Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1850 - คลื่นพลังเทพธิดา พัฒนาสู่ความแข็งแกร่งระดับ 500,000 เต๋า
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1850 - คลื่นพลังเทพธิดา พัฒนาสู่ความแข็งแกร่งระดับ 500,000 เต๋า
AST
บทที่1850 – คลื่นพลังเทพธิดา พัฒนาสู่ความแข็งแกร่งระดับ 500,000 เต๋า
ภาพโฉมงามทั้ง12 ตอนนี้ต่างก็อยู่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะ นอกจากนี้เขายังพบอีกว่าปรมาจารย์นักวาดภาพยังคงมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันความแข็งของเขาอยู่ระดับใด แล้วเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลชิง? เขามีชีวิตอยู่ยาวนานเพียงใด? และขีดจำกัดของมนุษย์อยู่ในระดับใด? ทุกอย่างยังคงเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ
นอกจากนี้ภายใต้ภาพโฉมงามทั้ง12 ยังมีความลับซ่อนอยู่ภายใน….. พวกเธอเป็นตัวแทนเส้นลมปราณสวรรค์ทั้ง 12 เส้นจริงๆหรือ? แล้วมันมีความสามารถอะไรที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาซึ่งเชื่อมโยงกับเส้นลมปราณสวรรค์ทั้ง 12 เส้น ในตอนแรกเขาคิดว่าภาพโฉมงามทั้ง 12 คือสิ่งที่หายากยิ่ง แต่เขากลับไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถพบเจอทั้งหมดได้ภายในเพียงแค่ 30 ปี
เมื่อถึงเวลาฝึกซ้อมชิงสุ่ยก็กลับเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะ และมองดูภาพวาดทั้ง 12 ที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ
ภาพทั้งหมดช่างดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมให้ความรู้สึกเหมือนฝันอย่างที่อธิบายไม่ได้ พร้อมกับเกิดพลังเหนือจินตนาการในร่างกายของเขา
มันคล้ายกับพลังเก้าหยางแต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับพลังวิญญาณเก้าหยางแห่งจิตวิญญาณมังกร ความแข็งแกร่งที่รับรู้ช่างผิดแปลกจากปกติ มันเหมือนกับดินแดนแห้งแล้งที่กำลังเผชิญหน้ากับน้ำฝน และร่างกายของชิงสุ่ยที่เหมือนดินแดนแห้งแล้งก็ดูดซับมันอย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุดความผันแปรก็ค่อยๆคืนสู่ความสงบความวุ่นวายกลายเป็นความสามัคคี ที่ผสานพลังค่อยๆทำนุบำรุงร่างกายชิงสุ่ยอย่างช้าๆ เส้นรวมปราณทุกเส้นแม้กระทั่งอวัยวะต่างๆก็เปิดรับพลังอย่างบ้าคลั่ง
ความแข็งแกร่งที่ว่าอาจจะดูน้อยในสายตาของชิงสุ่ยแต่มันก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างกายของเขายิ่งรับพลังยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย มันจะมีประโยชน์มากเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับเวลา
ในขณะที่ชิงสุ่ยยืนนิ่งรอบตัวของเขาเหมือนกับกำลังยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง มันไม่ใช่แสงสว่างสีทอง แต่เป็นแสงสีรุ้ง เหมือนเป็นทั้งวงแหวนและเมฆหมอกในเวลาเดียวกัน
