Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 1948 - ยอดโฉมงามเจี้ยนเก้อ มันคือทัณฑ์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 7
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 1948 - ยอดโฉมงามเจี้ยนเก้อ มันคือทัณฑ์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 7
ชิงสุ่ยยังคงกำมือเจี้ยนเก้ออย่างแน่นหนาเธอเองก็สัมผัสได้ถึงความรักที่เขามอบให้กับเธอ สายตาของเธอก็กำลังมองดูชายที่เธอรักมากที่สุด
”เจี้ยนเก้อข้ารักเจ้า!!”ชิงสุ่ยแสดงความรักในแบบของเขา
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้พูดเรื่องแบบนี้ออกมาในตอนนี้แต่มันก็เป็นคำพูดที่แสนธรรมชาติและเป็นเรื่องปกติของเขา
เจี้ยนเก้อก็อยู่ร่วมกับชิงสุ่ยมาเป็นเวลายาวนานหลายปีเธอเองก็รู้จักตัวตนของเขาอย่างชัดเจน เธอจะรู้ได้ว่าคำพูดที่เขาพูดออกมา มันเป็นความรู้สึกจริงใจอย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อทั้งสองคนก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว มันก็ไม่จำเป็นจะต้องมาเขินอายกับความรู้สึกของตัวเอง
”ชิงสุ่ยข้าก็รักเจ้าเช่นกัน!!” ”ข้าอยากจะได้ยินเจ้าบอกว่าพี่ชายชิงสุ่ย ข้ารักเจ้าเหลือเกิน!!”ชิงสุ่ยแกล้งแหย่
”เจ้าอยากตายสินะ!!”อีเย่เจี้ยนเก้อหน้าแดงก่ำ
ถึงชายคนนี้จะไม่ได้มีอายุมากกว่าเธอแต่ทั้งสองคนก็มักจะสนุกกับการละเล่นในเรื่องแบบนี้ทุกครั้ง
ชิงสุ่ยยิ้มก่อนจะอุ้มเธอในท่วงท่าเจ้าหญิงซึ่งเธอเองก็ได้แต่อยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเงียบๆ ชิงสุ่ยยังคงเดินเหยียบย่ำไปบนพื้นหญ้าสีเขียว หันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน มันทำให้แสงสีทองอร่าม ผาดผ่านร่างกายของพวกเขาเหมือนกับเงาที่ไม่มีวันดับสลายไปชั่วนิรันดร์
”เจ้ากำลังจะจากไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
อีเย่เจี้ยนเก้อรับรู้ได้และชิงสุ่ยก็ไม่มีทางซ่อนเร้นความคิดของเขาจากหญิงสาวคนนี้ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
”ข้าวางแผนไว้เช่นกันแต่ข้าทนแยกห่างจากเจ้าตอนนี้ไม่ได้”ชิงสุ่ยกล่าว
”เจ้าอยู่กับข้ามานานพอสมควรแล้วมันถึงเวลาที่จะต้องออกไปท่องโลกกว้าง อย่าได้กังวลเกี่ยวกับพวกเราเลย ด้วยชื่อเสียงของเจ้า คงไม่มีใครกล้าทำร้ายพวกเราหรอก?”
