Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1834 - จิตใจที่ขัดแย้ง เตรียมตัวจากลา
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1834 - จิตใจที่ขัดแย้ง เตรียมตัวจากลา
AST
บทที่1834 – จิตใจที่ขัดแย้ง เตรียมตัวจากลา
พระราชวังอาทิตย์อัสดง!!
นี่คือสถานที่ที่ชิงสุ่ยอยู่ในปัจจุบันเขาเดินทางกลับมายังสถานที่แห่งนี้หลังจากลูกของหยินต่งมีอายุครบ 1 เดือน ดังนั้นระยะเวลารวมที่เขาอยู่ในหอคอยจักรพรรดิจึงมีทั้งหมดประมาณ 3 เดือนและเลื่อนออกไปอีก 1 เดือนหลังจากลูกของหยินต่งถือกำเนิด
หยินต่งและเหลียนหลิงเฟิงต่างก็ฝึกฝนพลังจนแข็งแกร่งและเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเหนือผู้คนในท้องที่ ในช่วงเวลาปัจจุบันสิ่งที่ชิงสุ่ยทำได้คือการเสริมพลังรากฐานและชี้นำเส้นทางการฝึกฝนไปสู่เส้นทางที่ไม่รีบมากเลยช้าเกินไป
นอกเหนือจากการใช้ตัวยาปรับปรุงหลักฐานพลังชิงสุ่ยยังช่วยสั่งสอนเคล็ดวิชาเพลงหมัดเพื่อใช้ในการฝึกฝนสงบสติอารมณ์
ชิงสุ่ยนึกย้อนกลับไปถึงชายรูปร่างกำยำที่เขาได้รักษาไปเมื่อเดือนก่อนสุดท้ายคำขอท้าประลองของชิงสุ่ยก็เป็นผล และถึงแม้ว่าชายผู้นั้นจะเป็นถึงผู้สืบทอดมรดกจอมปราชญ์ผู้โง่เขลา แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับชิงสุ่ย ซึ่งก่อนที่เขาจะพ่ายแพ้เขาได้มีโอกาสเข้าโจมตีชิงสุ่ยอย่างหนักหน่วงถึง 3 ครั้ง แน่นอนว่าชิงสุ่ยย่อมสามารถรับมือได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องขยับเขยื้อนเลยใดๆ มันคงเป็นเพราะความแข็งแกร่งที่ห่างชั้นกันเกินไป
สิ่งที่ชิงสุ่ยมองเห็นคือพละกำลังหากฝึกฝนให้ถูกทางชายผู้นี้จะสามารถครอบครองพละกำลังอันยิ่งใหญ่ได้ หลังจากการต่อสู้เสร็จสิ้น ชิงสุ่ยไม่ได้ขออะไรมากมาย เขาทำเพียงแค่ให้คำแนะนำด้านทักษะ และขอให้ชายผู้นี้มาคอยช่วยเหลือหอคอยจักรพรรดิแทนค่ารักษา แล้วแต่จะสะดวกหรือไม่ก็ตาม
แน่นอนว่าชายคนนี้ย่อมเต็มใจโดยธรรมชาติไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
ชิงสุ่ยยังคงทำทุกอย่างโดยไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงของตน
การดูแลพระราชวังอาทิตย์อัสดงและพระราชวังหมาป่ามังกรจึงยังคงดำเนินไปด้วยความราบรื่นทั้ง 2 แห่งถูกมองว่าเป็นตัวเกร็งผู้ครองโลกใต้ทะเล
ชิงสุ่ยยังคงระวังแม้จะเป็นต้นไม้สูงใหญ่ไปหยิ่งผยองเกินไปมันก็อาจจะเป็นดาบสองคม เขาจึงจำเป็นต้องสร้างรากฐานอย่างช้าๆเพื่อความมั่นคง
