Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1667 - ผลเต๋าแห่งความโกลาหลขั้นแรกเริ่ม การเปลี่ยนแปลงของถานท่าย หลิงเยียน
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1667 - ผลเต๋าแห่งความโกลาหลขั้นแรกเริ่ม การเปลี่ยนแปลงของถานท่าย หลิงเยียน
AST
ชิงสุ่ยยิ้มและพยักหน้าให้กับเต่าเฒ่าพร้อมกับเดินไปดูถานท่ายหลิงเยียน ในตอนนี้ถานท่าย หลิงเยียนกำลังได้รับทัณฑ์สวรรค์พินาศ นางลอยอยู่กลางอากาศขณะที่พยายามควบคุมพลังในร่างกายของตนเอง
สายเลือดแห่งจอมอสูรภายในร่างกายของถานท่ายหลิงเยียนที่ชิงสุ่ยรู้สึกกังวลมากที่สุด เขากลัวอย่างยิ่งว่าสายเลือดแห่งจอมอสูรในร่างกายของนางนั้นจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ หากเป็นเช่นนั้นมันก็คงไม่ใช่เรื่องดีวำหรับนางแม้ว่านางจะสามารถเข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ
แต่นี่เป็นเพราะผลผลึกวชิระในตอนนี้ด้วยพลังของถานท่าย หลิงเยียนการเข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์คงอีกไม่นานและหากสายเลือดแห่งจอมอสูรภายในร่างกายของนางตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
ผลผลึกวชิระนั้นเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์และโลกและน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าเป็นอันตรายผลไม้ศักดิ์สิทธิ์น่าจะสามารถข่มสายเลือดแห่งจอมอสูรภายในร่างกายของนางเอาไว้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่เหมือนกับผู้ที่ได้ครอบครองมรดกแห่งจอมอสูรคนอื่นๆ นางเองก็ยังคงหวังว่าจะสามารถจำกัดสายเลือดแห่งจอมอสูรภายในร่างกายของตนเองออกไปได้
ความจริงแล้วมีกลุ่มของผู้ที่ได้ครอบครองมรดกแห่งจอมอสูรในโลกนี้ที่สามารถรักษาพรสวรรค์โดยกำเนิดของตนได้อย่างเต็มที่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาเองแต่พวกเขาส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบจากสายเลือดแห่งจอมอสูรและมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถรักษาความเป็นตัวเองเอาไว้ได้
ในตอนนี้สัตว์อสูรและผู้คนที่อยู่รอบๆตัวของชิงสุ่ยต่างก็ได้เข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้วซึ่งแม้แต่ชิงสุ่ยเองก็ยากที่จะเชื่อ
แน่นอนว่าสิ่งที่สำหรับที่สุดคือก่อนหน้านี้เหล่าหญิงสาวและสัตว์อสูรนั้นเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แต่ในกรณีของอสูรแมงมุมมังกรเก้าเศียรนั้นถือเป็นความประหลาดใจครั้งใหญ่
ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจดีเมื่อเห็นเมฆสายฟ้าเริ่มก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าเขากลัวอย่างยิ่งว่าเมื่อถานท่าย หลิงเยียนยกระดับขึ้นนั้นจิตใจของนางจะเปลี่ยนไป
ในตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนนั้นแตกต่างจากก่อนหน้านี้ไปมาก หากมันเปลี่ยนไปหลังจากที่นางยกระดับขึ้นในครั้งนี้ชิงสุ่ยคงไม่รู้จะทำเช่นไรดี
ทันใดนั้นแสงสีแดงก็เปล่งประกายออกมาจากร่างกายของถานท่ายหลิงเยียนในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างของนางเปล่งแสงสีแดงออกมา มันดูน่ากลัวและกระหายเลือดเป็นอย่างยิ่ง ในตอนนี้ชิงสุ่ยตกตะลึงไปในทันที
เขาไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อนมันดูน่ากลัวอย่างยิ่งราวกับว่าความชั่วร้ายภายในร่างกายถูกขึ้นมาและหัวใจของชิงสุ่ยเต้นไม่เป็นจังหวะในตอนนี้ สายฟ้ายังคงผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง
ถานท่ายหลิงเยียนยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ราวกับว่าร่างกายของนางทรงพลังจนสายฟ้ามิอาจทำอะไรได้ พลังของนางในตอนนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากลัวและชิงสุ่ยก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ตู้ม!
