Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - ตอนที่ 1481
บทที่ 1481 – ความบังเอิญ? นางเป็นผู้ที่ได้รับมรดกของจิ้งจอกเทวะ?
การประลองในระหว่างงานแต่งเป็นประเพณีที่นิยม ตระกูลหลินเป็นตัวแทนของฝ่ายหญิง ส่วนตระกูลหยินเป็นตัวแทนของฝ่ายชายผู้ที่ต้องการจะแต่งงานกับหญิงสาวตระกูลหลิน ทั้งสองตระกูลจะส่งคนขึ้นไปประลองกันบนสนาม
แม้ว่ามันจะเป็นพิธีการและผลของการต่อสู้สุดท้ายก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงเพราะในท้ายที่สุดหญิงสาวจากตระกูลหลินก็ยังคงแต่งงานกับคนตระกูลหยิน มันถือเป็นเวทีแห่งการแสดงฝีมือของคนรุ่นเยาว์ในตระกูล สนามประลองถูกจัดเตรียมเอาไว้ไม่ไกลและสูงประมาณครึ่งหนึ่งของคฤหาสน์ นับเป็นมุมมองที่ดีสำหรับผู้ชม
ทุกคนหันไปทางสนามประลองอย่างตื่นเต้น ผู้ที่ขึ้นไปบนสนามคนแรกคือคนรุ่นเยาว์ของตระกูลหลิน เขายังเด็กมากและดูเหมือนจะเป็นต้นกล้าที่เติบโตได้อย่างยอดเยี่ยม
“ข้าคือ หลิน เย่ จากตระกูลหลิน สำหรับรอบแรก ข้าขออนุญาตเป็นผู้ที่ขึ้นมาสร้างความรื่นรมย์ให้กับทุกท่าน พี่น้องจากตระกูลหยินจะก้าวขึ้นมาประลองกับข้าหรือไม่?” ชายหนุ่มมองไปรอบๆขณะที่เขาถามอย่างสุภาพ
“ข้าเอง ข้ามีนามว่า หยิง เฟิง” เสียงของคนรุ่นเยาว์ดังขึ้นขณะที่ชายหนุ่มร่างกายแข็งแรงปรากฏตัวบนสนามและประกาศชื่อของเขาให้ทุกคนทราบ
พวกเขาทั้งหมดเป็นคนรุ่นเยาว์ของตระกูล ผู้ที่นั่งอยู่เบื้องล่างเป็นเหล่าผู้อาวุโส นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก
สำหรับ 2 คนแรก แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาจะยังไม่แข็งแกร่งนัก พวกเขาก็ต่อสู้ได้อย่างน่าทึ่ง มันไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงทำให้การต่อสู้ดูน่าสนใจ ตราบเท่าที่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ มันก็สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นและเลือดลมสูบฉีดได้
ชายหนุ่มทั้งสองต่อสู้กันได้อย่างทัดเทียมและดูมีชีวิตชีวามาก
ท้ายที่สุดคนรุ่นเยาว์จากตระกูลหยินพลาดท่าและพ่ายแพ้ไป
หลังจากนั้นมีคนรุ่นเยาว์จากตระกูลหยินจำนวนนิดหน่อยที่ขึ้นไปต่อสู้ตามลำดับ พวกเขาล้มคนจากตระกูลหลินได้บางส่วนและแพ้ซะเป็นส่วนใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานก็ผ่านไปมากกว่าสิบคนแล้วที่ขึ้นไปบนสนามประลอง
ตอนนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งจากตระกูลหลินได้จัดการสมาชิกของตระกูลหยินไปแล้วถึง 4 คน ตามกฏเขาควรที่จะลงไปพัก แต่จากการแสดงออก ชายคนนี้ดูเหมือนกระตือรือร้นที่จะอยู่ต่อ
ชิงสุ่ยรู้สึกสนใจขณะที่เขามองชายหนุ่มบนสนามประลอง ชายหนุ่มคนนี้น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ชายหนุ่มอยู่ในระดับปราณนักบุญพิโรธขั้นสูงสุด
เป็นไปไม่ได้ที่จะมีระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจและปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ทุกที่ จากที่ชิงสุ่ยเห็น ผู้คนที่นี่อย่างมากสุดก็อยู่ในระดับปราณจักรพรรดิ สำหรับชายหนุ่ม ระดับปราณนักบุญพิโรธก็ถือว่าสูงมากในหมู่พวกเขาแล้ว