จนกระทั่งชิงสุ่ยฟื้นคืนสติวันเวลาก็ผ่านล่วงเลยไปถึง 3 วัน เขาแทบไม่รู้ตัวเลย สามวันในดินแดนหยกยุพราชอมตะอาจจะดูเล็กน้อย แต่ปรากฏการณ์เช่นนี้ นี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอ
สิ่งแรกที่เขาทำคือพยายามตรวจสอบพละกำลังมันไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายนัก เพียงแค่พัฒนาจากระดับ 400,000 เต๋าไปสู่ระดับ 500,000 เต๋า ส่วนพละกำลังพื้นฐานแรกเริ่มพัฒนาสู่ระดับ 1,500,000 สุริยา เมื่อพิจารณาจากปรากฏการณ์ที่พึ่งผ่านพ้นไปความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นถือเป็นส่วนเล็กน้อย แต่ประโยชน์ที่เขาได้รับจริงๆ คงเป็นการก่อร่างรูปแบบพลังที่เป็นรูปธรรมมากกว่าเก่า
รูปแบบคลิ่นพลังที่เขาใช้เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้วเมื่อก่อนกลายเป็นเพียงแค่เข็ม ส่วนปัจจุบันมันได้พัฒนากลายเป็นเสาเข็ม แน่นอนว่าการเจาะทะลุทะลวงเข็มย่อมมีพลังต่ำกว่าเสาเข็มขนาดใหญ่มาก เพราะขนาดและความแข็งแกร่งที่ซุกซ่อนนั้นแตกต่างกันเกินไป
นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานไม่ใช่วิธีการหลักในการเปรียบเทียบความมุ่งมั่นและพลังทำลายล้าง
ชิงสุ่ยได้รับพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงสวรรค์ได้จากการมองดูภาพโฉมงามทั้ง12 …….หรือว่านี่จะเป็นหลักเคล็ดวิชาที่ซ่อนอยู่ภายในภาพวาด เขาอยากรู้เหลือเกินว่าพลังเหล่านี้มันคืออะไร เนื่องจากมันเป็นพลังที่ซ่อนอยู่ภายในภาพวาดโฉมงามทั้ง12 เขาจึงคิดว่ามันควรตั้งชื่อว่าพลังเทพธิดา แต่มันก็คงฟังดูแปลกไปหน่อย….
ชิงสุ่ยใช้เวลาคิดชื่อเกือบครึ่งวันแต่เขาก็ไม่สามารถหาชื่อที่ได้ เขาจึงตัดสินใจใช้ชื่อว่าคลื่นพลังเทพธิดา
ชิงสุ่ยกลับมาฝึกฝนเพลงหมัดไทเก๊กต่อแต่ครั้งนี้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไป ก่อนหน้ามันเป็นเพียงแค่ท่วงท่าที่ไร้รูปลักษณ์ แต่ดูเหมือนจะมีแนวคิดบางอย่างผสานอยู่ข้างใน ทุกท่วงท่าของเขาเคลื่อนไหวเหมือนกับเทวดานางฟ้าจากสวรรค์ มันเป็นรอยต่อระหว่างความแข็งแกร่งและความอ่อนโยน ซึ่งส่งผลให้ทุกการเคลื่อนไหวรวดเร็วสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
………………………….
ในเช้าวันถัดมาชิงสุ่ยลุกขึ้นตื่นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว เมื่อออกไปข้างนอก ดูเหมือนจักรพรรดินีผีดูดเลือดจะลุกขึ้นตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ตอนนี้เธอกำลังให้นมลูกของเธอโดยที่มีชิงสุ่ยกำลังเฝ้ามอง
ชิงสุ่ยยิ้มขณะมองดูจากเบื้องหน้าเขามองดูหน้าอกภูเขาหิมะขาวนวลโดยไม่กระพริบตา กิริยาท่าทางของเธอยังคงเต็มไปด้วยความสง่างาม พร้อมกลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง
”เจ้ามันไอ้คนถ้ำมอง”จักรพรรดินีผีดูดเลือดสังเกตเห็นแววตาเธอจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่พอใจนัก
