Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1821 - ตำหนักวิหคเงาทมิฬ กลุ่มคนผู้ฝึกฝนเส้นทางนักฆ่า
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1821 - ตำหนักวิหคเงาทมิฬ กลุ่มคนผู้ฝึกฝนเส้นทางนักฆ่า
AST
บทที่1821 – ตำหนักวิหคเงาทมิฬ กลุ่มคนผู้ฝึกฝนเส้นทางนักฆ่า
เฉินหวงยิ้มแล้วไม่พูดอะไรต่อหลังจากผ่านประสบการณ์ชีวิตมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาเกือบ 2 ครั้ง มันทำให้เธอเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้น
ผู้คนมักจะบอกให้ว่าวิสัยทัศน์จะกำหนดความยิ่งใหญ่ของตัวตนมนุษย์และตัวตนมนุษย์ก็จะเป็นตัวกำหนดวิสัยทัศน์ของตัวเอง เฉินหวงก็ถือเป็นอีกหนึ่งคนที่ได้ขยายวิสัยทัศน์ของตนในมุมมองใหม่ๆ
”เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ”ชิงสุ่ยรับรู้ถึงกลิ่นอายรอบตัวเฉินหวงที่เปลี่ยนไป
”ข้าเนี่ยนะเปลี่ยนไป?”เฉินหวงยิ้มขณะจ้องมองชิงสุ่ยกลับมา
”อืมตอนนี้เจ้าสวยกว่าแต่ก่อน และเจ้าก็ยิ้มมากกว่าแต่ก่อน มันช่างแตกต่างจากเจ้าคนก่อน เพราะก่อนหน้านี้ ข้าไม่อาจเข้าใกล้เจ้าได้เลย”ชิงสุ่ยหัวเราะ
เฉินหวงจึงตอบกลับทันใดว่า”ก็เพราะว่าหลังจากที่ข้าได้เผชิญความเป็นความตาย ดวงตาของข้าก็เหมือนมองเห็นโลกใบใหม่”
คำพูดของเธอบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าโลกที่เธอกำลังสัมผัสตอนนี้มันสดใสกว่าแต่ก่อน
ขณะที่ทั้งสองคนยังคงพูดคุยและนั่งรับประทานอาหารเวลาก็ล่วงเลยไปถึงตอนเย็น มันถึงเวลาที่เขาจำเป็นจะต้องจากไปแล้ว เฉินหวงจึงลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปส่ง
”ถึงแม้ว่ามหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำจะยังคงไม่สงบสุขแต่ตอนนี้มันก็สงบสุขกว่าแต่ก่อน ว่าแต่คนจากนิกายแดนดาบยักษ์ที่ตายไป เป็นพวกผู้นำนิกายจริงๆหรือ?”ชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความสงสัยในกลุ่มคนลึกลับ
”แน่นอนว่าพวกมันคือเจ้านิกายแต่เมื่อพวกมันตายไป คนใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่ และโอกาสที่พวกเขาจะกลับมาแก้แค้นแทนเจ้านิกายคนก่อนก็มีความเป็นไปได้สูง”
”หาทางแก้แค้นอะไรถึงทำให้พวกนี้ช่างกล้าสร้างความลำบากให้กับตัวเอง ทำไมเราไม่หาโอกาสลบล้างนิกายแดนดาบยักษ์ออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์เลยล่ะ?”ชิงสุ่ยกล่าว
”ปล่อยให้พวกมันล่มสลายไปตามธรรมชาติเถิด”เฉินหวงยิ้มขณะกล่าว
”ยิ่งเจ้ายิ้มมากเท่าไหร่ โลกทั้งใบก็ยิ่งสดใสมากขึ้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องออกไปส่งข้าหรอก แค่เห็นเจ้าเปลี่ยนแปลงไป ข้าก็กลับไปได้อย่างมีความสุขแล้ว”ชิงสุ่ยยิ้มให้กลับเฉินหวง
ชิงสุ่ยเริ่มกล่าวหยอกล้อเฉินหวงมากขึ้นซึ่งเฉินหวงก็ไม่ได้แสดงทีท่าเช่นดั่งก่อน
”อืม ส่วนเรื่องของมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำหลังจากนี้เป็นต้นไปคงไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงมากนัก”
ชิงสุ่ยเข้าใจและรู้ว่าเธอไม่ใช่คนประมาทแต่โอกาสที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ดังเดิมก็ยังคงมีอยู่ หากศัตรูใช้ฮัวเฟิงมาเป็นเครื่องต่อรอง เรื่องวุ่นวายก็อาจจะกลับมาเกิดขึ้น แต่ในตอนนี้เธอแสดงความมั่นใจจากคำพูด งั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะเธออาจจะไม่ตกเข้าสู่วังวนแห่งความผิดพลาดอีกครั้ง
…………………………………….
