรก็ตามมันมีรูปร่างเหมือนหมาอสูร ในความเป็นจริงมันเป็นหมาอสูรสามเศียร
ร่างกายของมันเป็นสีดำสนิท มันยืนอยู่ห่างไกลจากพวกเขาและยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับ ยิ่งไปกว่านั้นหากมีสิ่งมีชีวิตได้ย่างกรายเข้าไปใกล้การโจมตี มันจะจัดการและทำลายทิ้ง ในทางกลับกัน ถ้าหากไม่ได้อยู่ในระยะการโจมตี แม้ว่าจะโยนสิ่งของใส่มัน มันก็จะไม่แสดงปฏิกิริยาใด หากโยนสิ่งมีชีวิตเข้าไป มันก็ย่อมที่จะจู่โจม
เพียงแค่ไม่โยนสิ่งที่มีชีวิต!
ชิงสุ่ยดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง การเอากล่องสมบัติมาต้องใช้วิธีอื่นและแม้มันจะไม่สำเร็จ มันก็ยังคุ้มค่าที่จะลอง
พวกเขาได้รับกล่องสมบัติมาแล้วหนึ่งอันและตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีเพื่อจะดูว่าอะไรอยู่ข้างใน กล่องสมบัติไม่ใหญ่มาก มันยาว 2 เมตร กว้างประมาณ 2 ฟุต และสูง 1 ฟุต
นี่ถือได้ว่าเป็นกล่องขนาดเล็กเท่านั้น
“มาเถอะ พวกเราควรจะดูว่าอะไรอยู่ข้างใน” ชิงสุ่ยมองไปที่ประมุขอสูรและกล่าว
สำหรับเธอ ชิงสุ่ยรู้สึกพ่ายแพ้เล็กน้อย ทุกครั้งที่เขาเห็นใบหน้าที่เย็นชาและสง่างาม คำพูดบางคำจะหลุดออกมาจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ
ประมุขอสูรดูเหมือนจะสนใจเช่นกัน เธอไม่ได้ปฏิเสธและเดินเข้าไปใกล้กล่องสมบัติ
มีขอบหินอยู่ไม่ไกล ความสูงของมันประมาณเอวของคน มันสามารถใช้วางกล่องได้อย่างพอดี
มันเป็นกล่องที่ดูโบราณ มันเก่าแก่มาก แต่มันไม่สามารถซ่อนความสง่างามเอาไว้ได้
การเปิดกล่องใช้ขั้นตอนไม่มาก ข้างในเป็นม้วนกระดาษและหนังสือ อาจเป็นคล็ดวิชาการต่อสู้ หนังสือฝังทองคำไว้ที่ขอบ มันดูฟุ่มเฟือยเกินเหตุ อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยตกใจเมื่อเห็นม้วนกระดาษ
ภาพหญิงโฉมงาม!
ภาพหญิงโฉมงามอีกอันหนึ่งและนี่เป็นภาพที่สิบเอ็ดแล้ว เขาไม่ได้พบเจอมันมานาน ชิงสุ่ยปิติยินดี เขาสงสัยว่าเขาจะรู้ว่าเป็นใครที่อยู่ในภาพ
ชิงสุ่ยคลี่ม้วนกระดาษออกอย่างช้าๆ
เขาเห็นหญิงผู้ผอมและสูงในชุดหงส์เพลิงทองคำ จากบนลงล่าง มีหงส์เพลิงทองคำสองตัวที่สดใสและดูมีชีวิต ผมของเธอมัดเกล้าสูงและดูเข้ากับคออันเรียวขาวที่ทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น
ชุดของเธอค่อนข้างหลวมและไม่ได้ปกปิดส่วนเว้าโค้งที่มีเสน่ห์มากนัก ชิงสุ่ยหลงเสน่ห์ไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
มู่ชิง!