”ความบาดหมางที่สร้างขึ้นกับพระราชวังอมตะดาราจรัสมันยังไม่จบสิ้นข้าจะต้องทำให้มันมั่นใจ แล้วพวกเจ้าจะต้องพัฒนาค่ายก่อนไปสู่ระดับที่เหนือกว่า อย่างน้อยก็ต้องทำให้ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าจะสามารถปกป้องตัวเองได้”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาชิงสุ่ยได้สอนวิธีการสร้างค่ายกลให้กับบรรดาคนใกล้ตัว แต่มีเพียงแค่อีเย่เจี้ยนเก้อและถานท่ายหลิงเยียนเท่านั้นที่สำเร็จในระดับขั้นแรกเริ่ม แต่ยังมีอีกคนนึงที่สร้างความประหลาดใจให้กับชิงสุ่ยได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นั่นก็คืออวี้เนียง ตัวของเธอไม่ได้เชี่ยวชาญด้านวรยุทธ แล้วตัวของชิงสุ่ยก็ต้องให้ยาเม็ดทองคำเซียนเทียน เพื่อยกระดับความสามารถของเธอให้มาอยู่ในระดับดินแดนเทวะเซียนเทียน
แต่เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเธอจะมีความสามารถในการเรียนรู้ค่ายกลไม่แพ้อีเย่เจียนเก้อเลย
และการที่ผู้อาวุโสเทียนยี่ปฏิบัติต่ออวี้เนียงเป็นอย่างดีแล้วใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข มันก็ยิ่งสร้างความปลอดภัยให้กับหอคอยจักรพรรดิ
”เดียวสิทำไมเจ้าถึงคิดถึงคนอื่นทั้งๆที่ยังอุ้มข้าอยู่?”อีเย่เจี้ยนเก้อเรียกสติชิงสุ่ย
”โอ้แม่เทพธิดาของข้า เจ้ากำลังหึงข้าอยู่สินะ”ชิงสุ่ยจับก้นของเธอขณะที่เขากล่าวตอบ
เสียงที่ดังฟังชัดท่ามกลางหุบเขาอันเงียบสงัดยิ่งทำให้ใบหน้าของโฉมงามอย่างอีเย่เจี้ยนเก้อแดงก่ำหนักกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเธอก็มีความสุขอย่างมากที่เธอยังคงเป็นคนสำคัญในใจของชายหนุ่มที่เธอรัก
ในขณะที่เขามองหญิงสาวขี้อายเปลวไฟแห่งความปรารถนาก็ปรากฏในดวงตาของชิงสุ่ย เขากำลังจะเอื้อมมือออกไปเล่นซุกซน แต่เสียงของหญิงสาวก็กล่าวออกมาว่า “เจ้าไม่รับอนุญาตให้ทำที่นี่ อย่างน้อยก็ต้องรอ กลับไปที่บ้านก่อน”
คำพูดที่ชิงสุ่ยได้ยินมันช่างเย้ายวนคล้ายกับคนได้กินไอศครีมท่ามกลางฤดูร้อน
ชิงสุ่ยรีบสร้างค่ายกลแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะปลอดภัย แต่การป้องกันไว้ก็ไม่เสียหาย เขาวางค่ายกลซ้อนค่ายกลอีก 2 ชั้น ถ้าหากมองจากภายนอก มันจะเหมือนกับว่าข้างในไม่มีอะไร หรืออาจจะมองทะลุผ่านทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายในจนมองเห็นแค่เพียงธรรมชาติ
บนเตียงนอน!!
”หืมข้าจำเป็นต้องเปลืองผ้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”อีเย่เจี้ยนเก้อถามชิงสุ่ยด้วยความงุนงง
”มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาทำไมเจ้าถึงยังสงสัยอยู่ ข้าคงไม่ยืนทำพิธีการหรอกนะ”ชิงสุ่ยเอามือจับหน้าผาก จากนั้นก็เข้าไปจูบเจี้ยนเก้อ แล้วค่อยๆปลดเสื้อผ้าของเธอออกอย่างเชี่ยวชาญ มือของเขาขยับอย่างว่องไวไปทั่วร่างกายของเจี้ยนเก้อ และไม่นานนะเธอก็เริ่มเอามือโอบรอบตัวเขา
ร่างกายของเธอกำลังถูกกระตุ้น
มันกำลังเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆจากนั้นเสียงอันแสนไพเราะก็ดังขึ้น
…………………..