ทันใดนั้นร่างกายของถานท่ายหลิงเยียนก็ระเบิดพลังออกมาและสายฟ้าที่ผ่าลงมาในตอนนี้ก็หายไปทันที มีเพียงหญิงสาวที่ดูเย็นชาและงดงามยืนตรงนั้น กลิ่นอายของนางนั้นช่างเย็นชาและเฉียบคมเป็นอย่างยิ่ง
ดวงตาของนางได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วแต่มันก็ยังคงดูเย็นชาอยู่ในตอนนี้มีแสงสีทองจางๆปรากฏขึ้นบนร่างกายของนาง แสงสีทองนี้มันเหมือนกับพระอาทิตย์ในฤดูหนาวไม่เพียงแต่ทำให้กลิ่นอายของถานท่าย หลิงเยียนเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลแต่ดูเหมือนว่ามันจะส่งผลต่อชิงสุ่ยและเต่าเฒ่าด้วยเช่นกัน
นางมองมายังชิงสุ่ยและเต่าเฒ่าจากนั้นนางก็มาปรากฏตัวข้างๆเขาในพริบตาพร้อมกับรอยยิ้ม
ชิงสุ่ยตกตะลึงเป็นครั้งก่อนหน้านี้เขากังวลว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากเกินไป นี่คงเป็นความสามารถของแสงสีทองนั่น ชิงสุ่ยตรวจสอบมันด้วยเคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ของเขาและเข้าใจได้ทันที
ผลผลึกวชิระมันเกิดขึ้นเพราะผลผลึกวชิระ นางได้เข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้และสิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกยินดีนั่นก็เพราะจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนางนั้นคือผลเต๋าแห่งความโกลาหลขั้นแรกเริ่ม มันสามารถช่วยควบคุมสายเลือดแห่งจอมอสูรในร่างกายของนางได้
ชิงสุ่ยรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งแม้ว่าถานท่าย หลิงเยียนจะไม่ได้ไปที่นิกาย 5 พยัคฆ์อมตะแต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลมากที่สุด สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดนั่นคือสายเลือดแห่งจอมอสูร เขากลัวว่าสายเลือดแห่งจอมอสูรของนางจะไม่อาจควบคุมได้ หากเป็นเช่นนั้นขึ้นมาเขาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
สายเลือดแห่งจอมอสูรนั้นทรงพลังอย่างยิ่งแต่มันก็สามารถควบคุมได้แต่ก็มีคนไม่มากนักที่สามารถทำได้และถานท่าย หลิงเยียนก็ยังไม่อาจพูดว่าควบคุมได้อย่างเต็มปาก
แต่ชิงสุ่ยรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่งในตอนนี้ผลเต๋าแห่งความโกลาหลขั้นแรกเริ่มงั้นทำให้ถานท่าย หลิงเยียนที่มีมรดกแห่งจอมอสูรได้พัฒนาขึ้นอย่างมหาศาล แต่สภาพจิตใจของนางนั้นไม่เกี่ยวข้อง อาจกล่าวได้เลยว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้
”ท่านผู้อาวุโสในที่สุดท่านก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์” ถานท่าย หลิงเยียนมีความสุขอย่างยิ่ง ในใจของนางเต่าเฒ่านั้นเป็นเหมือนญาติสนิทของนาง เป็นคนที่นางสามารถพึ่งพาและไว้ใจได้
”ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณชิงสุ่ยวันนี้ช่างน่ายินดียิ่งนัก เจ้าพูดคุยกับชิงสุ่ยไปก่อน ข้าจะไปเตรียมงานฉลอง” เต่าเฒ่ายังต้องการให้ชิงสุ่ยและถานท่าย หลิงเยียนได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน
ชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีกจนเต่าเฒ่าหายไปจากบริเวณนั้น
”ชิงสุ่ยข้าได้เข้าสู่ระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว!” ถานท่าย หลิงเยียนยิ้มและมองมายังชิงสุ่ย
ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายอันเย็นชาของถานท่ายหลิงเยียนได้ลดน้อยลงไปมาก แม้ว่านางจะดูเย็นชาแต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มที่สดใส