”เหอะข้าอิจฉาสาวน้อยคนนั้นจริงๆ……”ชิงสุ่ยเป็นคนที่หน้าด้านอยู่แล้ว เขาจึงไม่รู้สึกกังวลใดๆเลยขณะกล่าวคำพูดวาจาเหล่านี้ออกไป
แน่นอนว่าจักรพรรดินีผีดูดเลือดรู้ความหมายคำพูดของชิงสุ่ยเธอถึงเขินอายก่อนจะแกล้งเตะชิงสุ่ย มันช่างบังเอิญเหลือเกินที่ชิงสุ่ยสามารถคว้าข้อเท้าของเธอได้ทันก่อนจะผลักเธอเอนกายแนบอิงบนที่นั่งขณะที่เธอยังคงให้นมลูกน้อย ชิงสุ่ยจับข้อทางที่สง่างามก่อนจะสัมผัสร่างกายที่แสนนุ่มนวล
”ชิงสุ่ยข้าจะไม่เตะเจ้าอีกแล้ว ปล่อยข้าเถิด”
ชิงสุ่ยยิ้มอย่างมีเลศนัยดูเหมือนขาจะเป็นจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของเธอ และคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่สวมใส่รองเท้า
”ให้ข้าได้ช่วยนวดขาของเจ้าเถิด”ชิงสุ่ยยิ้มขณะเริ่มต้นการนวดขาของเธอ
หลังจากผ่านไปเพียงแค่ชั่วครู่เดียวชิงสุ่ยก็เริ่มได้ยินเสียงร้องครวญครางแสนนุ่มนวลดังออกมาจากปากของเธอ ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความงดงามพร้อมกับริมฝีปากที่ดึงดูดใจ
ใบหน้าของจักรพรรดินีผีดูดเลือดแดงกล่ำร่างกายของเธอรู้สึกถึงแรงกระตุ้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่กล้าเงยหน้ามองชิงสุ่ย และแล้วชิงสุ่ยก็ค่อยๆปล่อยขาของเธออย่างช้าๆ ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น ส่วนทางด้านชิงสุ่ยเขาเห็นเพียงแค่ดวงตาอันแสนเย็นชา พร้อมกับใบหน้าที่แสดงถึงความเขินอายเล็กน้อย ชายคนหนึ่งสามารถนำพาเธอไปถึงจุดสุดยอดแห่งความสุขได้เพียงแค่สัมผัสบริเวณขา เธอจึงไม่รู้ว่าเธอควรรู้สึกยินดีหรือเธอควรรู้สึกเช่นไร?
��
บทที่1850 – คลื่นพลังเทพธิดา พัฒนาสู่ความแข็งแกร่งระดับ 500,000 เต๋า
ภาพโฉมงามทั้ง12 ตอนนี้ต่างก็อยู่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะ นอกจากนี้เขายังพบอีกว่าปรมาจารย์นักวาดภาพยังคงมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันความแข็งของเขาอยู่ระดับใด แล้วเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลชิง? เขามีชีวิตอยู่ยาวนานเพียงใด? และขีดจำกัดของมนุษย์อยู่ในระดับใด? ทุกอย่างยังคงเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ
นอกจากนี้ภายใต้ภาพโฉมงามทั้ง12 ยังมีความลับซ่อนอยู่ภายใน….. พวกเธอเป็นตัวแทนเส้นลมปราณสวรรค์ทั้ง 12 เส้นจริงๆหรือ? แล้วมันมีความสามารถอะไรที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาซึ่งเชื่อมโยงกับเส้นลมปราณสวรรค์ทั้ง 12 เส้น ในตอนแรกเขาคิดว่าภาพโฉมงามทั้ง 12 คือสิ่งที่หายากยิ่ง แต่เขากลับไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถพบเจอทั้งหมดได้ภายในเพียงแค่ 30 ปี
เมื่อถึงเวลาฝึกซ้อมชิงสุ่ยก็กลับเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะ และมองดูภาพวาดทั้ง 12 ที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ
ภาพทั้งหมดช่างดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมให้ความรู้สึกเหมือนฝันอย่างที่อธิบายไม่ได้ พร้อมกับเกิดพลังเหนือจินตนาการในร่างกายของเขา
มันคล้ายกับพลังเก้าหยางแต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนกับพลังวิญญาณเก้าหยางแห่งจิตวิญญาณมังกร ความแข็งแกร่งที่รับรู้ช่างผิดแปลกจากปกติ มันเหมือนกับดินแดนแห้งแล้งที่กำลังเผชิญหน้ากับน้ำฝน และร่างกายของชิงสุ่ยที่เหมือนดินแดนแห้งแล้งก็ดูดซับมันอย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุดความผันแปรก็ค่อยๆคืนสู่ความสงบความวุ่นวายกลายเป็นความสามัคคี ที่ผสานพลังค่อยๆทำนุบำรุงร่างกายชิงสุ่ยอย่างช้าๆ เส้นรวมปราณทุกเส้นแม้กระทั่งอวัยวะต่างๆก็เปิดรับพลังอย่างบ้าคลั่ง
ความแข็งแกร่งที่ว่าอาจจะดูน้อยในสายตาของชิงสุ่ยแต่มันก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างกายของเขายิ่งรับพลังยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย มันจะมีประโยชน์มากเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับเวลา
ในขณะที่ชิงสุ่ยยืนนิ่งรอบตัวของเขาเหมือนกับกำลังยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง มันไม่ใช่แสงสว่างสีทอง แต่เป็นแสงสีรุ้ง เหมือนเป็นทั้งวงแหวนและเมฆหมอกในเวลาเดียวกัน
จนกระทั่งชิงสุ่ยฟื้นคืนสติวันเวลาก็ผ่านล่วงเลยไปถึง 3 วัน เขาแทบไม่รู้ตัวเลย สามวันในดินแดนหยกยุพราชอมตะอาจจะดูเล็กน้อย แต่ปรากฏการณ์เช่นนี้ นี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอ
สิ่งแรกที่เขาทำคือพยายามตรวจสอบพละกำลังมันไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายนัก เพียงแค่พัฒนาจากระดับ 400,000 เต๋าไปสู่ระดับ 500,000 เต๋า ส่วนพละกำลังพื้นฐานแรกเริ่มพัฒนาสู่ระดับ 1,500,000 สุริยา เมื่อพิจารณาจากปรากฏการณ์ที่พึ่งผ่านพ้นไปความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นถือเป็นส่วนเล็กน้อย แต่ประโยชน์ที่เขาได้รับจริงๆ คงเป็นการก่อร่างรูปแบบพลังที่เป็นรูปธรรมมากกว่าเก่า
รูปแบบคลิ่นพลังที่เขาใช้เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้วเมื่อก่อนกลายเป็นเพียงแค่เข็ม ส่วนปัจจุบันมันได้พัฒนากลายเป็นเสาเข็ม แน่นอนว่าการเจาะทะลุทะลวงเข็มย่อมมีพลังต่ำกว่าเสาเข็มขนาดใหญ่มาก เพราะขนาดและความแข็งแกร่งที่ซุกซ่อนนั้นแตกต่างกันเกินไป
นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานไม่ใช่วิธีการหลักในการเปรียบเทียบความมุ่งมั่นและพลังทำลายล้าง
ชิงสุ่ยได้รับพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงสวรรค์ได้จากการมองดูภาพโฉมงามทั้ง12 …….หรือว่านี่จะเป็นหลักเคล็ดวิชาที่ซ่อนอยู่ภายในภาพวาด เขาอยากรู้เหลือเกินว่าพลังเหล่านี้มันคืออะไร เนื่องจากมันเป็นพลังที่ซ่อนอยู่ภายในภาพวาดโฉมงามทั้ง12 เขาจึงคิดว่ามันควรตั้งชื่อว่าพลังเทพธิดา แต่มันก็คงฟังดูแปลกไปหน่อย….