อีเย่เจี้ยนเก้อจ้องมองชิงสุ่ยโดยไม่พูดอะไรชิงสุ่ยเองก็กำลังหยิบเข็มทองคำออกมาทีละเล่ม แต่สายตาของเขาไม่ได้จดจ่ออยู่ที่เข็มทองคำเลย เขากำลังจดจ่ออยู่กับร่างกายอันแสนงดงาม โดยเฉพาะยอดเขาคู่ที่อยู่บนหน้าอก พวกมันทั้งขาวนวลเหมือนหิมะ และมีลวดลายคล้ายหยกขาว เรียกได้ว่ามันเหมือนกับหิมะที่กำลังโปรยปรายท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิ
”เจ้ามองอะไรอยู่?ยังเห็นไม่พออีกเหรอ?”อีเย่เจี้ยนเก้อไม่รู้จะพูดอะไร ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นเหมือนหุ่นที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ”ไม่เลยมันไม่เคยพอ”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ
เวลาตอนนี้ค่อนข้างช้าตอนที่พวกเขามาถึง พระอาทิตย์เริ่มอัสดง จนกระทั่งเวลาล่วงเลยตอนนี้ท้องฟ้ามืดมิด แต่หินส่องแสงที่อยู่รอบๆก็ยังคงส่องสว่างสดใส
เข็มทองคำของชิงสุ่ยค่อยเจาะผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายอีเย่เจี้ยนเก้อที่ละเล่มอย่างช้าๆ
ฝ่ามือศักดิ์สิทธิ์!!
มือของชิงสุ่ยค่อยๆนวดคลึงไปทั่วร่างกายอีเย่เจี้ยนเก้อจากนั้นก็ถ่ายทอดพลังปราณหวนคืน ภาพวาดหยินหยาง พลังเก้าหยาง และพลังปราการลึกลับ ค่อยๆประสานรวมกับเส้นลมปราณวชิระ
เวลาค่อยๆล่วงเลยผ่านไปที่ละนิดหลังจากการฝังเข็มเสร็จสิ้น ชิงสุ่ยก็ให้เธอกินยาเม็ดเก้าโคจรทองคำและยาเม็ดโชคชะตา
เก้าเข็มสวรรค์หวนคืน!!
ทักษะฝังเข็มใหม่ที่ปรากฏขึ้นหลังจากชิงสุ่ยบรรลุระดับพลังมันอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งถึงขั้นย้อนคืนชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นหนึ่งในทักษะที่สามารถพยุงชีพคนตาย หรือเพิ่มพูนพลังให้กับผู้อื่นได้ในชั่วพริบตา มันคล้ายกับการทะลวงเส้นลมปราณ ปลดปล่อยพันธนาการจิต แต่แข็งแกร่งกว่านั้น
อีเย่เจี้ยนเก้อยังคงหลับตาร่างกายของเธอเพิ่มพูนพลังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกถึงพลังประหลาด ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ชิงสุ่ยรู้ดีถึงพลังพิเศษเหล่านี้ มันคล้ายกับพลังที่ใช้ปลุกพลังของสายเลือด มันจะเห็นผลอย่างยิ่งยวด ก็ต่อเมื่อผู้ที่กำลังดูดซับพลังของเขาเป็นผู้ที่มีสายเลือดพิเศษหรือไม่ก็ร่างกายพิเศษ
พลังสายเลือดของชิงสุ่ยโดยพื้นฐานไม่ได้แข็งแกร่งแต่อย่างใดเพียงแต่เขาดูดซับเอาเคล็ดกายาบรรพกาลเข้ามาอยู่ในร่างกายจึงทำให้ร่างกายของเขาเพิ่มพูนขึ้น และด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง มันจึงแปรผันสภาพร่างกายของเขาให้กลายเป็นกายา 9หยาง พัฒนาให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง และเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติแปลกประหลาด
ประมาณ2 ชั่วโมงต่อมา กระบวนการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น อีเย่เจี้ยนเก้อเริ่มรวบรวมลมปราณของตน และรับรู้ได้ว่าตอนนี้กำลังของเธอขึ้นสู่ระดับ 50 ล้านเต๋าแล้ว เธอค่อยๆสวมใส่เสื้อผ้าพร้อมใบหน้าอันแสนสุข แต่ทันใดนั้นท้องฟ้าที่มืดมิดก็เริ่มทอแสงสว่าง ปรากฏให้เห็นเป็นประกายแสงสายฟ้าจำนวนมากกำลังรวมตัวกัน
ทัณฑ์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์กำลังจะปรากฏมันคือทัณฑ์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 7!!