พระราชวังอาทิตย์อัสดงและพระราชวังหมาป่ามังกรยังคงอยู่รอดเนื่องจากไม่ใช่ตัวแปรสำคัญแม้อาจจะดูเหมือนมหาอำนาจแต่คงเป็นเพราะผู้ที่แข็งแกร่งกว่ายังไม่ปรากฏตัว และยังไม่สนใจขุมอำนาจขนาดเล็กเหล่านี้ เนื่องจากปัจจุบันพลังอำนาจของทั้งสองพระราชวังยังไม่แข็งแรง แต่คงอีกไม่นานนักสันติอาจจะต้องสั่นคลอน
นี่ก็เป็นเวลาเกือบ8 เดือนแล้ว จักรพรรดินีผีดูดเลือดคงใกล้ถึงเวลาให้กำเนิดราชินีศักดิ์สิทธิ์ปีศาจดูดเลือด เขายังคงครุ่นคิดว่าควรไปเยี่ยมเยียนหน้าลูกของเธอหรือไม่ แต่เขาก็ยังคงไม่ตัดสินใจเนื่องจากเวลายังพอมีเหลือ
ชิงสุ่ยออกจากพระราชวังอาทิตย์อัสดงด้วยท่าทางที่หงุดหงิดเขาค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลต่างๆ ก่อนจะหายวับมาแอบอยู่บริเวณหินขนาดมหึมา
”เจ้าจะคิดถึงเค้าบ้างหรือไม่นะสงสัยข้าคงต้องแอบดูเจ้าสักหน่อยแล้ว”ชิงสุ่ยยิ้มขณะมองดูมูหยุนชิงเก้อ
”หึใครจะไปคิดถึงเจ้ากัน มีแต่จะรู้สึกสงสารและเข้ามาปลอบโยนเจ้าต่างหาก”มูหยุนชิงเก้อหันหน้ามองมายังก้อนหินขนาดยักษ์ก่อนจะเผยให้เห็นรอยยิ้ม
”หว่าาเจ้าเจอข้าจนได้ เจ้าเนี่ยนะจะปลอบใจข้า? ไหนดูซิ เจ้าจะปลอบข้าด้วยวิธีใด?”ชิงสุ่ยเลียริมฝีปากขณะจ้องมองไปยังยอดเขาคู่กลางหน้าอกของมูหยุนชิงเก้อ ชั้นของเสื้อผ้าไม่อาจขวางกั้นภูเขาคู่ที่แสนงดงามของเธอได้
มูหยุนชิงเก้อรับรู้ได้ถึงสายตาที่ชิงสุ่ยมองมาทางเธอเธอจึงยกมือปิดหน้าอกและกล่าวยังเขินอายว่า “เจ้าจะมองข้าแบบนี้ไม่ได้”
ชิงสุ่ยมองดูใบหน้าที่กำลังเขินอายของเธอมันทำให้เขารู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด มันคือเสน่ห์อันแสนน่าทึ่งของเผ่าพันธุ์นาคาที่สามารถดึงดูดใจผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้ทักษะใดๆเลย
”เจ้าออกจะงดงามขนาดนี้ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องแสดงท่าทีเขินอายเลย”ชิงสุ่ยยังคงพูดจากันแกล้งเธอเหมือนดังก่อน
”อุตส่าห์ถามเจ้าด้วยความหวังดีแต่ในเมื่อเจ้าหยอกล้อข้าได้ขนาดนี้ มันก็หมายความว่าเจ้าสบายดี”มูหยุนชิงเก้อดึงมือของเธอออกก่อนจะถอยหลังและเตรียมตัวจะจากไป
”อย่าทำกับข้าแบบนี้เลยไหนๆเจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว พวกเราไปเดินเล่นกันดีกว่า ข้าอยากให้เจ้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้า”ชิงสุ่ยยิ้มก่อนจะรีบไปคว้ามือเธอเพื่อพาเธอไปเดินเล่นกับเขา
เนื่องจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชิงสุ่ยเธอเองก็มีส่วนร่วม เธอจึงไม่ปฏิเสธและเดินตามการจูงมือของชิงสุ่ยไป
”เจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไรดี?”ชิงสุ่ยกล่าวถามขณะที่มือของเขายังคงจับมือมูหยุนชิงเก้อ