ในทางกลับกันชิงสุ่ยก็สงสัยเหลือเกินว่าทำไมคนที่มีพลังอ่อนแอกว่าถึงกล้าเป็นศัตรูกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งทั้งๆที่รู้ผลลัพธ์ เนื่องจากเขายังคงไม่เข้าใจเขาจะเลิกคิด ได้สิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อชื่อภายในดินแดนแห่งนี้ จะต้องมีคนที่มีระดับพลังสูงส่งสามารถคุกคามตัวเขาได้อย่างแน่นอน
เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติค่ายกลและรูปแบบต่างๆที่เคยถูกล่างไว้รอบอาณาเขตตระกูลชิงก็ถูกขจัดออกจนหมดสิ้น
หลังจากกลับมาถึงบ้านชิงสุ่ยก็กลับไปใช้ชีวิตสงบสุขเหมือนดังแต่ก่อนราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยเขายังคงเพลิดเพลินไปกับเวลาในการใช้เพื่อช่วยเหลือคนในตระกูล
ชายชราหนึ่งในคนตระกูลเหยียนจากมหาทวีปมังกรอหังการที่เป็นหนึ่งในผู้ครอบครองมรดกแห่งดาบมังกรสงครามแต่ตอนนี้เขาเองก็มีอายุมากเกินไปแล้ว ขอบคุณลังเลและคิดว่าลูกสาวของเขาคงไม่มีคนใดสามารถฝึกฝนเรียนรู้ตามพลังของชราได้ทัน
ส่วนบรรดาหญิงสาวส่วนใหญ่ล้วนฝึกฝนมาในสายพลังที่ตัวเองต้องการจึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงพลังของดาบมังกรสงครามมันจะไม่เหมาะสมกับพวกเธอ ดังนั้นเขาจึงหวังว่าพี่น้องที่เหลือทั้ง 3 ของเขาจะสามารถสืบทอดพลังได้
ชิงซุนและชิงหมินต่างก็เริ่มสามารถควบคุมพลังให้มีเสถียรภาพมากขึ้นอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้พวกเขาจะเติบโตการเป็นคนที่แข็งแกร่งเปล่งประกายและแสนงดงาม ก่อนจะก้าวหน้าขึ้นสู่แนวหน้าของเหล่าเด็กรุ่นเดียวกัน
ส่วนล้วนล้วนเธอเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการบ่มเพาะบรรดาสัตว์อสูรจำนวนมาก เธอจึงแข็งแกร่งและไม่เหมือนใคร ซึ่งเส้นทางที่เธอเลือกเป็นเส้นทางที่แปลกประหลาดแล้วเธอก็เป็นคนเลือกมันด้วยตัวเอง
บรรดาลูกๆของเขาตอนนี้ใกล้ก้าวขึ้นสู่ระดับพลังปราณจักรพรรดิแล้วและความสามารถของพวกเขาก็เสถียรเป็นอย่างมากและมั่นใจว่าอีกไม่นานจะต้องก้าวขึ้นสู่ระดับสูงสุดของปราณจักรพรรดิ์ได้ภายในไม่เกินเวลา 3-5 ปี
…………………………..
อีกไม่กี่วันผ่านไปข่าวคราวหนาหูบนโลกมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำก็แพร่สะพัดไปทั่ว ข่าวระบุไว้ว่าภาคีวิหคเพลิงและภาคีวิหคทองคำได้ตกอยู่ใต้อำนาจของภาคีวิหคอัคคีเทวะ
หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปโดยที่ชิงสุ่ยเองก็ไม่รู้เรื่องแน่นอนว่าเฉินหวงไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆและไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องอธิบายเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองคนไม่ว่าจะเป็นเฉินหวงหรือฮัวเฟิงรู้คือทั้งสองคนเป็นหนี้บุญคุณชิงสุ่ย
หลังจากทั้ง3 ภาคีจับมือร่วมมือกัน ทั้ง 3 ภาคีก็ได้แยกตัวออกห่างจากนิกายแดนดาบยักษ์ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ยอมจนทำให้เกิดสงครามจนเกือบสุญสิ้น จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายไปร่วมกับตำหนักวิหคเงาทมิฬ
ตำหนักวิหคเงาทมิฬมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนักและคนที่อยู่ภายในตำหนักวิหคเงาทมิฬทั้งหมดส่วนใหญ่จะเป็นสายพลังนักฆ่า หรือไม่ก็มือสังหาร ที่สำคัญก็มีจำนวนไม่มาก แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัว ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งยากกับคนกลุ่มนี้
