Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1469
บทที่ 1469 – จดหมายท้าประลอง ตกลงหรือไม่?
พระราชวังจอมอสูรอยู่ไม่ไกลจากนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท แต่ก็ไม่ได้ใกล้เช่นกัน ซึ่งถ้าหากออกเดินทางด้วยความเร็วสูง ระยะทางก็ถือว่าไม่ลำบากเลย ในวันที่ 2 ชิงสุ่ย ถานท่ายหลิงเยียน ฮัวรูเหม่ย ซานยู และกลุ่มตำหนักยุทธ์ ได้ออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาททันที
“ไม่เพียงแต่นิกายสาปอสูรหรอกนะ ยังมีอีกหลายนิกายที่เข้าร่วมด้วยเช่นกัน”ชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนกำลังพูดคุยกันบนหลังของวิหคเพลิงนรกานต์ ส่วนฮัวรูเหม่ยและซานยูนั่งอยู่บนงูเพลิงบรรพกาล
“แม้แต่หุบเขากระชากวิญญาณก็เข้าร่วมด้วยอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยจ้องมองถานท่ายหลิงเยียนด้วยความสับสน
“เจ้าไม่รู้หรือ?”ถานท่ายหลิงเยียนจ้องมองชิงสุ่ย
“ตั้งแต่ที่ข้าฝั่งมาดูเหมือนว่าหุบเขากระชากวิญญาณเองก็จะได้รับชิ้นส่วนของมรดกแห่งจอมอสูรด้วยสินะ? ว่าแต่มรดกแห่งจอมอสูรบนเก้ามหาทวีปแห่งนี้มีจำนวนเท่าไหร่กัน?”ชิงสุ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“โลกใบนี้กว้างใหญ่เกินไปจึงไม่มีใครรู้จำนวนที่แน่นอน แต่ข้าคาดเดาไปว่ามันจะต้องมีไม่ต่ำกว่า 4 เป็นแน่ ข้าเชื่อว่าตั้งแต่ตอนที่เจ้าได้รับมรดกแห่งเทพสงครามเจ้าย่อมรับรู้บางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง บนดินแดนแห่งเทพสงครามนั้นมีมรดกแห่งเทพสงครามนับพันชิ้น แม้ว่าบางส่วนจะสูญหายไปแล้วแต่ก็ยังเหลืออยู่มากมายนัก”ชิงสุ่ยกล่าว
“หุบเขากระชากวิญญาณเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับมรดกที่แท้จริงแห่งจอมอสูร เพราะการครอบครองมรดกแห่งจอมอสูรจึงทำให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในสี่ขุมพลังแห่งปีศาจ”ถานท่ายหลิงเยียนจ้องมองชิงสุ่ยขณะกล่าว
“น่าแปลกใจจริงๆ ทั้งๆที่พวกมันมีมรดกที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แต่กลับพยายามแสดงท่าทีราวกับคนไม่มีความแข็งแกร่ง มันทำให้ข้าคิดประมาทได้”ชิงสุ่ยระเบิดเสียงหัวเราะ
“จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการของนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆแน่”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าว
ทันใดนั้น กลุ่มของชิงสุ่ยก็เริ่มมองเห็นนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทที่อยู่ไม่ไกล
นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทตั้งอยู่บนสุดของภูเขาที่เต็มไปด้วยเมฆหมอกหนา แม้จะมองจากที่ห่างไกลก็สามารถมองเห็นความงามที่น่าทึ้งของมันได้อย่างชัดเจน
ยอดเขาสีเขียวและธารน้ำไหลสามารถพบเจอได้ทุกหนแห่งเหนือหุบเขา พืชพรรณสีเขียวชอุ่มขึ้นหนาแน่นไปทั่วพื้นที่ เพียงแค่มองดูก็รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังที่กระจัดกระจายไปทั่วผืนป่า พร้อมทั้งเสียงนกร้องอันไพเราะผสานกับเสียงธารน้ำไหลและเสียงผิวปากของใบยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกสงบสุข
ยิ่งความสามารถในการได้ยินของชิงสุ่ยนั้นสูงกว่าผู้อื่น เขาจึงรีบตรวจสอบทั่วพื้นที่ทั้งหมดและพบว่ายังไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นและไม่มีเสียงของผู้คนจากนิกายสาปอสูรหรือคนของหุบเขากระชากวิญญาณเลยแม้แต่คน และเขาก็เริ่มเห็นหญิงสาวมาปรากฏกายอยู่บริเวณทางเข้า
ทันทีที่เมื่อหญิงสาวผู้นั้นเห็นคนของพระราชวังจอมอสูรมาถึง เธอรีบมุ่งตรงมาเพื่อกล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้มทันที “ข้าดีใจเหลือเกินที่เห็นพวกเจ้ามา”
“ประมุขเฉิน เหตุใดพวกเราถึงไม่เห็นคนของนิกายสาปอสูรหรือคนของหุบเขากระชากวิญญาณอยู่ที่นี่แม้แต่คนเดียว?”ฮัว รูเหม่ยกล่าวถามทันที
“พวกมันตั้งค่าอยู่ห่างไกลจากชายแดนที่นี่ประมาณ 300 ลี้ แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีเลย พวกมันกำลังรอคอยอสูรกายเฒ่าจากนิกายของพวกมันอยู่”หญิงสาวผู้นั้นกล่าวด้วยท่าทีกังวลใจ
