Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1841 - สงครามสิ้นสุด
AST
บทที่1841 – สงครามสิ้นสุด
สงครามดำเนินมาถึงบทสรุปผู้อาวุโสระดับสูงทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังชิงสุ่ย เข้าโจมตีกลุ่มอสูรกายทั้ง 7 อย่างบ้าคลั่ง เฉินเจินแลดูจะเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุด แต่พวกยักษ์น้ำก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้พลังของพวกมันจะถูกลดไปกว่าครึ่ง พวกมันก็ยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ผู้อาวุโส 2 คนต่อสู้จนแทบรากเลือด
ชิงสุ่ยได้เปิดใช้งานรัศมีแห่งเทพสงครามจากนั้นก็ค่ายกลต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนพระกำลังของผู้อื่นอย่างไม่หยุดหย่อน
………………………………
ชิงสุ่ยไม่ใช่คนที่จะแสดงความเมตตาให้กับศัตรูที่มีความก้าวร้าวโดยธรรมชาติหลังจากที่เขาลงมือสังหาร 2 คนใน 7 ผู้นำอสูร กองทัพมนุษย์ทั้งหมดก็เริ่มเคลื่อนทัพเข้าโจมตีกองทัพอสูร แต่คลื่นมหาสมุทรมนุษย์ก็ยังคงไร้ประโยชน์เมื่อยืนอยู่ต่อหน้ายอดยุทธที่แข็งแกร่งจากกลุ่มอสูรร่างยักษ์แน่นอนว่าการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวก็ปัดเป่ามวลมนุษย์ให้ถูกทำลายสูญสิ้นชีวิตเป็นจำนวนมาก
เมื่อชิงสุ่ยพบเห็นว่าผู้นำอีก5 คนที่เหลือกำลังวางแผนที่จะหลบหนี ชิงสุ่ยยังคงยับยั้งชั่งใจไม่สังหารพวกมันทิ้งในทันที เขารู้ดีว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายและหากโจมตีพวกมัน กองทัพมนุษย์อาจจะต้องเผชิญหน้ากับผลเสียที่ร้ายแรงตามมา
อสูรสยบมังกรมังกรทองคำห้ากรงเล็บ
ชิงสุ่ยทำการอัญเชิญสัตว์อสูรของเขาทีละตัวอย่างช้าๆ
วิหคอัคคีทมิฬแมงมุมอสูรเศียรมังกร มังกรไอยราเกล็ดทองคำ……..
”หรือว่าแท้จริงแล้วชายผู้นี้คือยอดยุทธผู้ควบคุมสัตว์อสูร…….”ชายร่างยักษ์แสดงสีหน้าหวาดกลัว ข้อแตกต่างระหว่างผู้ควบคุมสัตว์อสูรและผู้ฝึกสัตว์อสูรคงเป็นด้านพละกำลังตัวของผู้คุมสัตว์อสูรจะต้องมีกำลังมากมายเหนือสัตว์อสูร แล้วใช้พละกำลังหลอกนั้นกดขี่สัตว์อสูรให้อยู่ภายใต้อาณัติ ส่วนผู้ฝึกสัตว์อสูร จะทำการใช้ยาอาหารหรืออะไรก็ตามที่ทำให้สัตว์อสูรเชื่อง จากนั้นก็ใช้พวกมันในการฝึกฝนทักษะต่างๆ
ชิงสุ่ยเพียงแค่คนเดียวก็เหมือนมีกองทัพขนาดใหญ่คอยหนุนหลังทั้งยังสามารถหลบหนีได้อย่างฉับพลันโดยอาศัยดินแดนหยกยุพราชอมตะ และยังมีย่างก้าว 9 เทวาที่สามารถหนีเอาตัวรอดได้
ก้าวพสุธาเอราวัณก้าวพสุธามังกรไอยรา……
สงครามที่ดุเดือดสั่นสะเทือนผืนน้ำส่งผลให้แผ่นน้ำทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ก่อนจะกลับคืนสู่สีฟ้าคราม คนของเฉินเจินได้เข้าร่วมสงคราม แต่ส่วนใหญ่แทบไม่ต้องทำอะไร ทุกอย่างคือคำสั่งของชิงสุ่ยผู้คนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ หากเข้าร่วมสงครามก็พอจะล้มตายอย่างไร้ประโยชน์
ภายในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงสงครามก็จบลงอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ฝั่งคนของกลุ่มภูเขาศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แล้วเตรียมตัวที่หนีตาย
แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นคนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์บาดเจ็บล้มตายเพียงแค่หยิบมือแม้ว่าจะยังคงมากแต่ก็ถือว่าเป็นเพียงแค่กลุ่มคนเล็กๆ
สมาชิกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทำความสะอาดสนามรบในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังยืนมองภาพแห่งซากศพสงครามที่เกิดขึ้นจาก บรรดาสัตว์อสูรของเขา นี่ก็นานมากแล้วที่สัตว์อสูรของเขาไม่ได้ทำการฆ่าล้างบางสังหารหมู่คนหมู่มาก และตัวของเขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าในบรรดาทหารศัตรูทั้งหมดเขาลงมือสังหารไปทั้งหมดกี่ตน ”เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่อย่างรึ?”เฉินเจินค่อยๆเดินตรงเข้าหาชิงสุ่ยขณะกล่าวถาม
”ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครั้งสุดท้ายที่ฆ่าสังหารคนหมู่มาก ข้าแทบลืมเลือนไปจนหมดสิ้นแล้ว”
เฉินเจินรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่เข้าใจว่าชิงสุ่ยพยายามจะสื่อความหมายไปทางด้านใด
”ทำไมรึ?หรือว่าเจ้าโตมาโดยสภาพแวดล้อมบังคับให้ต้องเกลียดชังเช่นนี้?”เฉินเจินกล่าวถาม
”ข้าไม่ได้เติบโตมาด้วยความเกลียดชังแต่ข้าก็ไม่ได้ชอบการสังหารผู้คนเป็นผักปลาแบบนี้”ชิงสุ่ยตอบกลับขณะจ้องมองโฉมงามดุจเทพธิดา
”มีผู้ชายที่ไม่ชอบชีวิตที่มีการฆ่าฟันแบบนี้ด้วยอย่างนั้นรึ?”เฉินเจินถามด้วยความสงสัย
”แม้ว่าวันคืนหลังผ่านศึกสงครามจะเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นแต่มือข้างหนึ่งของเราเปื้อนเลือด เราจะไม่มีวันลืมภาพความตาย และชีวิตก็จะติดอยู่ในวังวนแห่งความกระหายสงครามตลอดไป”ชิงสุ่ยจ้องมองฝ่ามือทั้งสองข้าง
”ชีวิตของทุกคนย่อมมีทางเลือกเป็นของตนเองเสมอส่วนโชคชะตาก็จะคอยหนุนนำทางเลือกของคนผู้นั้น บางคนก็อยู่อย่างสงบ ในขณะที่บางคนไม่สามารถหลุดพ้นจากคราบเลือดได้”เฉินเจินกล่าวอย่างไร้ประโยชน์
ชิงสุ่ยนึกย้อนกลับไปถึงคำสอนตอนที่อยู่ในโลกใบก่อนมันเคยมีคนกล่าวไว้ว่า “ชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยการเหยียบย่ำ หากเราไม่สามารถต้านทาน ก็จงสนุกไปกับมัน”
เขาค่อยๆระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเชื่องช้าโดยไม่มีเหตุผล
”ในเมื่อชีวิตถูกบีบคั้นให้ไม่มีทางเลือกเราก็ทำได้เพียงแค่ก้าวเดินต่อไป” ชิงสุ่ยยิ้มและค่อยๆเดินออกไป
เฉินเจินเดินตามชิงสุ่ยไปอย่างเงียบๆในใจของเธอได้เปิดประตูให้ชายคนนี้เข้ามาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในหัวใจแล้ว
ทุกครั้งที่เธอพยายามกำจัดภาพของชายผู้นี้ออกไปจากจิตใจเธอก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากและคงไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะกลายเป็นคนที่พิเศษในจิตใจของเธอไปเสียแล้ว
”พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรยังมียอดยุทธที่ไม่ปรากฏตัวหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าวสอบถาม
”ยังคงมีหลงเหลืออยู่แต่ส่วนใหญ่ที่มาวันนี้ล้วนเป็นกองกำลังหลักด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนพวกที่หลงเหลือก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง”เฉินเจินยิ้มตอบอย่างผ่อนคลาย
