Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1501 – การมาถึงของลูกชายคนโตของเมืองหลินห่าย
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1501 – การมาถึงของลูกชายคนโตของเมืองหลินห่าย
บทที่ 1501 – การมาถึงของลูกชายคนโตของเมืองหลินห่าย
ซีฉีชารู้สึกโล่งใจ นางรู้สึกผ่อนคลายเมื่อมองไปที่ชิงสุ่ยและรู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ของนางกับชายผู้นี้นั้นเป็นกันเองยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
นางไม่เคยใกล้ชิดกับชายใดมาก่อนเวรแต่กับชายผู้นี้และนางก็รู้ได้จากประสบการณ์ของตนเองว่าผู้ที่อยู่ในตระกูลใหญ่ย่อมไม่อาจเลือกคู่สมรสของตนเองได้แต่พ่อของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อนางมาก่อน
ตระกูลซีฉีนั้นทรงพลังอย่างยิ่งดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับตระกูลอื่นๆ ด้วยความงามของนางทำให้นางนั้นเป็นตัวเลือกที่สูงมากๆสำหรับชายหนุ่มทุกคนที่อยู่ในเมืองนี้
นางรู้ได้ว่าด้วยพลังที่แข็งแกร่งของพ่อของตนเองนั้นย่อมต่อต้านเขาที่เป็นหมอที่ยังอายุน้อยอย่างแน่นอน
ความคิดของหญิงสาวนั้นเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งและบางครั้งพวกนางก็อาจจะเปลี่ยนความคิดไปได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที บางทีอาจเป็นเพราะการขาดการติดต่อแต่ในหมู่ยอดฝีมือนั้นความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงนั้นมีน้อยอย่างยิ่ง
ดังนั้นมันอาจดูไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่หญิงสาวบางคนก็อาจจะจริงจังกับเรื่องนี้
ชิงสุ่ยรู้ว่าตระกูลใหญ่ที่มีลูกสาวหลายคนมักจะมียอดจะมียอดฝีมืออยู่มากมายดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพยายามให้มากที่สุดเท่านั้น หลังจากนี้เขาจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขตนเองอย่างแท้จริง
“นั่งลงก่อนและบอกข้ามา เจ้าต้องการสิ่งใดจากข้า?” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรินชาลงในแก้วทั้ง 2 ใบ หนึ่งคือแก้วสำหรับตัวเขาเองและอีก 1 แก้วสำหรับหญิงสาว
ซีฉีชานั่งลงแล้วหยิบแก้วชาไปโดยไม่ได้มีการกล่าวขอบคุณใดๆและพูดขึ้นเบาๆว่า “ซาลาเปาที่อยู่ที่นี่ นั้นมีรสชาติที่อร่อยอย่างยิ่ง ถือว่าอร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาเลย”
ชิงสุ่ยเห็นได้ว่านางไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากในเรื่องนี้ เขาเพียงหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ตระกูลของเจ้าคงไม่ต้องการเงินทองอีกแล้วกระมัง เจ้าสามารถกินได้มากตามที่เจ้าต้องการได้เลย”
“เจ้ามันขี้เหนียวยิ่งนัก เจ้าและตระกูลสือล้วนแต่ไม่มีความมั่นใจใดๆ” ซีฉีชากล่าวและยืนขึ้น
“ข้าเองก็ไม่รู้” ชิงสุ่ยเพียงส่ายศีรษะของเขาและแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก
“ข้าประหลาดใจจริงๆที่เจ้ายังยังยอมรับเรื่องนี้?” ซีฉีชากล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ใครบอกเจ้าเรื่องนี้กัน ความจริงแล้วทุกการต่อสู้ย่อมรู้เห็นกันทั้ง 2 ฝ่าย จงอย่าพูดอะไรที่ดูถูกพลังของคนอื่นมากเกินไป” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อหญิงสาวมองมาที่เขา ชิงสุ่ยก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานางจึงกล่าวว่า “หลอกลวง”
ชิงสุ่ยยิ้ม ‘นางดูเป็นห่วงข้า ดูเหมือนนางจะมีความรักต่อข้า’
“เจ้ามันขี้เหนียวยิ่งนัก ข้าไม่เคยรู้จักคนดีๆและเจ้าก็เป็นผู้ที่รักษาท่านพ่อของข้า ข้าขี้เกียจเกินกว่าที่จะดูแลเจ้า” ซีฉีชากล่าวขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด การได้อยู่กับชิงสุ่ยทำให้นางได้ประสบการณ์ทั้งด้าน ความอาย ความกลัว ความโกรธ…