“อย่าได้กังวล เมื่อพวกเราผนึกกำลังกันเราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวพวกมัน” ฮัว รูเหม่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
กลุ่มของชิงสุ่ยได้หยุดพักลงบริเวณตีนเขาซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสถานที่ตั้งของนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท เพราะตามธรรมเนียมแล้วผู้ชายจะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปบนภูเขาแห่งนี้ จึงมีบริเวณหลายจุดที่ถูกสร้างขึ้นไว้สำหรับให้กลุ่มคนที่เป็นผู้ชายเข้าพัก
ซึ่งโดยปกติแล้วถานท่ายหลิงเยียนและฮัวรูเหม่ยจะสามารถขึ้นไปบนนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทได้แต่พวกเธอก็เลือกที่จะไม่ไป
ชิงสุ่ยรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง เขาและซานยูรวมถึงกลุ่มผู้คนจากตำหนักยุทธ์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการพูดคุยเรื่องราวต่างๆกัน ในกลุ่มของพวกเขายังมีคนบางคนที่มีความเจ็บป่วยแฝงอยู่ในร่างกายซึ่งทันทีที่พวกเขาพูดเรื่องราวเหล่านี้ออกมา ชิงสุ่ยก็ได้ช่วยรักษาโรคต่างๆให้กับพวกเขาอย่างง่ายดาย
ชิงสุ่ยคือคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดกับผู้คนของพระราชวังจอมอสูร อีกทั้ง เขายังเป็นผู้นำแห่งตำหนักแพทย์อีกด้วย ซึ่งตำแหน่งนี้เขาเพิ่งได้รับมอบหมายหน้าที่จับปีศาจเฒ่าเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา
ความสัมพันธ์ทางสังคมของคนกลุ่มหมอถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม ยิ่งผู้คนมีระดับสูงมากเท่าไหร่ความสัมพันธ์กับคนระดับเดียวกันก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
ชิงสุ่ยเดิมทีเขาเองก็เป็นหมอเทวดา และเป็นเจ้าปีศาจแห่งผู้คุมกฎทั้ง 12 สาขาของพระราชวังจอมอสูร อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับประมุขอสูร คนส่วนใหญ่จึงรู้ว่าชิงสุ่ยมีอำนาจมากเพียงใด แต่เรื่องความสัมพันธ์ทุกคนต่างเลือกที่จะไม่พูดอะไรก็ตามออกมา
“น้องชาย มานี่เถอะ ข้ามีค่ายกลของข้าที่อยากให้เจ้าได้ดูและอยากรู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร”ซานยูกล่าวด้วยความตื่นเต้น
รูปแบบสมรภูมิโลหิตเองก็ได้รับการแก้ไขจากชิงสุ่ยมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะต้องมีผลบางอย่างมิฉะนั้น ซานยูคงจะไม่พูดเช่นนี้
“เอาล่ะ รบกวนพี่ชายสร้างค่ายกลนั้นให้ข้าดูเถอะ”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ
ผู้คนจากตำหนักยุทธ์กว่า 100 คนรีบจัดตั้งค่ายกลขึ้นอย่างรวดเร็ว คลื่นพลังปราณพุ่งพ่านขึ้นสู่ท้องฟ้า คลื่นพลังปราณที่ออกมานั้นแหลมคมมากพอที่จะตัดเฉือนทุกสิ่งทุกอย่างให้ขาดออกจากกันได้ แม้ว่าจะเป็นพลังดั้งเดิมก็รุนแรงมากพอแล้วแต่ชิงสุ่ยก็ช่วยแนะนำตำแหน่งในการจัดเรียงเพิ่มเติม จนทำให้พลังเต่าที่อยู่ภายในระเบิดรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
ในขณะเดียวกันถานท่ายหลิงเยียนและฮัวรูเหม่ยก็กำลังเดินตรงมา ฮัวรูเหม่ยหัวเราะและพูดคุยกับถานท่ายหลิงเยียน ทุกกิริยาของทั้งสองเต็มไปด้วยความสงบนิ่งและสบายใจ
“นี่จะต้องเป็นจดหมายท้ารบที่ส่งมาจากนิกายสาปอสูรอย่างแน่นอน พวกเจ้าลองดูสิ”ฮัวรูเหม่ยส่งจดหมายท้าทายนี้ให้กับชิงสุ่ยโดยตรง
ชิงสุ่ยไม่เกรงใจรีบเปิดจดหมายอ่านทันทีก่อนจะส่งให้กับซานยู
เนื้อหาใจความนั้นง่ายดายมาก เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าพระราชวังจอมอสูรจะต้องเข้าร่วมอย่างแน่นอน พวกเขาจึงต้องการแบ่งการประลองออกเป็น 5 รอบ โดยรอบที่ 1 ถึง 4 จะเป็นการสู้กันแบบตัวต่อตัว ส่วนในรอบสุดท้ายจะเป็นการต่อสู้แบบกลุ่ม โดยมีเงื่อนไขว่าผู้คนที่สามารถเข้าร่วมได้นั้นจะต้องไม่เกิน 15 คน ซึ่งถ้าหากข้อกำหนดเหล่านี้เป็นที่น่าพึงพอใจ ก็ถือว่าเป็นการตกลง แต่ถ้าหากไม่ก็ถือว่าตกลงทำสงครามกัน
ถานท่ายหลิงเยียนและฮัวรูเหม่ยรับรู้เรื่องเหล่านี้แล้วเพราะทั้งสองคนได้พูดคุยกับนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท แต่ทั้งสองต้องการพูดคุยตกลงกับชิงสุ่ยและคนอื่นๆก่อน และจะได้ตัดสินใจพร้อมๆกัน