บทที่1841 – สงครามสิ้นสุด
สงครามดำเนินมาถึงบทสรุปผู้อาวุโสระดับสูงทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังชิงสุ่ย เข้าโจมตีกลุ่มอสูรกายทั้ง 7 อย่างบ้าคลั่ง เฉินเจินแลดูจะเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุด แต่พวกยักษ์น้ำก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้พลังของพวกมันจะถูกลดไปกว่าครึ่ง พวกมันก็ยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ผู้อาวุโส 2 คนต่อสู้จนแทบรากเลือด
ชิงสุ่ยได้เปิดใช้งานรัศมีแห่งเทพสงครามจากนั้นก็ค่ายกลต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนพระกำลังของผู้อื่นอย่างไม่หยุดหย่อน
………………………………
ชิงสุ่ยไม่ใช่คนที่จะแสดงความเมตตาให้กับศัตรูที่มีความก้าวร้าวโดยธรรมชาติหลังจากที่เขาลงมือสังหาร 2 คนใน 7 ผู้นำอสูร กองทัพมนุษย์ทั้งหมดก็เริ่มเคลื่อนทัพเข้าโจมตีกองทัพอสูร แต่คลื่นมหาสมุทรมนุษย์ก็ยังคงไร้ประโยชน์เมื่อยืนอยู่ต่อหน้ายอดยุทธที่แข็งแกร่งจากกลุ่มอสูรร่างยักษ์แน่นอนว่าการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวก็ปัดเป่ามวลมนุษย์ให้ถูกทำลายสูญสิ้นชีวิตเป็นจำนวนมาก
เมื่อชิงสุ่ยพบเห็นว่าผู้นำอีก5 คนที่เหลือกำลังวางแผนที่จะหลบหนี ชิงสุ่ยยังคงยับยั้งชั่งใจไม่สังหารพวกมันทิ้งในทันที เขารู้ดีว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายและหากโจมตีพวกมัน กองทัพมนุษย์อาจจะต้องเผชิญหน้ากับผลเสียที่ร้ายแรงตามมา
อสูรสยบมังกรมังกรทองคำห้ากรงเล็บ
ชิงสุ่ยทำการอัญเชิญสัตว์อสูรของเขาทีละตัวอย่างช้าๆ
วิหคอัคคีทมิฬแมงมุมอสูรเศียรมังกร มังกรไอยราเกล็ดทองคำ……..
”หรือว่าแท้จริงแล้วชายผู้นี้คือยอดยุทธผู้ควบคุมสัตว์อสูร…….”ชายร่างยักษ์แสดงสีหน้าหวาดกลัว ข้อแตกต่างระหว่างผู้ควบคุมสัตว์อสูรและผู้ฝึกสัตว์อสูรคงเป็นด้านพละกำลังตัวของผู้คุมสัตว์อสูรจะต้องมีกำลังมากมายเหนือสัตว์อสูร แล้วใช้พละกำลังหลอกนั้นกดขี่สัตว์อสูรให้อยู่ภายใต้อาณัติ ส่วนผู้ฝึกสัตว์อสูร จะทำการใช้ยาอาหารหรืออะไรก็ตามที่ทำให้สัตว์อสูรเชื่อง จากนั้นก็ใช้พวกมันในการฝึกฝนทักษะต่างๆ
ชิงสุ่ยเพียงแค่คนเดียวก็เหมือนมีกองทัพขนาดใหญ่คอยหนุนหลังทั้งยังสามารถหลบหนีได้อย่างฉับพลันโดยอาศัยดินแดนหยกยุพราชอมตะ และยังมีย่างก้าว 9 เทวาที่สามารถหนีเอาตัวรอดได้
ก้าวพสุธาเอราวัณก้าวพสุธามังกรไอยรา……
สงครามที่ดุเดือดสั่นสะเทือนผืนน้ำส่งผลให้แผ่นน้ำทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ก่อนจะกลับคืนสู่สีฟ้าคราม คนของเฉินเจินได้เข้าร่วมสงคราม แต่ส่วนใหญ่แทบไม่ต้องทำอะไร ทุกอย่างคือคำสั่งของชิงสุ่ยผู้คนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ หากเข้าร่วมสงครามก็พอจะล้มตายอย่างไร้ประโยชน์
ภายในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงสงครามก็จบลงอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ฝั่งคนของกลุ่มภูเขาศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แล้วเตรียมตัวที่หนีตาย
แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นคนของภูเขาศักดิ์สิทธิ์บาดเจ็บล้มตายเพียงแค่หยิบมือแม้ว่าจะยังคงมากแต่ก็ถือว่าเป็นเพียงแค่กลุ่มคนเล็กๆ
สมาชิกของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทำความสะอาดสนามรบในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังยืนมองภาพแห่งซากศพสงครามที่เกิดขึ้นจาก บรรดาสัตว์อสูรของเขา นี่ก็นานมากแล้วที่สัตว์อสูรของเขาไม่ได้ทำการฆ่าล้างบางสังหารหมู่คนหมู่มาก และตัวของเขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าในบรรดาทหารศัตรูทั้งหมดเขาลงมือสังหารไปทั้งหมดกี่ตน ”เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่อย่างรึ?”เฉินเจินค่อยๆเดินตรงเข้าหาชิงสุ่ยขณะกล่าวถาม
”ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครั้งสุดท้ายที่ฆ่าสังหารคนหมู่มาก ข้าแทบลืมเลือนไปจนหมดสิ้นแล้ว”
เฉินเจินรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่เข้าใจว่าชิงสุ่ยพยายามจะสื่อความหมายไปทางด้านใด
”ทำไมรึ?หรือว่าเจ้าโตมาโดยสภาพแวดล้อมบังคับให้ต้องเกลียดชังเช่นนี้?”เฉินเจินกล่าวถาม
”ข้าไม่ได้เติบโตมาด้วยความเกลียดชังแต่ข้าก็ไม่ได้ชอบการสังหารผู้คนเป็นผักปลาแบบนี้”ชิงสุ่ยตอบกลับขณะจ้องมองโฉมงามดุจเทพธิดา
”มีผู้ชายที่ไม่ชอบชีวิตที่มีการฆ่าฟันแบบนี้ด้วยอย่างนั้นรึ?”เฉินเจินถามด้วยความสงสัย
”แม้ว่าวันคืนหลังผ่านศึกสงครามจะเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นแต่มือข้างหนึ่งของเราเปื้อนเลือด เราจะไม่มีวันลืมภาพความตาย และชีวิตก็จะติดอยู่ในวังวนแห่งความกระหายสงครามตลอดไป”ชิงสุ่ยจ้องมองฝ่ามือทั้งสองข้าง
”ชีวิตของทุกคนย่อมมีทางเลือกเป็นของตนเองเสมอส่วนโชคชะตาก็จะคอยหนุนนำทางเลือกของคนผู้นั้น บางคนก็อยู่อย่างสงบ ในขณะที่บางคนไม่สามารถหลุดพ้นจากคราบเลือดได้”เฉินเจินกล่าวอย่างไร้ประโยชน์
ชิงสุ่ยนึกย้อนกลับไปถึงคำสอนตอนที่อยู่ในโลกใบก่อนมันเคยมีคนกล่าวไว้ว่า “ชีวิตของมนุษย์เต็มไปด้วยการเหยียบย่ำ หากเราไม่สามารถต้านทาน ก็จงสนุกไปกับมัน”
เขาค่อยๆระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเชื่องช้าโดยไม่มีเหตุผล
”ในเมื่อชีวิตถูกบีบคั้นให้ไม่มีทางเลือกเราก็ทำได้เพียงแค่ก้าวเดินต่อไป” ชิงสุ่ยยิ้มและค่อยๆเดินออกไป
เฉินเจินเดินตามชิงสุ่ยไปอย่างเงียบๆในใจของเธอได้เปิดประตูให้ชายคนนี้เข้ามาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ในหัวใจแล้ว
ทุกครั้งที่เธอพยายามกำจัดภาพของชายผู้นี้ออกไปจากจิตใจเธอก็พบว่ามันเป็นเรื่องยากและคงไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะกลายเป็นคนที่พิเศษในจิตใจของเธอไปเสียแล้ว
”พระราชวังเพชฌฆาตสับอสูรยังมียอดยุทธที่ไม่ปรากฏตัวหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าวสอบถาม
”ยังคงมีหลงเหลืออยู่แต่ส่วนใหญ่ที่มาวันนี้ล้วนเป็นกองกำลังหลักด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนพวกที่หลงเหลือก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง”เฉินเจินยิ้มตอบอย่างผ่อนคลาย