เมื่อมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำถูกแยกออกเป็น2 ฝ่าย ซึ่งเป็นปรปักษ์กัน โอกาสที่เป็นไปได้ที่สุดคือต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งห้ามหันกันจนตาย มิฉะนั้นหากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปมันจะกลายเป็นสงครามที่ไม่รู้จบ
บทที่1821 – ตำหนักวิหคเงาทมิฬ กลุ่มคนผู้ฝึกฝนเส้นทางนักฆ่า
เฉินหวงยิ้มแล้วไม่พูดอะไรต่อหลังจากผ่านประสบการณ์ชีวิตมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาเกือบ 2 ครั้ง มันทำให้เธอเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้น
ผู้คนมักจะบอกให้ว่าวิสัยทัศน์จะกำหนดความยิ่งใหญ่ของตัวตนมนุษย์และตัวตนมนุษย์ก็จะเป็นตัวกำหนดวิสัยทัศน์ของตัวเอง เฉินหวงก็ถือเป็นอีกหนึ่งคนที่ได้ขยายวิสัยทัศน์ของตนในมุมมองใหม่ๆ
”เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ”ชิงสุ่ยรับรู้ถึงกลิ่นอายรอบตัวเฉินหวงที่เปลี่ยนไป
”ข้าเนี่ยนะเปลี่ยนไป?”เฉินหวงยิ้มขณะจ้องมองชิงสุ่ยกลับมา
”อืมตอนนี้เจ้าสวยกว่าแต่ก่อน และเจ้าก็ยิ้มมากกว่าแต่ก่อน มันช่างแตกต่างจากเจ้าคนก่อน เพราะก่อนหน้านี้ ข้าไม่อาจเข้าใกล้เจ้าได้เลย”ชิงสุ่ยหัวเราะ
เฉินหวงจึงตอบกลับทันใดว่า”ก็เพราะว่าหลังจากที่ข้าได้เผชิญความเป็นความตาย ดวงตาของข้าก็เหมือนมองเห็นโลกใบใหม่”
คำพูดของเธอบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าโลกที่เธอกำลังสัมผัสตอนนี้มันสดใสกว่าแต่ก่อน
ขณะที่ทั้งสองคนยังคงพูดคุยและนั่งรับประทานอาหารเวลาก็ล่วงเลยไปถึงตอนเย็น มันถึงเวลาที่เขาจำเป็นจะต้องจากไปแล้ว เฉินหวงจึงลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปส่ง
”ถึงแม้ว่ามหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำจะยังคงไม่สงบสุขแต่ตอนนี้มันก็สงบสุขกว่าแต่ก่อน ว่าแต่คนจากนิกายแดนดาบยักษ์ที่ตายไป เป็นพวกผู้นำนิกายจริงๆหรือ?”ชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความสงสัยในกลุ่มคนลึกลับ
”แน่นอนว่าพวกมันคือเจ้านิกายแต่เมื่อพวกมันตายไป คนใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่ และโอกาสที่พวกเขาจะกลับมาแก้แค้นแทนเจ้านิกายคนก่อนก็มีความเป็นไปได้สูง”
”หาทางแก้แค้นอะไรถึงทำให้พวกนี้ช่างกล้าสร้างความลำบากให้กับตัวเอง ทำไมเราไม่หาโอกาสลบล้างนิกายแดนดาบยักษ์ออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์เลยล่ะ?”ชิงสุ่ยกล่าว
”ปล่อยให้พวกมันล่มสลายไปตามธรรมชาติเถิด”เฉินหวงยิ้มขณะกล่าว
”ยิ่งเจ้ายิ้มมากเท่าไหร่ โลกทั้งใบก็ยิ่งสดใสมากขึ้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องออกไปส่งข้าหรอก แค่เห็นเจ้าเปลี่ยนแปลงไป ข้าก็กลับไปได้อย่างมีความสุขแล้ว”ชิงสุ่ยยิ้มให้กลับเฉินหวง
ชิงสุ่ยเริ่มกล่าวหยอกล้อเฉินหวงมากขึ้นซึ่งเฉินหวงก็ไม่ได้แสดงทีท่าเช่นดั่งก่อน
”อืม ส่วนเรื่องของมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำหลังจากนี้เป็นต้นไปคงไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงมากนัก”
ชิงสุ่ยเข้าใจและรู้ว่าเธอไม่ใช่คนประมาทแต่โอกาสที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ดังเดิมก็ยังคงมีอยู่ หากศัตรูใช้ฮัวเฟิงมาเป็นเครื่องต่อรอง เรื่องวุ่นวายก็อาจจะกลับมาเกิดขึ้น แต่ในตอนนี้เธอแสดงความมั่นใจจากคำพูด งั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะเธออาจจะไม่ตกเข้าสู่วังวนแห่งความผิดพลาดอีกครั้ง
…………………………………….