ชิงสุ่ยใช้เวลาคิดชื่อเกือบครึ่งวันแต่เขาก็ไม่สามารถหาชื่อที่ได้ เขาจึงตัดสินใจใช้ชื่อว่าคลื่นพลังเทพธิดา
ชิงสุ่ยกลับมาฝึกฝนเพลงหมัดไทเก๊กต่อแต่ครั้งนี้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนไป ก่อนหน้ามันเป็นเพียงแค่ท่วงท่าที่ไร้รูปลักษณ์ แต่ดูเหมือนจะมีแนวคิดบางอย่างผสานอยู่ข้างใน ทุกท่วงท่าของเขาเคลื่อนไหวเหมือนกับเทวดานางฟ้าจากสวรรค์ มันเป็นรอยต่อระหว่างความแข็งแกร่งและความอ่อนโยน ซึ่งส่งผลให้ทุกการเคลื่อนไหวรวดเร็วสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
………………………….
ในเช้าวันถัดมาชิงสุ่ยลุกขึ้นตื่นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว เมื่อออกไปข้างนอก ดูเหมือนจักรพรรดินีผีดูดเลือดจะลุกขึ้นตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ตอนนี้เธอกำลังให้นมลูกของเธอโดยที่มีชิงสุ่ยกำลังเฝ้ามอง
ชิงสุ่ยยิ้มขณะมองดูจากเบื้องหน้าเขามองดูหน้าอกภูเขาหิมะขาวนวลโดยไม่กระพริบตา กิริยาท่าทางของเธอยังคงเต็มไปด้วยความสง่างาม พร้อมกลิ่นหอมที่ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง
”เจ้ามันไอ้คนถ้ำมอง”จักรพรรดินีผีดูดเลือดสังเกตเห็นแววตาเธอจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่พอใจนัก
”เหอะข้าอิจฉาสาวน้อยคนนั้นจริงๆ……”ชิงสุ่ยเป็นคนที่หน้าด้านอยู่แล้ว เขาจึงไม่รู้สึกกังวลใดๆเลยขณะกล่าวคำพูดวาจาเหล่านี้ออกไป
แน่นอนว่าจักรพรรดินีผีดูดเลือดรู้ความหมายคำพูดของชิงสุ่ยเธอถึงเขินอายก่อนจะแกล้งเตะชิงสุ่ย มันช่างบังเอิญเหลือเกินที่ชิงสุ่ยสามารถคว้าข้อเท้าของเธอได้ทันก่อนจะผลักเธอเอนกายแนบอิงบนที่นั่งขณะที่เธอยังคงให้นมลูกน้อย ชิงสุ่ยจับข้อทางที่สง่างามก่อนจะสัมผัสร่างกายที่แสนนุ่มนวล
”ชิงสุ่ยข้าจะไม่เตะเจ้าอีกแล้ว ปล่อยข้าเถิด”
ชิงสุ่ยยิ้มอย่างมีเลศนัยดูเหมือนขาจะเป็นจุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของเธอ และคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่สวมใส่รองเท้า
”ให้ข้าได้ช่วยนวดขาของเจ้าเถิด”ชิงสุ่ยยิ้มขณะเริ่มต้นการนวดขาของเธอ
หลังจากผ่านไปเพียงแค่ชั่วครู่เดียวชิงสุ่ยก็เริ่มได้ยินเสียงร้องครวญครางแสนนุ่มนวลดังออกมาจากปากของเธอ ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความงดงามพร้อมกับริมฝีปากที่ดึงดูดใจ
ใบหน้าของจักรพรรดินีผีดูดเลือดแดงกล่ำร่างกายของเธอรู้สึกถึงแรงกระตุ้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่กล้าเงยหน้ามองชิงสุ่ย และแล้วชิงสุ่ยก็ค่อยๆปล่อยขาของเธออย่างช้าๆ ใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น ส่วนทางด้านชิงสุ่ยเขาเห็นเพียงแค่ดวงตาอันแสนเย็นชา พร้อมกับใบหน้าที่แสดงถึงความเขินอายเล็กน้อย ชายคนหนึ่งสามารถนำพาเธอไปถึงจุดสุดยอดแห่งความสุขได้เพียงแค่สัมผัสบริเวณขา เธอจึงไม่รู้ว่าเธอควรรู้สึกยินดีหรือเธอควรรู้สึกเช่นไร?
��