Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1862 - ชายชราแห่งนิกายสวรรค์ดาราอมตะ ความหยั้งรู้
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1862 - ชายชราแห่งนิกายสวรรค์ดาราอมตะ ความหยั้งรู้
AST
บทที่1862 – ชายชราแห่งนิกายสวรรค์ดาราอมตะ ความหยั้งรู้
คำพูดของเฉินเจินสร้างความตกตะลึงให้กับชิงสุ่ยอย่างมากนี่คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอสรรสร้างภูเขาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา แต่ในใจของเธอคงไม่เคยใฝ่ฝันที่จะได้รับบทบาทอันสำคัญเช่นนี้ แม้ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนิกายอมตะ แต่เมื่ออาศัยพละกำลังของเฉินเจินเพียงคนเดียว ก็มากพอที่จะปกป้อง แต่เมื่อไหร่ที่ถูกคุกคาม เธอดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ภัยเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้เลย
หลังจากนั้นไม่นานนักเฉินเจินก็รู้สึกตัว เธอจึงยิ้มและส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าอ่อนแอหรือไม่?”
”ไม่เลยตัวเจ้านั้นแข็งแกร่งมาก และยังเป็นหญิงสาวที่จิตวิญญาณไม่เคยมีความย่อท้อ”ชิงสุ่ยยิ้มตอบและคำพูดของเขาอาจจะไม่ได้ดูจริงจัง แต่ก็เป็นคำพูดที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
”จิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อไม่ย่อท้อไม่ยอมแพ้ หากมีมันมากเกินไป คงไม่ต่างอะไรจากพระอาทิตย์ที่กำลังจะอับเฉา มันเปรียบเสมือนดาบสองคม ความไม่ย่อท้อไม่ต่างอะไรจากความดื้อรั้น แม้แต่คำพูดที่ใช้พูดคุยกับผู้อื่น โดยเฉพาะเพศชายแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”เฉินเจินกล่าว
ชิงสุ่ยเข้าใจดีเธออยากจะทำให้ทุกอย่างเธอเคยมีกลับคืนมา เธอจึงต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ทะนงตน จนไม่รู้ว่าวันหนึ่งบุคลิกภายนอกของเธอจะเปลี่ยนไป
”ความสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย”ชิงสุ่ยส่ายหน้า
”แต่มันก็เป็นสิ่งที่เดินควบคู่กันไป”
”นั่นมันก็จริงเพราะถ้าหากหญิงสาวแข็งแกร่งมากเกินไป ผู้ชายก็จะไม่กล้าเข้าหา”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวตอบ ”เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เจ้าพยายามหลีกเลี่ยงงานแต่ง แต่ตัวของเจ้านั้นเป็นเหมือนผู้หญิงที่กำลังโหยหาความรักอยู่เลย ในที่สุดเจ้าก็คงมีความคิดที่กำลังมองหาผู้ชายที่เหมาะสมกับเจ้าใช่หรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับมองดูหญิงสาวที่แสนงดงาม
ในครั้งนี้สิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าวเป็นคำพูดที่เขาตั้งใจแต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนะ และไม่ได้ต้องการจะใช้ประโยชน์จากตัวของเธอเลย
……………………………
วันอันแสนสงบสุขเริ่มต้นขึ้นวนเวียนไปจนกระทั่ง 1 สัปดาห์ ช่างเป็นอะไรที่น่าแปลกนักที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชิงสุ่ยยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ ในขณะที่เฉินเจินก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆทั้งสิ้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้า ดูเหมือนปัจจุบันเธอจะฝึกฝนหนักกว่าที่เคยทำ
แต่สิ่งที่พวกเขาคาดคิดสุดท้ายปลายทางมันก็ต้องเกิดขึ้นหลังจากครึ่งเดือน ผู้คนจากนิกายสวรรค์ดาราอมตะก็เดินทางมาคราวนี้ กลุ่มคนที่เดินทางไม่ใช่กลุ่มคนที่เคยมาครั้งที่แล้ว แม้แต่ เหลียนเฉินหยางก็ไม่ได้ปรากฏตัว แต่ผู้คนที่เดินทางมามีอายุมากกว่าเหลียนเฉินหยางเสียอีก
เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยงวัน
ชิงสุ่ยรับรู้ถึงการมาของกลุ่มคนเหล่านี้แต่เขากำลังฝึกฝนอยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้า เขาจึงยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวเหมือนภูเขาที่ฝังรากลึก
คงมีเฉพาะเฉินเจินที่รีบมาปรากฏตัวอยู่ไม่ห่างจากชิงสุ่ยพร้อมกับเปล่งเสียงเรียก”มีบางคนมาที่นี่แล้ว!!”
