Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1836 - ยักษ์ ยักษาทองคำ?
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1836 - ยักษ์ ยักษาทองคำ?
AST
บทที่1836 – ยักษ์ ยักษาทองคำ?
การทิ้งเพื่อนให้เผชิญหน้าส่วนตัวเองวิ่งหนีไม่ใช่นิสัยที่ชิงสุ่ยคิดจะทำเขาเองก็ได้รับประโยชน์อย่างมากภายในทะเลศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวยามหัศจรรย์ ไหนจะยังมีมังกรทองคำ และข้อตกลงที่เขาได้ขอให้เธอไปช่วยดูแลจักรพรรดินีผีดูดเลือดแม้จะแลกเปลี่ยนมาด้วยการจับเจ้าม้าอสูรจันทราสวรรค์ เขาก็ยังคงรู้สึกว่าเขาติดหนี้บุญคุณเธอ ดังนั้นเธอจึงเป็นดังเพื่อนแท้ในจิตใจของเขาเสมอ
ชิงสุ่ยย่อมต้องปฏิบัติกับเพื่อนด้วยความเต็มใจแน่นอนว่าเพื่อนแท้ย่อมเป็นสิ่งที่หายาก และการมีเพื่อนแท้เพียงแค่คนเดียวก็มากเพียงพอต่อหนึ่งชีวิตแล้ว
”ไม่ต้องกังวลไปข้าไม่มีวันทิ้งเจ้าแน่”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เฉินเจินก้มหน้าเล็กน้อยมันทำให้ชิงสุ่ยพยายามพูดแก้ไขสถานการณ์ “อย่าคิดมากเลย คำพูดของข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นต่อเจ้าเลย”
เฉินเจินเงยหน้ามองชิงสุ่ยด้วยสายตาสงสัยการแสดงออกของเธอยังคงสงบนิ่งและเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่ามันทำให้ชิงสุ่ยดูเหมือนตัวตลกที่คิดไปเอง เขาเหมือนคนเจ้าเล่ห์ที่กำลังบอกเทพธิดาที่ยืนอยู่ข้างหน้าว่าเขาจะไม่มีทางตกหลุมรักเธอ…………….
ยิ่งพยายามอธิบายมันก็เหมือนกับการพยายามซ่อนความตั้งใจแต่ในไม่ช้าเขาก็กลับคืนสู่ความสงบ และเลิกพูดต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดปัญหายิ่งขึ้นไปอีก
การสนทนายังคงดำเนินไปอย่างช้าๆแน่นอนว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปด้วยความมีอัธยาศัย หัวข้อการพูดคุยเรื่องครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ ชิงสุ่ยจึงอธิบายทุกอย่างด้วยความจริง
เพื่อให้ได้คำตอบที่น่าพึงพอใจเฉินเจินเองก็ไม่ลังเลที่จะตอบคำถามของชิงสุ่ย แม้ว่าเธอจะไม่ได้เล่าเรื่องรายละเอียดครอบครัวของเธอมากนักแต่ชิงสุ่ยก็ได้รับข้อมูลมาพอสมควร แท้จริงแล้วเธอเองก็มาจากตระกูลขนาดใหญ่ และจุดประสงค์ที่เธอมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงาน
ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันเป็นประเพณีที่ล้าสมัยอย่างมากโดยเฉพาะการแต่งงานระหว่างกลุ่มมหาอำนาจใหญ่ด้วยกันเอง ทั้งๆที่ลูกหลานไม่ได้ตกลงปลงใจด้วยกันเลย
เนื่องจากความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเธอชิงสุ่ยจึงเชื่อว่าคงไม่มีใครสามารถบังคับเฉินเจินได้แน่ แต่ตอนนี้มันอาจมีบุคคลหรือสถานการณ์บีบบังคับทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ ซึ่งสุดท้ายชิงสุ่ยก็ไม่ได้ถามต่อเพราะไม่ต้องการล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเธอ
เฉินเจินนำทางชิงสุ่ยเข้าสู่ที่พักซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอเคยใช้มาก่อน”เจ้าพักอยู่ที่นี่ อีก 2-3 วันที่ใกล้จะถึงมันคงจะเป็นวันที่วุ่นวายอย่างมาก ข้าไม่ต้องการให้ผู้คนของข้าต้องได้รับความเจ็บปวด ฉะนั้นถ้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านไอ้พวกพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร”
ชิงสุ่ยยิ้มและพยักหน้า”มั่นใจได้เลยว่ามันจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เพื่อปกป้องสถานที่เพื่อปกป้องผู้คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มันก็เป็นเหตุผลมากพอที่จะทำให้เธอพยายามทุกวิถีทางเพื่อปกป้องพื้นที่ทั้งหมดเหล่านี้
……………………..