”สามีของเจ้าเคยโกหกเจ้ามาก่อนหรือไม่?แล้วพลังของเจ้าล่ะ?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวขึ้น
ถานท่ายหลิงเยียนเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในคำพูดของชิงสุ่ยและยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวว่า “ประมาณ 1,800 เต๋า” Aileen-novel
นี่เป็นผลประโยชน์สำหรับผู้ที่ครอบครองมรดกแห่งจอมอสูรแม้แต่ชิงสุ่ยก็รู้สึกว่ามรดกแห่งจอมอสูรนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้ครอบครองสายเลือดแห่งจอมอสูรนั้นสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังมีข้อเสียนั่นก็คือพวกเขาอาจจะไม่อาจควบคุมสายเลือดแห่งจอมอสูรได้ พวกเขาจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปอย่างช้าๆ
แต่มันไม่ใช่สำหรับถานท่ายหลิงเยียน ชิงสุ่ยได้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่นางมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนางยังเป็นผลเต๋าแห่งความโกลาหลขั้นแรกเริ่มที่ทรงพลัง ในครั้งนี้นางได้รับผลประโยชน์ครั้งใหญ่ยิ่งกว่าผู้ที่จะครอบครองมรดกแห่งจอมอสูรหรือมรดกแห่งเทพสงครามคนอื่นๆ
”ข้ารู้สึกโล่งใจอย่างยิ่งในตอนนี้ข้ากลัวว่าเจ้าจะกลับไปเป็นเหมือนในอดีต” ชิงสุ่ยกล่าวออกมาด้วยความโล่งใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้หัวใจของถานท่ายหลิงเยียนก็รู้สึกอบอุ่น “มันจะไม่เกิดขึ้นอีก ข้าเองก็รู้สึกโล่งใจเช่นเดียวกัน”
”พักอยู่ที่เมืองหลินห่ายสักหน่อยนะข้าจะอยู่กับเจ้าเอง”
”อืมตอนนี้เจ้าไม่ถามเรื่องพระราชวังจอมอสูรแล้วงั้นหรือ? ข้าคิดจะย้ายมาที่มหาทวีปอุดรเทวา เจ้าคิดว่าข้าควรจะย้ายมันไปที่ไหนดี?” ถานท่าย หลิงเยียนคิดครู่หนึ่งและถามขึ้น
ชิงสุ่ยส่ายหน้าของเขา”เจ้าไม่ได้อ่อนแออีกต่อไปแล้วในตอนนี้ แม้ว่ามหาทวีปอุดรเทวานั้นจะมีผู้ฝึกยุทธระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่กี่คนแต่ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าไม่ควรเข้าไปในส่วนลึกของมหาทวีปอุดรเทวา มันย่อมดีหากเจ้าย้ายมาที่เมืองหลินห่ายหรือใกล้ๆกับจักรวรรดิฉิน เจ้าจะได้อยู่ใกล้กับพี่สาวชิงเช่นกัน”
”ข้าเองก็คิดแบบเดียวกันในตอนนี้พี่สาวชิงนั้นได้กลายเป็นนายหญิงแห่งพระราชวังจอมอสูรแล้ว” ถานท่าย หลิงเยียนยิ้มและกล่าวขึ้น
”เมื่อเจ้าเป็นของข้าแล้วพระราชวังจอมอสูรถือว่าเป็นของข้าด้วยใช่หรือไม่?”
ถานท่ายหลิงเยียนยิ้มและไม่ได้กล่าวอะไรออกมาแต่นางไม่ได้ดูโกรธมึงก่อนหน้านี้ นางยังคงมองมาที่ชิงสุ่ยและนั่นทำให้เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาลูบศีรษะของตนเองและยิ้มออกมา
”เจ้าอยากได้ยินแบบไหนล่ะ?ข้าจะได้บอกกับเจ้า” ถานท่าย หลิงเยียนยิ้มและมองมายังชิงสุ่ย
”จริงหรือ?”ชิงสุ่ยยิ้มและถามขึ้น
เมื่อมองไปที่สายตาอันกลุ้มกลิ่มของชิงสุ่ยถานท่าย หลิงเยียนก็เดาได้ทันที นางกล่าวออกมาว่า “แต่ต้องไม่มากเกินไป”
เมื่อชิงสุ่ยได้ยินเช่นนี้เขาก็พูดออกมาอย่างมีความสุขมาก”นั่นหมายความว่าแค่ข้าไม่ล้ำเส้นก็ได้ใช่หรือไม่”
ถานท่ายหลิงเยียยตกตะลึงไปในตอนนี้ ชายผู้นี้เป็นคนช่างพูดเสียจริงๆ นางมองมายังชิงสุ่ย “พูดออกมาเร็วๆก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาส”
เมื่อชิงสุ่ยได้ยินเช่นนี้เขาก็พูดออกมาว่า”เรียกข้าว่าท่านพี่!”