”เจี้ยนเก้อข้ารักเจ้า!!”ชิงสุ่ยแสดงความรักในแบบของเขา
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้พูดเรื่องแบบนี้ออกมาในตอนนี้แต่มันก็เป็นคำพูดที่แสนธรรมชาติและเป็นเรื่องปกติของเขา
เจี้ยนเก้อก็อยู่ร่วมกับชิงสุ่ยมาเป็นเวลายาวนานหลายปีเธอเองก็รู้จักตัวตนของเขาอย่างชัดเจน เธอจะรู้ได้ว่าคำพูดที่เขาพูดออกมา มันเป็นความรู้สึกจริงใจอย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อทั้งสองคนก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว มันก็ไม่จำเป็นจะต้องมาเขินอายกับความรู้สึกของตัวเอง
”ชิงสุ่ยข้าก็รักเจ้าเช่นกัน!!” ”ข้าอยากจะได้ยินเจ้าบอกว่าพี่ชายชิงสุ่ย ข้ารักเจ้าเหลือเกิน!!”ชิงสุ่ยแกล้งแหย่
”เจ้าอยากตายสินะ!!”อีเย่เจี้ยนเก้อหน้าแดงก่ำ
ถึงชายคนนี้จะไม่ได้มีอายุมากกว่าเธอแต่ทั้งสองคนก็มักจะสนุกกับการละเล่นในเรื่องแบบนี้ทุกครั้ง
ชิงสุ่ยยิ้มก่อนจะอุ้มเธอในท่วงท่าเจ้าหญิงซึ่งเธอเองก็ได้แต่อยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเงียบๆ ชิงสุ่ยยังคงเดินเหยียบย่ำไปบนพื้นหญ้าสีเขียว หันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน มันทำให้แสงสีทองอร่าม ผาดผ่านร่างกายของพวกเขาเหมือนกับเงาที่ไม่มีวันดับสลายไปชั่วนิรันดร์
”เจ้ากำลังจะจากไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
อีเย่เจี้ยนเก้อรับรู้ได้และชิงสุ่ยก็ไม่มีทางซ่อนเร้นความคิดของเขาจากหญิงสาวคนนี้ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
”ข้าวางแผนไว้เช่นกันแต่ข้าทนแยกห่างจากเจ้าตอนนี้ไม่ได้”ชิงสุ่ยกล่าว
”เจ้าอยู่กับข้ามานานพอสมควรแล้วมันถึงเวลาที่จะต้องออกไปท่องโลกกว้าง อย่าได้กังวลเกี่ยวกับพวกเราเลย ด้วยชื่อเสียงของเจ้า คงไม่มีใครกล้าทำร้ายพวกเราหรอก?”