ชิงสุ่ยยังคงรอคอยเวลาจนกระทั่ง 3 วันถัดมา พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรได้นำขบวนกองทัพ 5000 ตนมุ่งหน้าขึ้นสู่สถานที่ตั้งของภูเขาศักดิ์สิทธิ์
จำนวนคน5000 คนไม่ใช่จำนวนที่มากมายนัก แต่ถ้าหากมีความแตกต่างด้านพละกำลัง การใช้จำนวนมากก็ยังพอสามารถแก้ไขปัญหาได้
ชิงสุ่ยจ้องมองสูงคนจากพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรอย่างน้อยที่สุดชนเผ่ายักษ์น้ำก็ดูเหมือนมนุษย์เพียงแต่มีความสูงที่มากกว่าและมีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดกว่า
ที่เห็นชัดเจนคือร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้สืบทอดมรดกจอมปราชญ์ผู้โง่เขลาดวงตาของพวกมันมีสีฟ้าและมีบริเวณแก้มสีแดง แม้ว่าร่างกายของพวกมันจะไม่มีขน แต่ก็มีเกล็ดปลาที่น่าเกลียดเกาะติดทั่วทั้งร่างกาย
ยอดยุทธกว่า5000 คนตะโกนเสียงที่เต็มไปด้วยความดุร้ายออกมา พวกยักษ์น้ำล้วนแล้วแต่มีผมสีแดงเพลิง ยิ่งทำให้บุคลิกโหดร้ายมากยิ่งขึ้น พร้อมจะกินเลือดกินเนื้อมนุษย์
ด้านหน้าสุดของพวกมันปรากฏให้เห็นเป็นกลุ่มยักษาจำนวน10 กว่าตน ทุกตัวมีความสูงไม่ต่ำกว่า 3 เมตรและมีผมสีแดงห้อยลงมาจากไหล่ถึงเอว ลำตัวเป็นไปด้วยเกล็ดหลากสี และมีลักษณะไม่ได้น่าเกลียดเหมือนกับตัวอื่นๆ มองโดยรวมแล้วทุกตนล้วนมีความน่าประทับใจ
รัศมีกลิ่นอายของพวกมันเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและสง่างามแต่กลับรู้สึกได้ถึงความป่าเถื่อนและดุร้าย ชนเผ่ายักษ์น้ำเป็นชนเผ่าที่มีความตะกละตะกลามสูง แต่พวกมันก็มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งระดับท้าทายสวรรค์ ผู้คนเล่ากันว่าพวกมันสามารถฉีกกระชากมังกรให้แยกส่วนออกจากกันได้ตั้งแต่กำเนิด
แน่นอนว่านี่คงเป็นเรื่องเล่าในตำนานของพวกยักษาทองคำแต่ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์แม้ในปัจจุบันพวกมันก็คือของจริง
จำนวนผู้คนที่อาศัยอยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์มีเกินกว่า5 แสนคน แต่จำนวนผู้ฝึกตนมีเพียงไม่เกิน 5000 คนเท่านั้น การมีสมาชิกมากเกินไปก็ถือเป็นภาระ จึงทำให้การรวบรวมกำลังพลเป็นไปด้วยความล่าช้า
”เจ้าไต่ตรองเรื่องนี้ดีแล้วหรือไม่?จงมาเป็นหญิงสาวของข้าเถิด มิฉะนั้นข้าจะทำลายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และลากเจ้ากลับบ้านไปพร้อมกับข้า”ยักษ์น้ำที่เป็นผู้นำส่งเสียงตะโกนสั่นสะเทือนไปทั่วพื้นที่
ดวงตาของชิงสุ่ยเบิกกว้างด้วยความแปลกใจเขากำลังมองดูสัตว์เดรัจฉานร่างกายกำยำก่อนที่จะหันไปมองเฉินเจิน หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ เธอเองก็เป็นเพียงหญิงสาวที่มีความสูงเพียงแค่ 1.8 เมตร แน่นอนว่าร่างกายของเธอเล็กมากเมื่อเทียบกับอสูรยักษ์น้ำความสูง 3 เมตร
ชิงสุ่ยไม่สามารถจินตนาการภาพว่ามันจะมีมนุษย์คนใดที่สามารถทนทานต่อความป่าเถื่อนที่ต้องทนแบกรับร่างกายของยักษ์ขนาดใหญ่ตัวนี้ได้
แน่นอนว่าการจ้องมองของชิงสุ่ยมันทำให้เฉินเจินรู้สึกผิดแปลก สีหน้าที่ประหลาดของเขามันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจและมองกลับมาหาชิงสุ่ยด้วยความงงงงวย
บทที่1836 – ยักษ์ ยักษาทองคำ?