ไม่ว่าจะเป็นใครหรือจะเป็นคนของนิกายสวรรค์ดาราอมตะสุดท้ายพวกเขาก็ได้เดินทางมาเยือนชิงสุ่ยแล้ว
”พวกเราไปกันเถอะ”ชิงสุ่ยหยุดการฝึกฝนสวมเสื้อและค่อยๆเดินออกมาข้างนอก
เฉินเจินปากสั่นมือสั่นเล็กน้อยเธอไม่พูดจาอะไรนอกจากเดินตามชิงสุ่ยออกไปเช่นกัน
ทั้งสองคนเดินทางออกไปข้างนอกอย่างใจเย็นและค่อยๆจ้องมองไปยังชายชราที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
”พ่อหนุ่มน้อยเจ้ายิ้มทำไม?”ชายชราที่มีท่าทางน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล อย่างไรก็ตามแม้จะพูดด้วยน้ำเสียงอันบางเบาแต่ก็ได้ยินชัดเจนแม้จะอยู่ห่างไกล
ชิงสุ่ยกำลังตรวจสอบชายชราที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชายชราผู้นี้มาในชุดคลุมสีเทา ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงเกียรติ ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและแนวแน่ มันคือดวงตาที่จะพบเจอได้เฉพาะกับผู้สูงศักดิ์เท่านั้น
ชายชรามีความสูงไม่มากแต่กลิ่นอายโบราณที่ปล่อยอยู่รอบตัวเป็นตัวบ่งบอกอายุได้อย่างดี หากไม่ใช่คนที่ผ่านโลกมามาก ไม่มีทางที่จะปลดปล่อยกลิ่นอายเช่นนี้ได้ ”ข้าอยากจะหัวเราะจริงๆที่ข้าทำให้คนชราอย่างท่านยอมละทิ้งดินแดนฝึกตนเพื่อออกมาที่นี้ได้”ชิงสุ่ยส่ายหน้า
ชายชราไม่ได้รู้สึกกังวลใดๆเลยเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ดินแดนอะไรกัน? เจ้าคงไม่คิดสินะว่าข้าจะมาวันนี้?”
”ให้ข้าเดา ท่านคงจะติดขัดอยู่ในระดับพลังปัจจุบันมานานมากแล้วใช่หรือไม่? หากข้าเข้าใจไม่ผิด มันคงเป็นเพราะท่านไม่อาจปล่อยวางให้คนของท่านคอยดูแลสิ่งต่างๆ และตอนนี้ท่านเองก็ยังลังเลไม่กล้ามอบตำแหน่งสำคัญอย่างแท้จริงให้กับลูกหลานของท่าน”ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปที่ชายชรา
ชายชราแสดงสีหน้าตกใจนี่ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับนิกายสวรรค์ดาราอมตะ แม้ภายนอกอาจจะดูเหมือนว่าเขาได้ส่งมอบตำแหน่งของเขาให้กับคนรุ่นหลัง แต่สุดท้ายคนรุ่นหลังก็ยังคงต้องพึ่งพาเขา ทุกการตัดสินใจขึ้นอยู่กับชายชรา แต่คงมีเพียงเฉพาะคนภายนอกเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องนี้ คำพูดของชิงสุ่ยนั้นคือสิ่งที่สมเหตุสมผลชายชราไม่อาจทะลวงผ่านขอขวดที่ติดขัดในระดับพลังของตนได้ก็เพราะเขาไม่สามารถปล่อยวาง ในเมื่อจิตใจยังคงเต็มไปด้วยความกังวล ขอให้ฝึกฝนก็ไม่มีทางมีสมาธิอย่างสมบูรณ์ได้