ถานท่ายหลิงเยียน: “…”
นางไม่รู้จริงๆว่าในสมองของชายผู้นี้นั้นคิดอะไรอยู่นายรีบกล่าวออกไปทันทีว่า “เจ้ามันจอมวายร้าย ข้าขอปฏิเสธ”
ชิงสุ่ยพยายามจะถามต่อไปอีกในตอนนี้”เช่นนั้นแล้วเจ้าจะเรียกข้าว่าอะไร?”
”ข้าควรเรียกยังไงดี?”ถานท่าย หลิงเยียนมองไปยังชิงสุ่ยและยิ้มขึ้นมา
”เช่นนั้นเรียกข้าว่าสามี นี่คงไม่ยากใช่ไหม?” ชิงสุ่ยมองไปยังสีหน้าของนางและกล่าวขึ้น
”เจ้าปิดตาลงก่อน”ในตอนนี้ถานท่าย หลิงเยียนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ชิงสุ่ยทำตามที่นางบอก
ถานท่ายหลิงเยียนเดินเข้าไปใกล้และชิงสุ่ยก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเข้ามายังจมูกของเขา หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้น เขารู้สึกได้ทันทีว่าถานท่าย หลิงเยียนได้เข้ามาใกล้ในตอนนี้
”สามีเจ้าพอใจหรือยัง?”
เสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูของชิงสุ่ยมันดูเย็นชาเล็กน้อยแต่ก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว เขาไม่อาจควบคุมมือของตนเองไม่ให้ไปจับที่เอวของนางได้ “ข้าพึงพอใจอย่างยิ่ง ข้าทำเช่นนี้ได้หรือไม่?”
”เจ้ามันจอมวายร้ายเจ้าทำก่อนที่จะถามอีก หากข้าบอกว่าไม่แล้วเจ้าจะทำเช่นไร?”
”ข้าก็จะปฏิเสธ”ชิงสุ่ยรู้ได้ทันทีจากคำพูดของถานท่าย หลิงเยียนว่านางไม่ได้โกรธที่เขาทำเช่นนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขากล้ากล่าวขึ้นมาเช่นนี้อย่างหน้าไม่อาย
ถานท่ายหลิงเยียนวางมือของนางไว้บนไหล่ของชิงสุ่ย ใบหน้าของพวกเขาใกล้ชิดกันอย่างยิ่งในตอนนี้ ชิงสุ่ยเปิดตาออกแล้วมองไปยังไปยังใบหน้าที่งดงามตรงหน้าอก
”ข้ารู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ใกล้ชิดกับเจ้าในตอนนี้!”ชิงสุ่ยมีความสุขจริงๆๆ
”ข้าเองก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ใกล้ชิดกับเจ้าข้ากลัวอย่างยิ่งก่อนหน้านี้ กลัวว่าข้าจะกลับไปเป็นเหมือนอดีตหากเป็นเช่นนั้นข้าคงเสียใจไปตลอดกาล” ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวมาอย่างจริงจัง
”ข้ารอคอยวันนี้มานานอย่างยิ่งในที่สุดเจ้าก็ยอมรับข้าจริงๆสักที” ชิงสุ่ยยิ้ม ในตอนที่นางเรียกเขาว่าสามีนั้นทุกๆอย่างก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
”ข้ายอมรับเจ้ามานานแล้วแต่ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ” ถานท่าย หลิงเยียนยังคงยิ้มอยู่ในตอนนี้
”ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นโปรดอย่าหนีจากข้าไปข้าเป็นห่วงเจ้าอยู่เสมอ แม้ว่าเจ้าจะทรงพลังยิ่งกว่าข้าแต่ข้าก็ยังเป็นห่วงเจ้า” ชิงสุ่ยส่ายศีรษะของเขาและกล่าวขึ้น
”นี่ทำให้ข้ามีความสุขอย่างยิ่งข้าชอบเจ้าคิดกับข้าเช่นนี้และเจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถทำได้”
เมื่อคำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากของถานท่ายหลิงเยียน ชิงสุ่ยก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง สภาพจิตใจของเขาดีขึ้นอย่างมากในตอนนี้ มันเป็นความสุขจนเขาพูดไม่ออก
”หลิงเยียนข้ารักเจ้า!” มือของชิงสุ่ยโอๆบไปที่เอวของนางเบาๆ
มือของถานท่ายหลิงเยียนค่อยๆโอบรอบคอของชิงสุ่ยช้าๆ นางพิงศีรษะไปที่ไหล่ของเขา หัวใจของนางก็รู้สึกสงบสุขเช่นเดียวกัน