ชิงสุ่ยจ้องไปที่ชายคนหนึ่งจากตระกูลหยินตรงตำแหน่งเก้าอี้ของผู้นำตระกูล ชายชรามีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าและพูดคุยกับคนรอบตัวเขา เขาไม่ได้ชำเลืองมองดูการต่อสู้เลย
กลับกันชายชราจากตระกูลหลินที่คุยกับชายชราตระกูลหยินนั้นมองไปยังสนามประลองบางเป็นครั้งคราวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
ตอนนี้มีหลายคนกำลังมองดูการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น ทุกคนเห็นได้ชัดเจนว่าคนจากตระกูลหลินกำลังมีความสุขที่ได้ลงมือใส่คนตระกูลหยิน โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนควรปฏิบัติตามกฏระเบียบ แต่ตระกูลหลินดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจที่จะทำตามกฏ
“ข้ายังสู้ได้อีก ข้าสงสัยว่าพี่น้องจากตระกูลหยินยังคงต้องการที่จะขึ้นมาสู้อีกหรือไม่? ถ้าหากไม่มีใครแล้ว การประลองจะจบลงทันที” ชายหนุ่มจากตระกูลหลินหัวเราะขณะยืนอยู่บนสนามประลอง
ฉากนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจ แม้ว่าหญิงสาวตระกูลหลินของพวกเขาต้องแต่งงานกับคนตระกูลหยิน พวกเขาก็ต้องการมีอำนาจที่เหนือกว่าบนสนามประลองและแสดงให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีใครจากตระกูลหยินมีความสามารถเพียงพอที่จะทำให้พวกเรายอมรับ
“จบการต่อสู้? ได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเจ้ากำลังพยายามที่จะแสดงถึงความเหนือกว่าหรือกำลังคิดสิ่งอื่นนอกเหนืองานแต่งงาน?” เสียงของหยินต่งดังขึ้น มันฟังดูสงบมาก
เขาเป็นขยะไร้ค่าของตระกูลหยิน คุณชายสามนามหยินต่งกล่าวคำพูดที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะสงบ แต่ทุกคนก็สามารถรู้ถึงเจตนาที่อยากต่อสู้ของเขา
“หยินต่ง เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าต้องการที่จะขึ้นมา? ปล่อยให้มันจบเถอะ การแต่งงานได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว ทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่าตระกูลของพวกเราทั้งสองแข็งแกร่ง” หลินชาเป็นชายหนุ่มที่อยู่บนสนามประลอง เขาจ้องมองหยินต่งด้วยความดูถูกขณะพูด
“ฮ่าๆๆ พวกเจ้านั้นไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ตัวตลก” ขณะที่หยินต่งกล่าว เขาก็ปรากฏตัวขึ้นบนสนามประลอง
การกระทำของหยินต่งทำให้หลายคนประหลาดใจ นี่เป็นเรื่องจริงสำหรับตระกูลหยิน ตระกูลหยินไม่คาดคิดว่าผู้ที่ไร้ค่าเช่นเขาจะทำมัน เรื่องนี้ทำให้หลายคนในตระกูลหยินสงสัยว่านี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่
“เจ้ากล้าสบประมาทตระกูลของข้า หากข้าฆ่าเจ้า มันก็เป็นเพราะเจ้าทำตัวเอง” หลินชากล่าวอย่างเย็นชาและจ้องไปที่หยินต่ง
“ในมุมมองของพวกเจ้า ตระกูลหลินแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็มีบางครั้งที่ตระกูลหลินไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ โง่เง่า ตื่นซะ!” หยินต่งก้าวไปหาหลินชา ระยะห่างระหว่างพวกเขาสั้นเพียง 10 เมตร
“ตาย!”
หลินชาโกรธจริงจัง เมื่อถูกด่าว่าโง่โดยคนไร้ค่า เขาทนไม่ได้อีกต่อไป มันคงดีที่จะฆ่าหยินต่งในตอนนี้ มีคนมากมายจากตระกูลหลินที่โกรธเคืองและตะโกนให้หยินต่งตาย
“ฆ่ามัน! มันกล้าดูถูกตระกูลหลินของพวกเราได้อย่างไร”
“มันสบประมาทตระกูลหลินของพวกเรา? สังหารมัน!”