เธอเป็นมู่ชิง ชิงสุ่ยมีความสุขและภาคภูมิภายในหัวใจ เธอเป็นผู้หญิงของเขาและแน่นอนว่าเป็นภรรยาของเขา
แม้ว่าชิงสุ่ยไม่ได้คิดว่าเธอเป็นนางฟ้าเช่นเดียวกับประมุขอสูร แต่ความสง่างามจากภายในของเธอก็ให้ความรู้สึกที่คล้ายกัน
ในขณะเดียวกันเมื่อชิงสุ่ยกำลังภาพเขียน ประมุขอสูรก็มองเช่นกัน แต่เธอไม่ได้พูดอะไร
“ภาพนี้ ข้าเก็บมันไว้เองได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยถามประมุขอสูร
“กล่องสมบัตินี้มันเป็นของเจ้า” ประมุขอสูรกล่าวตามตรง
“ข้าจะให้ภาพเขียนบางอย่างกับเจ้า เจ้าต้องการหรือไม่?” ชิงสุ่ยคิดเล็กน้อยและถาม
“ข้าไม่ต้องการมัน!” ประมุขอสูรกล่าวอย่างรวดเร็ว
“จะเป็นอย่างไรหากมันเป็นภาพเขียนของเจ้า?” ชิงสุ่ยนำภาพเขียนออกมาและส่งไปให้ประมุขอสูรโดยตรง
สำหรับความสามารถในการเขียนภาพของชิงสุ่ย ด้วยขั้นจิตวิญญาณมันไม่สามารถแยกออกได้เลยระหว่างฝีมือของเขากับภาพหญิงโฉมงาม
นี่เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยได้วาดเมื่อเร็วๆนี้ ภาพเขียนแต่ละชิ้นมีการแสดงออกที่แตกต่างกัน
ประมุขอสูรไม่รู้จะทำอย่างไร เธอได้แต่ยืนมือออกไปและรับมัน เธอไม่เคยเห็นภาพเขียนของตัวเอง แม้กระทั่งผู้ที่เคยเห็นเธอก็ไม่สามารถวาดมันออกมาได้ นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเธอเป็นเช่นไร เธอมักจะสวมผ้าคลุมหน้าหรือหมวกไม้ไผ่
เธอไม่ค่อยใช้กระจก เมื่อเห็นภาพเขียนของตัวเองอย่างกะทันหันมันเหมือนกับการพบคนแปลกหน้า เธอไม่ได้เห็นใบหน้าของตัวเองมาเป็นเวลานานแล้ว เธองดงามอย่างเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด
เธอมองไปทีละส่วน เธอรู้ว่าสิ่งเหล่านี้วาดโดยชิงสุ่ย ความเชี่ยวชาญด้านการเขียนภาพของเขาสูงมาก เธอสามารถบอกได้ในทันที
เมื่อประมุขอสูรมองดูจนเสร็จ เธอเงยหน้าขึ้นและเพียงแค่มองชิงสุ่ย เขาไม่สามารถอ่านความคิดของเธอออก
น่าปลาบปลื้ม?
ไม่มีอะไร
อารมณ์ไหน?
ไม่ชอบ
……
“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้วาดภาพข้าอีกต่อไป ข้าจะยึดมันเอาไว้” ประมุขอสูรกล่าวและเก็บภาพไป
ชิงสุ่ยมองไปที่เธออย่างตกตะลึง เขาคิดถึงปฏิกิริยาตอบกลับของเธอที่แตกต่างกันถึง 800 แบบ แต่แบบนี้ไม่ได้อยู่ในการคำนวณของเขา
ชิงสุ่ยหมดคำพูดเมื่อมองดูหนังสือเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่ฝังทองคำไว้ที่ขอบ คำที่ถูกเขียนอยู่บนปกของหนังสือเขียนไว้ว่า ‘โจมตีถึงตาย’ ชิงสุ่ยหยิบมันขึ้นมาและเปิดดู หนังสือมีเพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ
โจมตีถึงตายเป็นการเสริมพลังโจมตี มันสามาถเพิ่มพลังโจมตีให้กับเคล็ดวิชาการต่อสู้ได้ เช่นเดียวกับทักษะสังหารไร้ปรานี มันสามารถใช้ได้เพียงวันละครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นไม่สำคัญว่าเป็นการโจมตีทางกายภาพหรือจิตวิญญาณ มันจะยังคงเสริมพลังให้ การเพิ่มพลังขึ้นอยู่กับระดับของการฝึกฝน