การทิ้งเพื่อนให้เผชิญหน้าส่วนตัวเองวิ่งหนีไม่ใช่นิสัยที่ชิงสุ่ยคิดจะทำเขาเองก็ได้รับประโยชน์อย่างมากภายในทะเลศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวยามหัศจรรย์ ไหนจะยังมีมังกรทองคำ และข้อตกลงที่เขาได้ขอให้เธอไปช่วยดูแลจักรพรรดินีผีดูดเลือดแม้จะแลกเปลี่ยนมาด้วยการจับเจ้าม้าอสูรจันทราสวรรค์ เขาก็ยังคงรู้สึกว่าเขาติดหนี้บุญคุณเธอ ดังนั้นเธอจึงเป็นดังเพื่อนแท้ในจิตใจของเขาเสมอ
ชิงสุ่ยย่อมต้องปฏิบัติกับเพื่อนด้วยความเต็มใจแน่นอนว่าเพื่อนแท้ย่อมเป็นสิ่งที่หายาก และการมีเพื่อนแท้เพียงแค่คนเดียวก็มากเพียงพอต่อหนึ่งชีวิตแล้ว
”ไม่ต้องกังวลไปข้าไม่มีวันทิ้งเจ้าแน่”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เฉินเจินก้มหน้าเล็กน้อยมันทำให้ชิงสุ่ยพยายามพูดแก้ไขสถานการณ์ “อย่าคิดมากเลย คำพูดของข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นต่อเจ้าเลย”
เฉินเจินเงยหน้ามองชิงสุ่ยด้วยสายตาสงสัยการแสดงออกของเธอยังคงสงบนิ่งและเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่ามันทำให้ชิงสุ่ยดูเหมือนตัวตลกที่คิดไปเอง เขาเหมือนคนเจ้าเล่ห์ที่กำลังบอกเทพธิดาที่ยืนอยู่ข้างหน้าว่าเขาจะไม่มีทางตกหลุมรักเธอ…………….
ยิ่งพยายามอธิบายมันก็เหมือนกับการพยายามซ่อนความตั้งใจแต่ในไม่ช้าเขาก็กลับคืนสู่ความสงบ และเลิกพูดต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดปัญหายิ่งขึ้นไปอีก
การสนทนายังคงดำเนินไปอย่างช้าๆแน่นอนว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปด้วยความมีอัธยาศัย หัวข้อการพูดคุยเรื่องครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ ชิงสุ่ยจึงอธิบายทุกอย่างด้วยความจริง
เพื่อให้ได้คำตอบที่น่าพึงพอใจเฉินเจินเองก็ไม่ลังเลที่จะตอบคำถามของชิงสุ่ย แม้ว่าเธอจะไม่ได้เล่าเรื่องรายละเอียดครอบครัวของเธอมากนักแต่ชิงสุ่ยก็ได้รับข้อมูลมาพอสมควร แท้จริงแล้วเธอเองก็มาจากตระกูลขนาดใหญ่ และจุดประสงค์ที่เธอมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงาน
ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันเป็นประเพณีที่ล้าสมัยอย่างมากโดยเฉพาะการแต่งงานระหว่างกลุ่มมหาอำนาจใหญ่ด้วยกันเอง ทั้งๆที่ลูกหลานไม่ได้ตกลงปลงใจด้วยกันเลย
เนื่องจากความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเธอชิงสุ่ยจึงเชื่อว่าคงไม่มีใครสามารถบังคับเฉินเจินได้แน่ แต่ตอนนี้มันอาจมีบุคคลหรือสถานการณ์บีบบังคับทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ ซึ่งสุดท้ายชิงสุ่ยก็ไม่ได้ถามต่อเพราะไม่ต้องการล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเธอ
เฉินเจินนำทางชิงสุ่ยเข้าสู่ที่พักซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอเคยใช้มาก่อน”เจ้าพักอยู่ที่นี่ อีก 2-3 วันที่ใกล้จะถึงมันคงจะเป็นวันที่วุ่นวายอย่างมาก ข้าไม่ต้องการให้ผู้คนของข้าต้องได้รับความเจ็บปวด ฉะนั้นถ้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านไอ้พวกพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูร”
ชิงสุ่ยยิ้มและพยักหน้า”มั่นใจได้เลยว่ามันจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เพื่อปกป้องสถานที่เพื่อปกป้องผู้คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มันก็เป็นเหตุผลมากพอที่จะทำให้เธอพยายามทุกวิถีทางเพื่อปกป้องพื้นที่ทั้งหมดเหล่านี้
……………………..