“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านหญิงมากที่มีความปราถนาดีต่อข้า” ชิงสุ่ยกล่าวขึ้นมาอย่างเฉยชา
“หืม ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะเป็นกังวลกับเรื่องนี้เลย ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่กังวลเลยว่าตัวเองจะแพ้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” ซีฉีชาหัวเราะพร้อมกับดื่มน้ำชา
สภาพจิตใจและความคิดของหญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งอย่างยิ่งและทำให้นางสามารถพูดคุยกับชิงสุ่ยได้อย่างง่าย
ชิงสุ่ยได้เห็นท่าทีของนางและรู้สึกยินดีในใจของเขา ในชีวิตนี้ของเขาสามารถเข้ากันได้ดีกับหญิงสาวหลายคนได้อย่างง่ายดาย ในอดีตที่ผ่านมามีคนบอกว่าผู้ชายที่มีความสามารถไม่เคยขาดผู้หญิงที่ดีแต่ตอนนี้เขาได้รับประสบการณ์เช่นนั้นแล้ว
……
ผู้คนมักจะกังวลเรื่องของอำนาจของพวกผู้หญิงแต่ความจริงแล้วถ้าหากจะคิดถึงหน้าที่ของพวกนางแล้วพวกนางก็ไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย หญิงสาวบางคนยังไม่กล้าแม้แต่ออกหน้ามาเอง เหล่ายอดฝีมือด้านต่างๆนั้นไม่เคยขาดหญิงสาวเลยไม่ว่าจะเป็นด้าน การร้องเพลง การต่อสู้กีฬา…
“เจ้าเป็นเจ้าของบ้านมากมายที่นี่ ให้ข้ายืมใช้สักห้องได้หรือไม่?” ซีฉีชาถามชิงสุ่ย
“เจ้าไม่กลัวงั้นหรือว่าข้าจะแอบทำอะไรท่านในยามค่ำคืน?” ชิงสุ่ยยิ้ม
“ข้ามีกรรไกรทองคำ ถ้าเจ้าอยากจะลองดูก็ได้” ซีฉีชาปรายตามองไปทางชิงสุ่ย ซึ่งทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกว่านางเย้ายวนอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นก็เลือกมาสักห้องเถิด แต่สิ่งที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นเลย” ชิงสุ่ยหัวเราะออกมาอย่างยินดีและเดินจากไป
ซีฉีชาก็เข้าใจในสิ่งที่ชิงสุ่ยพยายามจะสื่อแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
ในวันถัดมาชิงสุ่ยก็ยังคงจัดการเรื่องของตนเอง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นภายในหอคอยจักรพรรดิและตระกูลสือนั้นได้กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ชื่อเสียงของตระกูลนี้นั้นไม่ได้แย่นักแต่ก็ไม่ได้ดีด้วยเช่นกัน แต่มันก็ไม่สามารถเทียบกับหอคอยจักรพรรดิได้
ดังนั้นผู้คนจำนวนมากจึงประนามตระกูลสือ ชิงสุ่ยก็ได้เห็นเรื่องนี้แต่ก็ยิ้มและหัวเราะออกมา นี่คือผลประโยชน์ของหอคอยจักรพรรดิท่ามกลางความไม่พอใจของผู้คน
นี่เป็นเหมือนพลังที่มองไม่เห็นซึ่งสามารถอธิบายได้ในโลกก่อนหน้านี้ของเขา แม้ว่าคนพวกนี้จะไม่ได้ช่วยเหลือหอคอยจักรพรรดิโดยตรงแต่พวกเขาก็อยู่ฝั่งเดียวกันกับหอคอย
แต่ชิงสุ่ยพบว่าพลังธรรมชาตินั้นมีผลต่อพลังศรัทธาของผู้คน นั่นคือยิ่งช่วยเหลือผู้คนมากเท่าไหร่พลังธรรมชาติก็จะยิ่งทรงพลังมากยิ่งขึ้น
พลังธรรมชาตินั้นน่าเกรงขามอย่างยิ่งมันสามารถมอบพลังให้แก่ผู้ใช้ได้มากยิ่งกว่าพลังของตัวเขาเองและยังสามารถต้านทานพลังของศัตรูได้
แม้ว่ายาเม็ดพลังธรรมชาติของชิงสุ่ยนั้นจะยังไม่สำเร็จแต่ก้อนเมล็ดเจ็ดสีนอกเหนือจากพลังธรรมชาติของเขานั้นสามารรถเทียบได้กับยาเม็ดพลังธรรมชาติและพลังธรรมชาติของเขาได้เลย ไม่รู้ว่ามันจะสามารถเพิ่มพลังให้เขาได้มากเพียงใด
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมชิงสุ่ยตัดสินใจออกไปหาประสบการณ์ชีวิต การได้รับพลังแห่งศรัทธานั้นจะไม่ได้หายไปเหมือนคำพูดที่หายไปเมื่อพูดจบ เพราะหากเราช่วยเหลือใครสักคนก็จะได้ศรัทธาไปตลอดชีวิต
ในโลกใบนี้มีคนธรรมดามากมาย แม้ว่าจะเป็นคนเลวมากเพียงใดแต่ก็ยังมีความเชื่อมีศรัทธาอยู่ เราควรทำดีต่อเขา พวกเขาเป็นเพียงคนกลุ่มเล็ก นอกจากนี้ยังมีเรื่องมากมายที่สามารถจูงใจคนอื่นๆให้เป็นประโยชน์ต่อเราได้
ในยามบ่ายชิงสุ่ยได้มาถึงที่หอคอยจักรพรรดิ เขาเห็นคนหลายคนเดินตรงมาที่เขาและผู้นำของคนกลุ่มนี้เป็นชายหนุ่มรูปงามร่างสูง
คุณชายผู้สมบูรณ์แบบ?