”ความบาดหมางที่สร้างขึ้นกับพระราชวังอมตะดาราจรัสมันยังไม่จบสิ้นข้าจะต้องทำให้มันมั่นใจ แล้วพวกเจ้าจะต้องพัฒนาค่ายก่อนไปสู่ระดับที่เหนือกว่า อย่างน้อยก็ต้องทำให้ข้ามั่นใจว่าพวกเจ้าจะสามารถปกป้องตัวเองได้”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาชิงสุ่ยได้สอนวิธีการสร้างค่ายกลให้กับบรรดาคนใกล้ตัว แต่มีเพียงแค่อีเย่เจี้ยนเก้อและถานท่ายหลิงเยียนเท่านั้นที่สำเร็จในระดับขั้นแรกเริ่ม แต่ยังมีอีกคนนึงที่สร้างความประหลาดใจให้กับชิงสุ่ยได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นั่นก็คืออวี้เนียง ตัวของเธอไม่ได้เชี่ยวชาญด้านวรยุทธ แล้วตัวของชิงสุ่ยก็ต้องให้ยาเม็ดทองคำเซียนเทียน เพื่อยกระดับความสามารถของเธอให้มาอยู่ในระดับดินแดนเทวะเซียนเทียน
แต่เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเธอจะมีความสามารถในการเรียนรู้ค่ายกลไม่แพ้อีเย่เจียนเก้อเลย
และการที่ผู้อาวุโสเทียนยี่ปฏิบัติต่ออวี้เนียงเป็นอย่างดีแล้วใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข มันก็ยิ่งสร้างความปลอดภัยให้กับหอคอยจักรพรรดิ
”เดียวสิทำไมเจ้าถึงคิดถึงคนอื่นทั้งๆที่ยังอุ้มข้าอยู่?”อีเย่เจี้ยนเก้อเรียกสติชิงสุ่ย
”โอ้แม่เทพธิดาของข้า เจ้ากำลังหึงข้าอยู่สินะ”ชิงสุ่ยจับก้นของเธอขณะที่เขากล่าวตอบ
เสียงที่ดังฟังชัดท่ามกลางหุบเขาอันเงียบสงัดยิ่งทำให้ใบหน้าของโฉมงามอย่างอีเย่เจี้ยนเก้อแดงก่ำหนักกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเธอก็มีความสุขอย่างมากที่เธอยังคงเป็นคนสำคัญในใจของชายหนุ่มที่เธอรัก
ในขณะที่เขามองหญิงสาวขี้อายเปลวไฟแห่งความปรารถนาก็ปรากฏในดวงตาของชิงสุ่ย เขากำลังจะเอื้อมมือออกไปเล่นซุกซน แต่เสียงของหญิงสาวก็กล่าวออกมาว่า “เจ้าไม่รับอนุญาตให้ทำที่นี่ อย่างน้อยก็ต้องรอ กลับไปที่บ้านก่อน”
คำพูดที่ชิงสุ่ยได้ยินมันช่างเย้ายวนคล้ายกับคนได้กินไอศครีมท่ามกลางฤดูร้อน
ชิงสุ่ยรีบสร้างค่ายกลแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะปลอดภัย แต่การป้องกันไว้ก็ไม่เสียหาย เขาวางค่ายกลซ้อนค่ายกลอีก 2 ชั้น ถ้าหากมองจากภายนอก มันจะเหมือนกับว่าข้างในไม่มีอะไร หรืออาจจะมองทะลุผ่านทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายในจนมองเห็นแค่เพียงธรรมชาติ
บนเตียงนอน!!
”หืมข้าจำเป็นต้องเปลืองผ้าด้วยอย่างนั้นหรือ?”อีเย่เจี้ยนเก้อถามชิงสุ่ยด้วยความงุนงง
”มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาทำไมเจ้าถึงยังสงสัยอยู่ ข้าคงไม่ยืนทำพิธีการหรอกนะ”ชิงสุ่ยเอามือจับหน้าผาก จากนั้นก็เข้าไปจูบเจี้ยนเก้อ แล้วค่อยๆปลดเสื้อผ้าของเธอออกอย่างเชี่ยวชาญ มือของเขาขยับอย่างว่องไวไปทั่วร่างกายของเจี้ยนเก้อ และไม่นานนะเธอก็เริ่มเอามือโอบรอบตัวเขา
ร่างกายของเธอกำลังถูกกระตุ้น
มันกำลังเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆจากนั้นเสียงอันแสนไพเราะก็ดังขึ้น
…………………..