”ทำในสิ่งที่เจ้าคิดว่าถูกต้องทำในสิ่งที่หัวใจของเจ้ากำลังบอก”มูหยุนชิงเก้อตอบกลับสั้นๆ
”แล้วถ้าหากเป็นเจ้าเจ้าจะทำเช่นไร?” ชิงสุ่ยมองดูออกไปยังท้องฟ้าแสนไกล
”ทุกคนล้วนมีส่วนความดีเสมอแม้แต่คนที่ชั่วร้ายเกินกว่าจะไถ่ถอนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ข้าไม่ใช่เจ้าจึงไม่อาจคิดแทนเจ้าได้จริงๆ”มูหยุนชิงเก้อส่ายหน้า
”หว่านี่ข้ากำลังฟังคำสั่งสอนของแม่สาวน้อยคนนี้อยู่สินะ”ชิงสุ่ยกำลังทำหน้าน่าสงสารเหมือนกำลังฟังคำสอนจากผู้เป็นเทพเจ้า
”ไปเถิด!!ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะไป มิฉะนั้นเจ้าของไม่สับสนขนาดนี้ ทำตามความรู้สึกของเจ้าเถิดไม่ว่ามันจะผิดชอบชั่วดี เมื่อได้ทำมันเจ้าจะไม่เสียใจ”มูหยุนชิงเก้อกล่าวด้วยท่าทางจริงจังขณะจ้องมองชิงสุ่ย
”ตกลง!!”
ชิงสุ่ยรู้ดีถึงคำตอบของตัวเองเพียงแต่เขาไม่อยากไปที่นั่นเพื่อไม่อยากสร้างความขัดแย้งอะไรเพิ่มเติม แต่สุดท้ายการเดินทางไปคงเป็นสิ่งที่ใจของเขาต้องการ เขาจึงทำมันโดยไม่สนใจผลลัพธ์แม้ปลายทางอาจจะมีความผิดหวังรออยู่
เขาใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังอาทิตย์อัสดงเป็นเวลาประมาณครึ่งเดือนก่อนที่เขาจะจากไปโดยไม่ร่ำลาใครทั้งสิ้น แน่นอนว่ามีเพียงแค่มูหยุนชิงเก้อคนเดียวที่รู้ว่าชิงสุ่ยจากไป
บทที่1834 – จิตใจที่ขัดแย้ง เตรียมตัวจากลา
พระราชวังอาทิตย์อัสดง!!
นี่คือสถานที่ที่ชิงสุ่ยอยู่ในปัจจุบันเขาเดินทางกลับมายังสถานที่แห่งนี้หลังจากลูกของหยินต่งมีอายุครบ 1 เดือน ดังนั้นระยะเวลารวมที่เขาอยู่ในหอคอยจักรพรรดิจึงมีทั้งหมดประมาณ 3 เดือนและเลื่อนออกไปอีก 1 เดือนหลังจากลูกของหยินต่งถือกำเนิด
หยินต่งและเหลียนหลิงเฟิงต่างก็ฝึกฝนพลังจนแข็งแกร่งและเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเหนือผู้คนในท้องที่ ในช่วงเวลาปัจจุบันสิ่งที่ชิงสุ่ยทำได้คือการเสริมพลังรากฐานและชี้นำเส้นทางการฝึกฝนไปสู่เส้นทางที่ไม่รีบมากเลยช้าเกินไป
นอกเหนือจากการใช้ตัวยาปรับปรุงหลักฐานพลังชิงสุ่ยยังช่วยสั่งสอนเคล็ดวิชาเพลงหมัดเพื่อใช้ในการฝึกฝนสงบสติอารมณ์
ชิงสุ่ยนึกย้อนกลับไปถึงชายรูปร่างกำยำที่เขาได้รักษาไปเมื่อเดือนก่อนสุดท้ายคำขอท้าประลองของชิงสุ่ยก็เป็นผล และถึงแม้ว่าชายผู้นั้นจะเป็นถึงผู้สืบทอดมรดกจอมปราชญ์ผู้โง่เขลา แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับชิงสุ่ย ซึ่งก่อนที่เขาจะพ่ายแพ้เขาได้มีโอกาสเข้าโจมตีชิงสุ่ยอย่างหนักหน่วงถึง 3 ครั้ง แน่นอนว่าชิงสุ่ยย่อมสามารถรับมือได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องขยับเขยื้อนเลยใดๆ มันคงเป็นเพราะความแข็งแกร่งที่ห่างชั้นกันเกินไป