เมื่อชิงสุ่ยเห็นชายผู้นี้เขาก็นึกถึงคำนี้ขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าคำๆนี้เหมาะสมกับชายผู้นี้อย่างยิ่ง ชายผู้นี้ดูสง่างามอย่างยิ่ง รอยยิ้มของเขาก็มีสเนห์อย่างยิ่ง ชิงสุ่ยไม่อาจหาข้อบกพร่องของชายผู้นี้ได้เลย เขารู้ได้ทันทีว่าชายผู้นี้เป็นที่ต้องการของหญิงสาวมากที่สุด
“ท่านคือท่านหมอเทวดาชิง ข้ามีนามว่าเหลียนหลิงเฟิง” ชายหนุ่มยิ้มและกล่าวกับชิงสุ่ย
‘ว๊าว เขาคือลูกชายคนโตของเจ้าเมืองหลินห่าย!’
“ท่านดูน่าสนใจอย่างยิ่ง!’
“แต่ข้ายังคิดว่าท่านหมอเทวดาชิงนั้นดูดีกว่า!”
“ลูกชายคนโตของเจ้าเมืองหลินห่ายไม่เพียงแต่รูปงามเท่านั้นแต่ยังแข็งแกร่งจนน่ากลัวอีกด้วย”
……
ในตอนนี้สถานการณ์วุ่นวายจนหาที่เปรียบไม่ได้ เหลียนหลิงเฟิงนั้นมีชื่อเสียงมากมายในเมืองหลินห่ายและเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมาย แม้แต่ผู้คนที่ไม่เคยพบเขาก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขา
ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งในตอนนี้ เขาเองก็เคยได้ยินชื่อของเหลียนหลิงเฟิงมาก่อนแต่ไม่คิดว่าชื่อเสียงของเขาจะโด่งดังมากมายถึงเพียงนี้ ชิงสุ่ยรู้สึกสนใจในเรื่องนี้และปกติแล้วเขาไม่เคยนับถือใครที่อยู่ในวัยเดียวกันเลย
ชิงสุ่ยยิ้มและยื่นมือออกไป “สวัสดี ข้ามีนามว่าชิงสุ่ย!”
ทั้ง 2 คนจับมือกันเหลียนหลิงเฟิงจับมือของชิงสุ่ยเอาไว้แน่น “ข้าได้ยินมาว่าความสำเร็จของท่านหมอเทวดาชิงด้านศาสตร์การต่อสู้นั้นลึกล้ำอย่างยิ่ง พวกเราต่างก็ถือเป็นผู้เยาว์ที่นี่ ท่านสนใจจะเล่นสนุกหน่อยหรือไม่?”
ชิงสุ่ยเคยได้ยินชื่อเสียงของลูกชายคนโตของเจ้าเมืองหลินห่ายมาก่อนแต่เขาไม่ได้ตัดสินคนเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เขาเองก็น่าจะทรงพลังมากเช่นกันไม่เช่นนั้นคงจะไม่เป็นที่สนใจของผู้คนขนาดนี้
ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าเพียงแค่การพบกันครั้งแรกพวกเขาก็จะพูดถึงการประลองกันแล้ว…
“ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ” ชิงสุ่ยส่ายศีรษะของเขาและดึงมือของตนเองออกมาจากมือของเหลียนหลิงเฟิง
ดวงตาของเหลียนหลิงเฟิงเปล่งประกายขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เขามองมาที่ชิงสุ่ยและถามขึ้นว่า “ท่านกลัวงั้นหรือ?”