ชิงสุ่ยยังคงรอคอยเวลาจนกระทั่ง 3 วันถัดมา พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรได้นำขบวนกองทัพ 5000 ตนมุ่งหน้าขึ้นสู่สถานที่ตั้งของภูเขาศักดิ์สิทธิ์
จำนวนคน5000 คนไม่ใช่จำนวนที่มากมายนัก แต่ถ้าหากมีความแตกต่างด้านพละกำลัง การใช้จำนวนมากก็ยังพอสามารถแก้ไขปัญหาได้
ชิงสุ่ยจ้องมองสูงคนจากพระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรอย่างน้อยที่สุดชนเผ่ายักษ์น้ำก็ดูเหมือนมนุษย์เพียงแต่มีความสูงที่มากกว่าและมีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดกว่า
ที่เห็นชัดเจนคือร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้สืบทอดมรดกจอมปราชญ์ผู้โง่เขลาดวงตาของพวกมันมีสีฟ้าและมีบริเวณแก้มสีแดง แม้ว่าร่างกายของพวกมันจะไม่มีขน แต่ก็มีเกล็ดปลาที่น่าเกลียดเกาะติดทั่วทั้งร่างกาย
ยอดยุทธกว่า5000 คนตะโกนเสียงที่เต็มไปด้วยความดุร้ายออกมา พวกยักษ์น้ำล้วนแล้วแต่มีผมสีแดงเพลิง ยิ่งทำให้บุคลิกโหดร้ายมากยิ่งขึ้น พร้อมจะกินเลือดกินเนื้อมนุษย์
ด้านหน้าสุดของพวกมันปรากฏให้เห็นเป็นกลุ่มยักษาจำนวน10 กว่าตน ทุกตัวมีความสูงไม่ต่ำกว่า 3 เมตรและมีผมสีแดงห้อยลงมาจากไหล่ถึงเอว ลำตัวเป็นไปด้วยเกล็ดหลากสี และมีลักษณะไม่ได้น่าเกลียดเหมือนกับตัวอื่นๆ มองโดยรวมแล้วทุกตนล้วนมีความน่าประทับใจ
รัศมีกลิ่นอายของพวกมันเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและสง่างามแต่กลับรู้สึกได้ถึงความป่าเถื่อนและดุร้าย ชนเผ่ายักษ์น้ำเป็นชนเผ่าที่มีความตะกละตะกลามสูง แต่พวกมันก็มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งระดับท้าทายสวรรค์ ผู้คนเล่ากันว่าพวกมันสามารถฉีกกระชากมังกรให้แยกส่วนออกจากกันได้ตั้งแต่กำเนิด
แน่นอนว่านี่คงเป็นเรื่องเล่าในตำนานของพวกยักษาทองคำแต่ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์แม้ในปัจจุบันพวกมันก็คือของจริง
จำนวนผู้คนที่อาศัยอยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์มีเกินกว่า5 แสนคน แต่จำนวนผู้ฝึกตนมีเพียงไม่เกิน 5000 คนเท่านั้น การมีสมาชิกมากเกินไปก็ถือเป็นภาระ จึงทำให้การรวบรวมกำลังพลเป็นไปด้วยความล่าช้า
”เจ้าไต่ตรองเรื่องนี้ดีแล้วหรือไม่?จงมาเป็นหญิงสาวของข้าเถิด มิฉะนั้นข้าจะทำลายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ และลากเจ้ากลับบ้านไปพร้อมกับข้า”ยักษ์น้ำที่เป็นผู้นำส่งเสียงตะโกนสั่นสะเทือนไปทั่วพื้นที่
ดวงตาของชิงสุ่ยเบิกกว้างด้วยความแปลกใจเขากำลังมองดูสัตว์เดรัจฉานร่างกายกำยำก่อนที่จะหันไปมองเฉินเจิน หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ เธอเองก็เป็นเพียงหญิงสาวที่มีความสูงเพียงแค่ 1.8 เมตร แน่นอนว่าร่างกายของเธอเล็กมากเมื่อเทียบกับอสูรยักษ์น้ำความสูง 3 เมตร
ชิงสุ่ยไม่สามารถจินตนาการภาพว่ามันจะมีมนุษย์คนใดที่สามารถทนทานต่อความป่าเถื่อนที่ต้องทนแบกรับร่างกายของยักษ์ขนาดใหญ่ตัวนี้ได้
แน่นอนว่าการจ้องมองของชิงสุ่ยมันทำให้เฉินเจินรู้สึกผิดแปลก สีหน้าที่ประหลาดของเขามันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจและมองกลับมาหาชิงสุ่ยด้วยความงงงงวย