อีเย่เจี้ยนเก้อจ้องมองชิงสุ่ยโดยไม่พูดอะไรชิงสุ่ยเองก็กำลังหยิบเข็มทองคำออกมาทีละเล่ม แต่สายตาของเขาไม่ได้จดจ่ออยู่ที่เข็มทองคำเลย เขากำลังจดจ่ออยู่กับร่างกายอันแสนงดงาม โดยเฉพาะยอดเขาคู่ที่อยู่บนหน้าอก พวกมันทั้งขาวนวลเหมือนหิมะ และมีลวดลายคล้ายหยกขาว เรียกได้ว่ามันเหมือนกับหิมะที่กำลังโปรยปรายท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิ
”เจ้ามองอะไรอยู่?ยังเห็นไม่พออีกเหรอ?”อีเย่เจี้ยนเก้อไม่รู้จะพูดอะไร ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นเหมือนหุ่นที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ”ไม่เลยมันไม่เคยพอ”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ
เวลาตอนนี้ค่อนข้างช้าตอนที่พวกเขามาถึง พระอาทิตย์เริ่มอัสดง จนกระทั่งเวลาล่วงเลยตอนนี้ท้องฟ้ามืดมิด แต่หินส่องแสงที่อยู่รอบๆก็ยังคงส่องสว่างสดใส
เข็มทองคำของชิงสุ่ยค่อยเจาะผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายอีเย่เจี้ยนเก้อที่ละเล่มอย่างช้าๆ
ฝ่ามือศักดิ์สิทธิ์!!
มือของชิงสุ่ยค่อยๆนวดคลึงไปทั่วร่างกายอีเย่เจี้ยนเก้อจากนั้นก็ถ่ายทอดพลังปราณหวนคืน ภาพวาดหยินหยาง พลังเก้าหยาง และพลังปราการลึกลับ ค่อยๆประสานรวมกับเส้นลมปราณวชิระ
เวลาค่อยๆล่วงเลยผ่านไปที่ละนิดหลังจากการฝังเข็มเสร็จสิ้น ชิงสุ่ยก็ให้เธอกินยาเม็ดเก้าโคจรทองคำและยาเม็ดโชคชะตา
เก้าเข็มสวรรค์หวนคืน!!
ทักษะฝังเข็มใหม่ที่ปรากฏขึ้นหลังจากชิงสุ่ยบรรลุระดับพลังมันอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งถึงขั้นย้อนคืนชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นหนึ่งในทักษะที่สามารถพยุงชีพคนตาย หรือเพิ่มพูนพลังให้กับผู้อื่นได้ในชั่วพริบตา มันคล้ายกับการทะลวงเส้นลมปราณ ปลดปล่อยพันธนาการจิต แต่แข็งแกร่งกว่านั้น
อีเย่เจี้ยนเก้อยังคงหลับตาร่างกายของเธอเพิ่มพูนพลังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกถึงพลังประหลาด ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ชิงสุ่ยรู้ดีถึงพลังพิเศษเหล่านี้ มันคล้ายกับพลังที่ใช้ปลุกพลังของสายเลือด มันจะเห็นผลอย่างยิ่งยวด ก็ต่อเมื่อผู้ที่กำลังดูดซับพลังของเขาเป็นผู้ที่มีสายเลือดพิเศษหรือไม่ก็ร่างกายพิเศษ
พลังสายเลือดของชิงสุ่ยโดยพื้นฐานไม่ได้แข็งแกร่งแต่อย่างใดเพียงแต่เขาดูดซับเอาเคล็ดกายาบรรพกาลเข้ามาอยู่ในร่างกายจึงทำให้ร่างกายของเขาเพิ่มพูนขึ้น และด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง มันจึงแปรผันสภาพร่างกายของเขาให้กลายเป็นกายา 9หยาง พัฒนาให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง และเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติแปลกประหลาด
ประมาณ2 ชั่วโมงต่อมา กระบวนการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น อีเย่เจี้ยนเก้อเริ่มรวบรวมลมปราณของตน และรับรู้ได้ว่าตอนนี้กำลังของเธอขึ้นสู่ระดับ 50 ล้านเต๋าแล้ว เธอค่อยๆสวมใส่เสื้อผ้าพร้อมใบหน้าอันแสนสุข แต่ทันใดนั้นท้องฟ้าที่มืดมิดก็เริ่มทอแสงสว่าง ปรากฏให้เห็นเป็นประกายแสงสายฟ้าจำนวนมากกำลังรวมตัวกัน
ทัณฑ์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์กำลังจะปรากฏมันคือทัณฑ์สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 7!!