ในหนังสือบอกว่าการฝึกฝนจนไปถึงระดับที่สูงขึ้นไม่ได้เพียงแค่ช่วยเพิ่มการโจมตี อย่างไรก็ตามระดับที่สูงขึ้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกฝน
ชิงสุ่ยมองไปมันครั้งเดียวและส่งให้ประมุขอสูร “นี่สำหรับเจ้า”
“ไม่จำเป็น ข้าได้จดจำมันไว้หมดแล้ว” ประมุขอสูรส่ายหัว
“แม้ว่าเจ้าจะจดจำมันได้ ข้าก็จะมอบมันให้เจ้า ข้าจะเอาของชิ้นอื่น ดังนั้นถือว่านี่เป็นของที่ระลึก” ชิงสุ่ยกล่าวโดยไม่ลังเลและส่งมันให้กับประมุขอสูร
ประมุขอสูรมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งทำตัวออกนอกหน้า อย่างไรก็ตามเธอพบว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับเขา ไม่มีใครเคยทำแบบนี้ต่อหน้าเธอ
เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงด้านดีๆให้เธอเห็น
ประมุขอสูรยืนมือกลับมาพร้อมหนังสือโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ชิงสุ่ยรู้สึกโล่งใจ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอคิดอย่างไร มันอาจจะไม่ใช่ความสุขหรือผิดหวัง แต่มันก็ก้าวหน้าขึ้น
อันที่จริงแล้วชิงสุ่ยไม่ค่อยมั่นใจว่าเขาจะกล้าทำเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะภาพเขียน มีโอกาสสูงที่เธอจะทุบตีเขา โชคดีที่เธอไม่มีกะจิตกะใจจะทุบตีเขาเพราะภาพเขียนนั้น
ประมุขอสูรถอนหายใจอยู่ข้างใน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องถอนหายใจ
“พวกเราควรจะไปตรงนั้นและตรวจสอบสิ่งต่างๆ ข้าคิดว่าชายชราทั้งสามคงไม่สามารถเข้ามาได้อีกสักพัก ลองดูกันเถอะว่าพวกเราจะได้กล่องสมบัติกันเท่าไหร่” ชิงสุ่ยเก็บกล่องสมบัติไว้ในดินแดนหยกยุพราชอมตะและกล่าว
สถานที่แห่งนี้คล้ายกับห้องก่อนหน้า ขิงสุ่ยลองใช้เครื่องมือบางอย่างเพื่อนำกล่องสมบัติมา
หลังจากเขาก็หยิบเชือกตรึงอสูรออกมาและโยนมันไป อย่างไรก็ตามเมื่อเชือกตรึงอสูรคล้องลงบนกล่องสมบัติ มันก็ถูกตีกลับไปทันที…
ผลลัพธ์ไม่ได้เป็นไปตามที่ชิงสุ่ยคาดคิด แม้ว่าเขาจะรู้สึกหดหู่ เขาก็ยังหยิบกล่องสมบัติที่ว่างเปล่าอันก่อนหน้าออกมาและศึกษามันสักครู่ ก่อนที่เขาจะรู้ว่ามันใช้โลหะชนิดพิเศษในการทำกล่อง มันสามารถต้านทานพลังที่ผิดธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้นวัตถุดิบที่ใช้ก็แข็งแรงมาก มันเป็นวัถตุดิบที่ยอดเยี่ยม
บางทีพวกเขาคงต้องทำเหมือนเดิม แต่มันค่อนข้างเสี่ยง เขาไม่สามารถหาทางออกที่ดีกว่าได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกอสูรอัสนีคลั่งออกมา เขาต้องการดูว่าอสูรอัสนีคลั่งมีผลต่ออสูรศิลาหรือไม่
หลังจากการทดลอง ชิงสุ่ยทำได้เพียงเรียกอสูรอัสนีคลั่งกลับไปเท่านั้น อสูรศิลามีภูมิต้านทานต่อสายฟ้า