สายตาของชายชราก็เริ่มมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจนก่อนหน้านี้เขารับรู้เรื่องราวการหลบหนีของเฉินเจินมาโดยตลอด และการที่เธอหลบหนีพิธีแต่งงานกับตระกูลเหลียนเฉิน ไม่ต่างจากการสร้างความอับอายให้กับนิกายสวรรค์ดาราอมตะเลย และยิ่งเขาให้ความสำคัญกับความรู้สึก ผู้คนภายนอกย่อมต้องหัวเราะเยาะในเรื่องที่นิกายสวรรค์ดาราอมตะถูกหักหน้าอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนชายชราจะสามารถละทิ้งเรื่องราวภายนอกได้จนหมดสิ้นพลังของมนุษย์แทรกตัวอยู่ภายใต้สภาพจิตใจ หากแสดงความกังวลมากเกินไป คนคนนั้นก็จะไม่พัฒนา ทันใดนั้นจิตใจของชายชราก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงบางสิ่งในร่างกายของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เหมือนกับต้นไม้เก่าที่เริ่มงอกกิ่งก้านใบใหม่ มันคือหนึ่งในรูปแบบการถือกำเนิดใหม่
”ขอบคุณมากพ่อหนุ่มน้อย”
ชายชรากล่าวบางอย่างที่ดูงี่เง่าแต่ก็สร้างความสับสนให้กับเฉินเจินและชายชราคนอื่นๆอย่างมาก
มีเพียงชิงสุ่ยเท่านั้นที่รู้ความหมายในคำพูดเขาเองก็แปลกใจที่ชายชราสามารถบรรลุสัจธรรมได้ทันทีหลังจากที่ฟังคำพูดของเขาเพียงไม่กี่คำ ก่อนหน้านี้จิตใจของชายชราอาจกล่าวได้ว่ามันกำลังถูกปิดกั้น ปิดกั้นเพราะคนอื่นๆไม่สามารถเป็นในสิ่งที่เขาต้องการได้ แต่ชายชราก็คงไม่คิดว่าเรื่องง่ายๆเช่นนี้จะเป็นตัวขวางกั้นไม่ให้เขาพัฒนาพลังขึ้นไปในระดับที่ควรเป็น
บทที่1862 – ชายชราแห่งนิกายสวรรค์ดาราอมตะ ความหยั้งรู้
คำพูดของเฉินเจินสร้างความตกตะลึงให้กับชิงสุ่ยอย่างมากนี่คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอสรรสร้างภูเขาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา แต่ในใจของเธอคงไม่เคยใฝ่ฝันที่จะได้รับบทบาทอันสำคัญเช่นนี้ แม้ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนิกายอมตะ แต่เมื่ออาศัยพละกำลังของเฉินเจินเพียงคนเดียว ก็มากพอที่จะปกป้อง แต่เมื่อไหร่ที่ถูกคุกคาม เธอดูเหมือนจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ภัยเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้เลย
หลังจากนั้นไม่นานนักเฉินเจินก็รู้สึกตัว เธอจึงยิ้มและส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าอ่อนแอหรือไม่?”