สิ่งที่ชิงสุ่ยมองเห็นคือพละกำลังหากฝึกฝนให้ถูกทางชายผู้นี้จะสามารถครอบครองพละกำลังอันยิ่งใหญ่ได้ หลังจากการต่อสู้เสร็จสิ้น ชิงสุ่ยไม่ได้ขออะไรมากมาย เขาทำเพียงแค่ให้คำแนะนำด้านทักษะ และขอให้ชายผู้นี้มาคอยช่วยเหลือหอคอยจักรพรรดิแทนค่ารักษา แล้วแต่จะสะดวกหรือไม่ก็ตาม
แน่นอนว่าชายคนนี้ย่อมเต็มใจโดยธรรมชาติไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
ชิงสุ่ยยังคงทำทุกอย่างโดยไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงของตน
การดูแลพระราชวังอาทิตย์อัสดงและพระราชวังหมาป่ามังกรจึงยังคงดำเนินไปด้วยความราบรื่นทั้ง 2 แห่งถูกมองว่าเป็นตัวเกร็งผู้ครองโลกใต้ทะเล
ชิงสุ่ยยังคงระวังแม้จะเป็นต้นไม้สูงใหญ่ไปหยิ่งผยองเกินไปมันก็อาจจะเป็นดาบสองคม เขาจึงจำเป็นต้องสร้างรากฐานอย่างช้าๆเพื่อความมั่นคง
พระราชวังอาทิตย์อัสดงและพระราชวังหมาป่ามังกรยังคงอยู่รอดเนื่องจากไม่ใช่ตัวแปรสำคัญแม้อาจจะดูเหมือนมหาอำนาจแต่คงเป็นเพราะผู้ที่แข็งแกร่งกว่ายังไม่ปรากฏตัว และยังไม่สนใจขุมอำนาจขนาดเล็กเหล่านี้ เนื่องจากปัจจุบันพลังอำนาจของทั้งสองพระราชวังยังไม่แข็งแรง แต่คงอีกไม่นานนักสันติอาจจะต้องสั่นคลอน
นี่ก็เป็นเวลาเกือบ8 เดือนแล้ว จักรพรรดินีผีดูดเลือดคงใกล้ถึงเวลาให้กำเนิดราชินีศักดิ์สิทธิ์ปีศาจดูดเลือด เขายังคงครุ่นคิดว่าควรไปเยี่ยมเยียนหน้าลูกของเธอหรือไม่ แต่เขาก็ยังคงไม่ตัดสินใจเนื่องจากเวลายังพอมีเหลือ
ชิงสุ่ยออกจากพระราชวังอาทิตย์อัสดงด้วยท่าทางที่หงุดหงิดเขาค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลต่างๆ ก่อนจะหายวับมาแอบอยู่บริเวณหินขนาดมหึมา
”เจ้าจะคิดถึงเค้าบ้างหรือไม่นะสงสัยข้าคงต้องแอบดูเจ้าสักหน่อยแล้ว”ชิงสุ่ยยิ้มขณะมองดูมูหยุนชิงเก้อ
”หึใครจะไปคิดถึงเจ้ากัน มีแต่จะรู้สึกสงสารและเข้ามาปลอบโยนเจ้าต่างหาก”มูหยุนชิงเก้อหันหน้ามองมายังก้อนหินขนาดยักษ์ก่อนจะเผยให้เห็นรอยยิ้ม
”หว่าาเจ้าเจอข้าจนได้ เจ้าเนี่ยนะจะปลอบใจข้า? ไหนดูซิ เจ้าจะปลอบข้าด้วยวิธีใด?”ชิงสุ่ยเลียริมฝีปากขณะจ้องมองไปยังยอดเขาคู่กลางหน้าอกของมูหยุนชิงเก้อ ชั้นของเสื้อผ้าไม่อาจขวางกั้นภูเขาคู่ที่แสนงดงามของเธอได้
มูหยุนชิงเก้อรับรู้ได้ถึงสายตาที่ชิงสุ่ยมองมาทางเธอเธอจึงยกมือปิดหน้าอกและกล่าวยังเขินอายว่า “เจ้าจะมองข้าแบบนี้ไม่ได้”