ในทางกลับกันชิงสุ่ยก็สงสัยเหลือเกินว่าทำไมคนที่มีพลังอ่อนแอกว่าถึงกล้าเป็นศัตรูกับคนที่มีพลังแข็งแกร่งทั้งๆที่รู้ผลลัพธ์ เนื่องจากเขายังคงไม่เข้าใจเขาจะเลิกคิด ได้สิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อชื่อภายในดินแดนแห่งนี้ จะต้องมีคนที่มีระดับพลังสูงส่งสามารถคุกคามตัวเขาได้อย่างแน่นอน
เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติค่ายกลและรูปแบบต่างๆที่เคยถูกล่างไว้รอบอาณาเขตตระกูลชิงก็ถูกขจัดออกจนหมดสิ้น
หลังจากกลับมาถึงบ้านชิงสุ่ยก็กลับไปใช้ชีวิตสงบสุขเหมือนดังแต่ก่อนราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยเขายังคงเพลิดเพลินไปกับเวลาในการใช้เพื่อช่วยเหลือคนในตระกูล
ชายชราหนึ่งในคนตระกูลเหยียนจากมหาทวีปมังกรอหังการที่เป็นหนึ่งในผู้ครอบครองมรดกแห่งดาบมังกรสงครามแต่ตอนนี้เขาเองก็มีอายุมากเกินไปแล้ว ขอบคุณลังเลและคิดว่าลูกสาวของเขาคงไม่มีคนใดสามารถฝึกฝนเรียนรู้ตามพลังของชราได้ทัน
ส่วนบรรดาหญิงสาวส่วนใหญ่ล้วนฝึกฝนมาในสายพลังที่ตัวเองต้องการจึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงพลังของดาบมังกรสงครามมันจะไม่เหมาะสมกับพวกเธอ ดังนั้นเขาจึงหวังว่าพี่น้องที่เหลือทั้ง 3 ของเขาจะสามารถสืบทอดพลังได้
ชิงซุนและชิงหมินต่างก็เริ่มสามารถควบคุมพลังให้มีเสถียรภาพมากขึ้นอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้พวกเขาจะเติบโตการเป็นคนที่แข็งแกร่งเปล่งประกายและแสนงดงาม ก่อนจะก้าวหน้าขึ้นสู่แนวหน้าของเหล่าเด็กรุ่นเดียวกัน
ส่วนล้วนล้วนเธอเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการบ่มเพาะบรรดาสัตว์อสูรจำนวนมาก เธอจึงแข็งแกร่งและไม่เหมือนใคร ซึ่งเส้นทางที่เธอเลือกเป็นเส้นทางที่แปลกประหลาดแล้วเธอก็เป็นคนเลือกมันด้วยตัวเอง
บรรดาลูกๆของเขาตอนนี้ใกล้ก้าวขึ้นสู่ระดับพลังปราณจักรพรรดิแล้วและความสามารถของพวกเขาก็เสถียรเป็นอย่างมากและมั่นใจว่าอีกไม่นานจะต้องก้าวขึ้นสู่ระดับสูงสุดของปราณจักรพรรดิ์ได้ภายในไม่เกินเวลา 3-5 ปี
…………………………..
อีกไม่กี่วันผ่านไปข่าวคราวหนาหูบนโลกมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำก็แพร่สะพัดไปทั่ว ข่าวระบุไว้ว่าภาคีวิหคเพลิงและภาคีวิหคทองคำได้ตกอยู่ใต้อำนาจของภาคีวิหคอัคคีเทวะ
หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปโดยที่ชิงสุ่ยเองก็ไม่รู้เรื่องแน่นอนว่าเฉินหวงไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆและไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องอธิบายเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองคนไม่ว่าจะเป็นเฉินหวงหรือฮัวเฟิงรู้คือทั้งสองคนเป็นหนี้บุญคุณชิงสุ่ย
หลังจากทั้ง3 ภาคีจับมือร่วมมือกัน ทั้ง 3 ภาคีก็ได้แยกตัวออกห่างจากนิกายแดนดาบยักษ์ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ยอมจนทำให้เกิดสงครามจนเกือบสุญสิ้น จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายไปร่วมกับตำหนักวิหคเงาทมิฬ
ตำหนักวิหคเงาทมิฬมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนักและคนที่อยู่ภายในตำหนักวิหคเงาทมิฬทั้งหมดส่วนใหญ่จะเป็นสายพลังนักฆ่า หรือไม่ก็มือสังหาร ที่สำคัญก็มีจำนวนไม่มาก แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัว ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งยากกับคนกลุ่มนี้
เมื่อมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำถูกแยกออกเป็น2 ฝ่าย ซึ่งเป็นปรปักษ์กัน โอกาสที่เป็นไปได้ที่สุดคือต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งห้ามหันกันจนตาย มิฉะนั้นหากปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปมันจะกลายเป็นสงครามที่ไม่รู้จบ