”ไม่เลยตัวเจ้านั้นแข็งแกร่งมาก และยังเป็นหญิงสาวที่จิตวิญญาณไม่เคยมีความย่อท้อ”ชิงสุ่ยยิ้มตอบและคำพูดของเขาอาจจะไม่ได้ดูจริงจัง แต่ก็เป็นคำพูดที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
”จิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อไม่ย่อท้อไม่ยอมแพ้ หากมีมันมากเกินไป คงไม่ต่างอะไรจากพระอาทิตย์ที่กำลังจะอับเฉา มันเปรียบเสมือนดาบสองคม ความไม่ย่อท้อไม่ต่างอะไรจากความดื้อรั้น แม้แต่คำพูดที่ใช้พูดคุยกับผู้อื่น โดยเฉพาะเพศชายแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”เฉินเจินกล่าว
ชิงสุ่ยเข้าใจดีเธออยากจะทำให้ทุกอย่างเธอเคยมีกลับคืนมา เธอจึงต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ทะนงตน จนไม่รู้ว่าวันหนึ่งบุคลิกภายนอกของเธอจะเปลี่ยนไป
”ความสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย”ชิงสุ่ยส่ายหน้า
”แต่มันก็เป็นสิ่งที่เดินควบคู่กันไป”
”นั่นมันก็จริงเพราะถ้าหากหญิงสาวแข็งแกร่งมากเกินไป ผู้ชายก็จะไม่กล้าเข้าหา”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวตอบ ”เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เจ้าพยายามหลีกเลี่ยงงานแต่ง แต่ตัวของเจ้านั้นเป็นเหมือนผู้หญิงที่กำลังโหยหาความรักอยู่เลย ในที่สุดเจ้าก็คงมีความคิดที่กำลังมองหาผู้ชายที่เหมาะสมกับเจ้าใช่หรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับมองดูหญิงสาวที่แสนงดงาม
ในครั้งนี้สิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าวเป็นคำพูดที่เขาตั้งใจแต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนะ และไม่ได้ต้องการจะใช้ประโยชน์จากตัวของเธอเลย
……………………………
วันอันแสนสงบสุขเริ่มต้นขึ้นวนเวียนไปจนกระทั่ง 1 สัปดาห์ ช่างเป็นอะไรที่น่าแปลกนักที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชิงสุ่ยยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ ในขณะที่เฉินเจินก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆทั้งสิ้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้า ดูเหมือนปัจจุบันเธอจะฝึกฝนหนักกว่าที่เคยทำ
แต่สิ่งที่พวกเขาคาดคิดสุดท้ายปลายทางมันก็ต้องเกิดขึ้นหลังจากครึ่งเดือน ผู้คนจากนิกายสวรรค์ดาราอมตะก็เดินทางมาคราวนี้ กลุ่มคนที่เดินทางไม่ใช่กลุ่มคนที่เคยมาครั้งที่แล้ว แม้แต่ เหลียนเฉินหยางก็ไม่ได้ปรากฏตัว แต่ผู้คนที่เดินทางมามีอายุมากกว่าเหลียนเฉินหยางเสียอีก
เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยงวัน
ชิงสุ่ยรับรู้ถึงการมาของกลุ่มคนเหล่านี้แต่เขากำลังฝึกฝนอยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้า เขาจึงยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวเหมือนภูเขาที่ฝังรากลึก
คงมีเฉพาะเฉินเจินที่รีบมาปรากฏตัวอยู่ไม่ห่างจากชิงสุ่ยพร้อมกับเปล่งเสียงเรียก”มีบางคนมาที่นี่แล้ว!!”
ไม่ว่าจะเป็นใครหรือจะเป็นคนของนิกายสวรรค์ดาราอมตะสุดท้ายพวกเขาก็ได้เดินทางมาเยือนชิงสุ่ยแล้ว
”พวกเราไปกันเถอะ”ชิงสุ่ยหยุดการฝึกฝนสวมเสื้อและค่อยๆเดินออกมาข้างนอก
เฉินเจินปากสั่นมือสั่นเล็กน้อยเธอไม่พูดจาอะไรนอกจากเดินตามชิงสุ่ยออกไปเช่นกัน
ทั้งสองคนเดินทางออกไปข้างนอกอย่างใจเย็นและค่อยๆจ้องมองไปยังชายชราที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
”พ่อหนุ่มน้อยเจ้ายิ้มทำไม?”ชายชราที่มีท่าทางน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล อย่างไรก็ตามแม้จะพูดด้วยน้ำเสียงอันบางเบาแต่ก็ได้ยินชัดเจนแม้จะอยู่ห่างไกล
ชิงสุ่ยกำลังตรวจสอบชายชราที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชายชราผู้นี้มาในชุดคลุมสีเทา ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงเกียรติ ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและแนวแน่ มันคือดวงตาที่จะพบเจอได้เฉพาะกับผู้สูงศักดิ์เท่านั้น
ชายชรามีความสูงไม่มากแต่กลิ่นอายโบราณที่ปล่อยอยู่รอบตัวเป็นตัวบ่งบอกอายุได้อย่างดี หากไม่ใช่คนที่ผ่านโลกมามาก ไม่มีทางที่จะปลดปล่อยกลิ่นอายเช่นนี้ได้ ”ข้าอยากจะหัวเราะจริงๆที่ข้าทำให้คนชราอย่างท่านยอมละทิ้งดินแดนฝึกตนเพื่อออกมาที่นี้ได้”ชิงสุ่ยส่ายหน้า
ชายชราไม่ได้รู้สึกกังวลใดๆเลยเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ดินแดนอะไรกัน? เจ้าคงไม่คิดสินะว่าข้าจะมาวันนี้?”