ชิงสุ่ยมองดูใบหน้าที่กำลังเขินอายของเธอมันทำให้เขารู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด มันคือเสน่ห์อันแสนน่าทึ่งของเผ่าพันธุ์นาคาที่สามารถดึงดูดใจผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้ทักษะใดๆเลย
”เจ้าออกจะงดงามขนาดนี้ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องแสดงท่าทีเขินอายเลย”ชิงสุ่ยยังคงพูดจากันแกล้งเธอเหมือนดังก่อน
”อุตส่าห์ถามเจ้าด้วยความหวังดีแต่ในเมื่อเจ้าหยอกล้อข้าได้ขนาดนี้ มันก็หมายความว่าเจ้าสบายดี”มูหยุนชิงเก้อดึงมือของเธอออกก่อนจะถอยหลังและเตรียมตัวจะจากไป
”อย่าทำกับข้าแบบนี้เลยไหนๆเจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว พวกเราไปเดินเล่นกันดีกว่า ข้าอยากให้เจ้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้า”ชิงสุ่ยยิ้มก่อนจะรีบไปคว้ามือเธอเพื่อพาเธอไปเดินเล่นกับเขา
เนื่องจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชิงสุ่ยเธอเองก็มีส่วนร่วม เธอจึงไม่ปฏิเสธและเดินตามการจูงมือของชิงสุ่ยไป
”เจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไรดี?”ชิงสุ่ยกล่าวถามขณะที่มือของเขายังคงจับมือมูหยุนชิงเก้อ
”ทำในสิ่งที่เจ้าคิดว่าถูกต้องทำในสิ่งที่หัวใจของเจ้ากำลังบอก”มูหยุนชิงเก้อตอบกลับสั้นๆ
”แล้วถ้าหากเป็นเจ้าเจ้าจะทำเช่นไร?” ชิงสุ่ยมองดูออกไปยังท้องฟ้าแสนไกล
”ทุกคนล้วนมีส่วนความดีเสมอแม้แต่คนที่ชั่วร้ายเกินกว่าจะไถ่ถอนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ข้าไม่ใช่เจ้าจึงไม่อาจคิดแทนเจ้าได้จริงๆ”มูหยุนชิงเก้อส่ายหน้า
”หว่านี่ข้ากำลังฟังคำสั่งสอนของแม่สาวน้อยคนนี้อยู่สินะ”ชิงสุ่ยกำลังทำหน้าน่าสงสารเหมือนกำลังฟังคำสอนจากผู้เป็นเทพเจ้า
”ไปเถิด!!ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะไป มิฉะนั้นเจ้าของไม่สับสนขนาดนี้ ทำตามความรู้สึกของเจ้าเถิดไม่ว่ามันจะผิดชอบชั่วดี เมื่อได้ทำมันเจ้าจะไม่เสียใจ”มูหยุนชิงเก้อกล่าวด้วยท่าทางจริงจังขณะจ้องมองชิงสุ่ย
”ตกลง!!”
ชิงสุ่ยรู้ดีถึงคำตอบของตัวเองเพียงแต่เขาไม่อยากไปที่นั่นเพื่อไม่อยากสร้างความขัดแย้งอะไรเพิ่มเติม แต่สุดท้ายการเดินทางไปคงเป็นสิ่งที่ใจของเขาต้องการ เขาจึงทำมันโดยไม่สนใจผลลัพธ์แม้ปลายทางอาจจะมีความผิดหวังรออยู่
เขาใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังอาทิตย์อัสดงเป็นเวลาประมาณครึ่งเดือนก่อนที่เขาจะจากไปโดยไม่ร่ำลาใครทั้งสิ้น แน่นอนว่ามีเพียงแค่มูหยุนชิงเก้อคนเดียวที่รู้ว่าชิงสุ่ยจากไป