“กลัว? ข้าไม่ได้กลัวสิ่งใด” ชิงสุ่ยยิ้ม
“หากท่านไม่อยากประมือกับข้า เช่นนั้นข้าก็ต้องขอให้ท่านออกห่างจากท่านหญิงซีฉี” เหลียนหลิงเฟิงยิ้มแต่คำพูดของเขานั้นเย็นชาอย่างยิ่ง
ชิงสุ่ยเข้าใจได้ถึงการมาของเขาแล้วในตอนนี้ นี่ต้องเป็นเพราะซีฉี หากเขาถามเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาชิงสุ่ยก็ยินดีที่จะตอบเพราะชิงสุ่ยรู้สึกก่อนหน้านี้ว่าชายผู้นี้ต้องเป็นคนที่ดีอย่างยิ่ง นอกจากนี้เขายังไม่ค่อยสนใจความคิดเห็นของผู้อื่นแต่ในตอนนี้เขาค่อนข้างรังเกียจเหลียนหลิงเฟิงเพราะเรื่องนี้
“ที่นี่คือหอคอยจักรพรรดิ ตอนนี้ที่นี่ไม่ต้อนรับท่าน ข้าร้องขอให้ท่านโปรดออกไปโดยดี” ชิงสุ่ยยิ้มและโบกมือให้เหลียนหลิงเฟิงราวกับกำลังปัดแมลงวัน
“เจ้ากล้า? เจ้ายังเป็นผู้ชายหรือไม่? ลูกผู้ชายต้องแก้ปัญหากันแบบลูกผู้ชาย หากเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะไปทันที แต่หากเจ้าแพ้ จงออกห่างจากท่านหญิงซีฉีนับแต่นี้เป็นต้นไป” เหลียนหลิงเฟิงกล่าวพร้อมกับหัวเราะ
“ไม่ว่าข้าจะเป็นผู้ชายหรือไม่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาบอกข้า ไม่เคยมีคำพูดที่บอกว่าเสียงของใครดังกว่าจะเป็นชายที่ดีกว่า และข้าก็เบื่อหน่ายที่จะเล่นกับเจ้า ข้าไม่มีเวลาแล้ว จงอย่ามารบกวนข้า ไปซะ!” ชิงสุ่ยกล่าวราวกับว่าเขาไม่สนใจชายที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้
“ลืมไปซะเถอะเจ้าไก่อ่อน เป็นไปไม่ได้ที่ท่านหญิงซีฉีผู้ทรงพลังจะได้เคียงคู่กับเจ้าไก่อ่อนแบบเจ้า” เหลียนหลิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกลียดชัง
ชิงสุ่ยยกเข็มเงินของเขาขึ้นมาและแทงไปที่ก้นของชายหนุ่ม “จะพูดอะไรก็ต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองด้วย เพราะเจ้ายังดูสุภาพในตอนแรก ข้าจึงจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งแต่หลังจากนั้นความรู้สึกนั้นก็หายไปราวกับไม่มีสิ่งใดเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตระหนกเขาเริ่มคิดไปถึงพวกหมอคนอื่นๆและหมอที่สามารถสังหารผู้คนได้โดยที่ไม่มีเลือดสักหยด พวกเขาไม่ต้องใช้มีดแต่มีวิธีการมากมายที่สามารถทำให้คนตายได้ ทันใดนั้นเหงื่อที่เย็ยเยียบของเขาก็ไหลออกมา “เจ้าทำอะไรกับข้า? เจ้าทำอะไรกับข้าไป!”
เสียงของชายหนุ่มสั่นและหวาดกลัวอย่างยิ่ง ราวกับหญิงสาวที่แก่ชรา…
“เจ้าทำอะไรกับข้าในตอนนนี้ ข้าขอร้องให้เจ้าช่วยรักษาข้า”
“มันไม่อาจรักษาได้ และข้าก็จะไม่ช่วยรักษา” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มและเดินจากไป
“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ข้าจะทำลายหอคอยจักรพรรดิแห่งนี้ให้พินาจไป” น้ำเสียงของเหลียนหลิงเฟิงนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง ท่าทีที่แสดงออกมาของชิงสุ่ยในตอนนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง สิ่งใดกันที่ทำให้เหลียนหลิงเฟิงต้องทนทุกข์ทรมาน?
“ไม่ว่ายังไงข้าก็อยากให้ตระกูลเหลียนมาพบกับข้าที่นี่และเจ้า เหลียนหลิงเฟิง เจ้าจะต้องมาเป็นคนรับใช้ที่นี่” ชิงสุ่ยหยุดเดินและกล่าวขึ้น