”ให้ข้าเดา ท่านคงจะติดขัดอยู่ในระดับพลังปัจจุบันมานานมากแล้วใช่หรือไม่? หากข้าเข้าใจไม่ผิด มันคงเป็นเพราะท่านไม่อาจปล่อยวางให้คนของท่านคอยดูแลสิ่งต่างๆ และตอนนี้ท่านเองก็ยังลังเลไม่กล้ามอบตำแหน่งสำคัญอย่างแท้จริงให้กับลูกหลานของท่าน”ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปที่ชายชรา
ชายชราแสดงสีหน้าตกใจนี่ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับนิกายสวรรค์ดาราอมตะ แม้ภายนอกอาจจะดูเหมือนว่าเขาได้ส่งมอบตำแหน่งของเขาให้กับคนรุ่นหลัง แต่สุดท้ายคนรุ่นหลังก็ยังคงต้องพึ่งพาเขา ทุกการตัดสินใจขึ้นอยู่กับชายชรา แต่คงมีเพียงเฉพาะคนภายนอกเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องนี้ คำพูดของชิงสุ่ยนั้นคือสิ่งที่สมเหตุสมผลชายชราไม่อาจทะลวงผ่านขอขวดที่ติดขัดในระดับพลังของตนได้ก็เพราะเขาไม่สามารถปล่อยวาง ในเมื่อจิตใจยังคงเต็มไปด้วยความกังวล ขอให้ฝึกฝนก็ไม่มีทางมีสมาธิอย่างสมบูรณ์ได้
สายตาของชายชราก็เริ่มมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจนก่อนหน้านี้เขารับรู้เรื่องราวการหลบหนีของเฉินเจินมาโดยตลอด และการที่เธอหลบหนีพิธีแต่งงานกับตระกูลเหลียนเฉิน ไม่ต่างจากการสร้างความอับอายให้กับนิกายสวรรค์ดาราอมตะเลย และยิ่งเขาให้ความสำคัญกับความรู้สึก ผู้คนภายนอกย่อมต้องหัวเราะเยาะในเรื่องที่นิกายสวรรค์ดาราอมตะถูกหักหน้าอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนชายชราจะสามารถละทิ้งเรื่องราวภายนอกได้จนหมดสิ้นพลังของมนุษย์แทรกตัวอยู่ภายใต้สภาพจิตใจ หากแสดงความกังวลมากเกินไป คนคนนั้นก็จะไม่พัฒนา ทันใดนั้นจิตใจของชายชราก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงบางสิ่งในร่างกายของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เหมือนกับต้นไม้เก่าที่เริ่มงอกกิ่งก้านใบใหม่ มันคือหนึ่งในรูปแบบการถือกำเนิดใหม่
”ขอบคุณมากพ่อหนุ่มน้อย”
ชายชรากล่าวบางอย่างที่ดูงี่เง่าแต่ก็สร้างความสับสนให้กับเฉินเจินและชายชราคนอื่นๆอย่างมาก
มีเพียงชิงสุ่ยเท่านั้นที่รู้ความหมายในคำพูดเขาเองก็แปลกใจที่ชายชราสามารถบรรลุสัจธรรมได้ทันทีหลังจากที่ฟังคำพูดของเขาเพียงไม่กี่คำ ก่อนหน้านี้จิตใจของชายชราอาจกล่าวได้ว่ามันกำลังถูกปิดกั้น ปิดกั้นเพราะคนอื่นๆไม่สามารถเป็นในสิ่งที่เขาต้องการได้ แต่ชายชราก็คงไม่คิดว่าเรื่องง่ายๆเช่นนี้จะเป็นตัวขวางกั้นไม่ให้เขาพัฒนาพลังขึ้นไปในระดับที่ควรเป็น