……
คนเหล่านี้โดยทั่วไปไม่ได้สนใจความรู้สึกของตระกูลหยิน พวกเรารู้เพียงว่าตระกูลหลินโดนสบประมาท
สีหน้าของชายชราจากตระกูลหยินยังปกติ แต่การแสดงออกบนใบหน้าของชายชรานั้นดูน่ากลัวมาก ตระกูลหลินจะเสียหน้า หากพวกเขาไม่ได้ฆ่าหยินต่ง สำหรับชายชราจากตระกูลหลินสีหน้าของเขาซีดเผือด
ตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไร แม้ว่าตระกูลหยินจะไม่สามารถเทียบกับตระกูลหลินได้ แต่พวกเขาก็เป็นตระกูลที่ทรงพลังเช่นกัน
หลินชา กวัดแกว่งกระบี่ของเขาไปทางหยินต่งด้วยความว่องไว เขาปลดปล่อยพลังระดับปราณนักบุญพิโรธจนถึงขีดสูงสุด
ปัง!
หยินต่งไม่ได้หลบเลี่ยง เขาเหยียดแขนออกไป คลื่นฝ่ามือของเขาพุ่งไปที่หน้าอกของหลินชา
หลินชาเป็นเหมือนว่าวที่สายขาด เลือดสดๆสาดกระเซ็นกลางอากาศขณะที่เขาถูกอัดลงไปกองกับพื้นอย่างจังและบาดเจ็บสาหัส โดยทั่วไปไม่มีทางที่จะสามารถรักษาเขาได้
“ข้าบอกไว้แล้วว่าเจ้ามันโง่ เจ้าเป็นแค่ตัวตลก หากเจ้าไม่โอ้อวดมากเกินไป ข้าก็คงจะไม่ลงมือกับเจ้าถึงตายเช่นนี้” คำพูดของหยินต่งออกมาอย่างเย็นชา
หลินชาจ้องมองไปที่หยินต่งด้วยความโกรธและเสียใจในสายตาของเขา เขาไม่เต็มใจยอมรับ แต่ในวินาทีนั้นด้วยอาการบาดเจ็บ เขาหลับตาลงและจากโลกนี้ไป
ทุกคนในงานแต่งงานตกตะลึง หลินชาเป็นอัจฉริยะของตระกูลหลิน เขาอยู่ในระดับปราณนักบุญพิโรธขั้นสูงสุด เพียงไม่กี่ก้าวก็จะบรรลุระดับปราณจักรพรรดิ อย่างไรก็ตามเขาถูกสังหารโดยหยินต่งด้วยการลงมือครั้งเดียว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอย่างน้อยหยินต่งน่าจะอยู่ในระดับปราณจักรพรรดิแน่นอน
เขายังเยาว์อยู่ แต่เขาบรรลุระดับปราณจักรพรรดิแล้ว…
นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งสำคัญคือการที่เขาถูกเรียกว่าขยะไร้ค่าเสมอมา แต่ผลการต่อสู้ในวันนี้ขยะเช่นเขาได้ตบหน้าทุกคนอย่างจัง
“ข้าตาฝาดไปงั้นหรือ? คุณชายสามแห่งตระกูลหยินสังหารหลินชาด้วยการโจมตีเดียว?”
“ทุกคนคงรู้สึกว่าพวกเขาสายตาไม่ดี”
“ข้าเคยเรียกเขาว่าขยะ แต่ให้ตายสิ หากเขาเป็นขยะ แล้วผู้อื่นเป็นอะไรกัน?
“ข้าเคยเรียกเขาว่าขยะต่อหน้า หากเขาจะเอาคืน ข้าคงจะเหือดหายไปแล้ว”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ แต่ไม่นานหลังจากนั้นเสียงก็ดังอึกทึกขึ้น หยินต่งยืนอยูที่นั่นราวต้นสนที่แข็งทื่อ เขาไม่ได้พูดอะไรและเพียงแค่ยืนอยู่ด้วยหัวที่ลดต่ำลง
ในขณะนั้นมีเสียงรอบข้างดังออกมา
“ประมุขหมาป่าอยู่ที่นี่!”
“หลีกทาง ประมุขหมาป่ามาแล้ว”
……
ชิงสุ่ยคิดว่าประมุขหมาป่าต้องเป็นหมาป่าทมิฬที่เขาเคยได้ยิน ตระกูลหมาป่าทมิฬอาจถือว่าเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งกว่าตระกูลหลิน โดยปกติแล้วตระกูลหมาป่าทมิฬจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆต่อตระกูลหลินหรือตระกูลหยิน
ชื่อจริงของหมาป่าทมิฬคือ เฮยหลาง เหลี่ยว เขาไม่ใช่ชายหนุ่มแต่อย่างใด ชิงสุ่ยเริ่มจดจ้องไปที่เขา เขาเป็นชายวัยกลางคนที่กำยำและแข็งแรงเหมือนวัว ดวงตาของเขาส่องประกายแสงสีเขียวอ่อน
ชิงสุ่ยเกาศีรษะ หมาป่าทมิฬมาที่นี่เพื่ออะไร? เนื่องจากไม่มีทางที่หญิงสาวตระกูลหลินจะสามารถแต่งงานกับตระกูลหมาป่าทมิฬได้ เขาตั้งใจจะทำอะไร?
ชายคนนี้อาจตกเป็นเหยื่อเช่นกัน พลังแห่งเสน่ห์ของหญิงสาวตระกูลหลินนั้นเกินกว่าจินตนาการของเขา
ประมุขหมาป่านำผู้ฝึกตนมาเกินกว่า 100 คนและเดินไปที่ด้านล่างของสนามประลองก่อนที่จะจ้องมองหยินต่งซึ่งัยงอยู่ข้างบน
“ข้าจะให้โอกาสแก่เจ้า ยกเลิกงานแต่งในครั้งนี้ซะ”
เสียงเฮยหลางเหลี่ยวหนักแน่นและมีพลังมาก
“นางเป็นภรรยาของข้า ไม่ว่านางจะดีหรือร้าย จากนี้ไปนางจะเป็นของข้าเพียงผู้เดียว มันไร้ประโยชน์ ถึงแม้ใครจะมาหยุดการแต่งงานนี้” หยินต่งเอียงศีรษะ ดวงตาของเขาแวววาวด้วยแสงระยิบระยับมองลงไปที่เฮยหลางเหลี่ยวโดยตรง
เฮยหลางเหลี่ยวหลบเลี่ยงการสบตา มีความกลัวปรากฏบนใบหน้าของเขา การจ้องมองของหยินต่งนั้นน่ากลัวมากเหลือเกิน อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เฝ้าดูอยู่ ชิงสุ่ยได้ถามคำถามไปก่อนหน้านี้และมีความตั้งใจที่จะรักษาความเป็นเพื่อนกับหยินต่งไว้ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยจากชายหนุ่ม
กลิ่นอายของเทพสงคราม
เขาต้องได้รับมรดกบางอย่างมาและนี่คือเหตุผลที่ทำไมผู้ที่เป็นขยะไร้ค่าถึงประสบความสำเร็จในวันนี้
คนเหล่านี้ไม่ทราบว่าหยินต่งแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ชิงสุ่ยรู้ มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับชิงสุ่ยที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ ตระกูลหมาป่าทมิฬไม่มีอะไรเลย พวกเขาทำได้แค่ผายลมในสายตาของหยินต่ง ดังนั้นตอนนี้หยินต่งไม่จำเป็นต้องอดทนต่อความอัปยศอดสูอีกต่อไป
ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา คนเหล่านี้เป็นเพียงมดปลวก เขาอดทนมามากพอแล้วและอาจใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงให้ทุกคนในที่นี่เห็นความจริง
ชิงสุ่ยเชื่อว่าหยินต่งต้องสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจากตัวเขาเช่นกัน ตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกผ่อนคลายมาก เขาเพลิดเพลินไปกับสุราและการประลอง
“นางเป็นผู้หญิงของข้ามานานแล้ว เจ้ายังต้องการนางอีกงั้นหรือ?” เฮยหลางเหลี่ยวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
หยินต่งไม่ได้พูดอะไร แต่สายตามองเฮยหลางเหลี่ยวเปลี่ยนเป็นเย็นชาและน่าเวทนายิ่งขึ้น
เพี๊ยะ!
เฮยหลางเหลี่ยวจับใบหน้าของเขาขณะที่เดินโซเซไปไม่กี่ก้าว คนที่ตบหน้าเฮยหลางเหลี่ยวไม่ใช่หยินต่ง แต่เป็นหลินเฟ่ย! ตอนนี้เธอดูเย็นชาและจ้องมองไปที่เขา “ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจมันอย่างแจ่มแจ้งก่อนที่เจ้าจะตายในวันนี้”