Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล - บทที่ 2012 – หญิงสาวโฉมงามที่สุดในดินแดนหิมะอุดร
- Home
- Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล
- บทที่ 2012 – หญิงสาวโฉมงามที่สุดในดินแดนหิมะอุดร
บทที่ 2012 – หญิงสาวโฉมงามที่สุดในดินแดนหิมะอุดร
คนอื่นๆยังคงยืนอยู่ที่เดิมภายในโดยยังไม่ออกมา มีเพียงแค่ชิงสุ่ยหญิงสาวทั้งสองคนเท่านั้น ในบรรดาจอมยุทธทั้ง 10 คน หญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ข้างกายชิงสุ่ยคือคนที่มีใบหน้างดงามจนชายหนุ่มทุกคนอยากให้พวกเธอมาอยู่กับกลุ่มตน แต่ช่างโชคร้ายพี่พวกเธอเลือกอยู่กับชิงสุ่ย มันถึงทำให้คนที่เหลือรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก
และจากทั้ง 10 คน มีถึง 2 คนที่มาจากตระกูลโซว่เมืองต้าฉางและตระกูลซือเฉิงแห่งเมืองซือหยุน
ทั้งคู่ต่างก็มีความบาดหมางกับชิงสุ่ย โดยเฉพาะกลุ่มตระกูลซือเฉิง แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น
“คุณชาย ไม่ทราบว่าข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร? ตัวข้ามีนามว่าเล่ยเป่า”เล่ยเป่าแห่งพระราชวังอมตะมหาสุริยันยิ้มขณะกล่าวกับ
บทที่ 2012 – หญิงสาวโฉมงามที่สุดในดินแดนหิมะอุดร
คนอื่นๆยังคงยืนอยู่ที่เดิมภายในโดยยังไม่ออกมา มีเพียงแค่ชิงสุ่ยหญิงสาวทั้งสองคนเท่านั้น ในบรรดาจอมยุทธทั้ง 10 คน หญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ข้างกายชิงสุ่ยคือคนที่มีใบหน้างดงามจนชายหนุ่มทุกคนอยากให้พวกเธอมาอยู่กับกลุ่มตน แต่ช่างโชคร้ายพี่พวกเธอเลือกอยู่กับชิงสุ่ย มันถึงทำให้คนที่เหลือรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก
และจากทั้ง 10 คน มีถึง 2 คนที่มาจากตระกูลโซว่เมืองต้าฉางและตระกูลซือเฉิงแห่งเมืองซือหยุน
ทั้งคู่ต่างก็มีความบาดหมางกับชิงสุ่ย โดยเฉพาะกลุ่มตระกูลซือเฉิง แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น
“คุณชาย ไม่ทราบว่าข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร? ตัวข้ามีนามว่าเล่ยเป่า”เล่ยเป่าแห่งพระราชวังอมตะมหาสุริยันยิ้มขณะกล่าวกับชิงสุ่ย
“ข้าชิงสุ่ย ยินดีที่ได้รู้จัก”ชิงสุ่ยตอบกลับอย่างสุภาพ
“คุณชายชิง ขอบคุณสำหรับคำสุภาพ อันที่จริงแล้ว ข้าคิดว่าแม้แต่ตัวของข้าเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทัน แต่ท่านก็ควรระมัดระวังตัวไว้”เล่ยเป่ายิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ
ในขณะเดียวกัน ชูไป๋แห่งพระราชวังจันทร์กระจ่างที่ได้ยินถึงกับตกตะลึง เขาจ้องมองชิงสุ่ยก่อนจะหันไปมองเล่ยเป่า แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักชิงสุ่ย แต่เขารู้จักเล่ยเป่าเป็นอย่างดี และรู้ดีว่าเล่ยเป่าเป็นคนพูดตรงไปตรงมาและมักจะพูดจาตรงกับใจ
ในตอนแรกคนของตระกูลโซว่และตระกูลซือเฉิงอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับชิงสุ่ย แต่ตอนนี้พวกเขาเลือกที่จะเงียบ ไม่อยากหาปัญหาให้ตัวเอง เพราะการจะฆ่ากันในที่แห่งนี้เป็นเรื่องธรรมดา
“สหายเล่ย ไม่ต้องพิธีรีตอง เนื่องจากพวกเรามาอยู่ที่เดียวกัน และพวกเราเองก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีภัยอันตรายใดๆซ่อนอยู่บ้าง มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเราคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อย่างน้อยก็ทำให้มั่นใจว่าพวกเราจะได้อยู่อย่างปลอดภัย”ชิงสุ่ยไม่อยากเถียงกับสิ่งไร้สาระ เขาอยากใช้เวลาค้นหาสิ่งดีๆเข้าตัว
“มันก็จริง อย่างไรก็ตามข้าสงสัยว่าคนอื่นจะคิดเห็นแบบเดียวกับเราหรือไม่?”เล่ยเป่ยชำเลืองมองผู้คนรอบข้าง
“การรวมตัวกันถือเป็นเรื่องดี แต่การรวมตัวกันหมายถึงการที่พวกเราคอยอยู่ใกล้ๆกันในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ตัวอย่างเช่น เมื่อเราอยู่ในสถานที่ใด พวกเราจะแยกกันค้นหาสมบัติ แต่ถ้าหากมีใครตกอยู่ในอันตราย คนผู้นั้นก็เพียงแค่ส่งสัญญาณเตือนคนอื่นๆ ท่านคิดว่าอย่างไร?”ชูไป๋กล่าว
“นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี พวกเราจะได้คอยดูแลช่วยเหลือกัน แต่ใครเจอสมบัติใด พวกเราจะต้องไม่สู้กันเอง”เล่ยเป่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาจ้องมองไปทางชิงสุ่ยหลังจากที่กล่าวจบ
“อืม ข้าว่าทางเลือกนี้ดีที่สุดแล้ว”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าว
“ในเมื่อตัดสินใจกันได้ ก็ตามนี้ ส่วนวันนี้พวกเราจะออกกระจายตัวตามหาล่าสมบัติ วันพรุ่งนี้พวกเราจะมารวมตัวกันแล้วค่อยออกล่าในบริเวณ 500 ลี้จากที่แห่งนี้ ทุกท่านคิดว่าอย่างไร?”เล่ยเป่ากล่าวหลังจากคิดชั่วครู่หนึ่ง
คนอื่นก็ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้าน หลังจากทำความรู้จักกันสักพักทุกคนก็เริ่มแยกย้าย กระจายกันเป็นกลุ่มเล็กๆตามหาสมบัติ
แต่ก็ยังไม่วายที่จะทำให้ทุกคนอิจฉาชิงสุ่ยที่คอยมีหญิงสาวสองคนอยู่เคียงข้าง เป่ยหมิงเสวี่ยนับได้ว่าเป็นหญิงสาวโฉมงามที่สุดในดินแดนหิมะอุดร นึกว่าทุกคนในพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธาไม่มีใครไม่รู้จักเธอ
เนื่องจากสถานที่ที่พวกเขายืนอยู่ใกล้กับขอบดินแดน มันจึงไม่ใช่พื้นที่อันตราย แต่ถ้าหากออกจากเขตแดนนี้ไปในระยะ 2,000 ลี้ทุกที่จะไปด้วยภัยอันตราย และมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าหากมีใครต้องเสียชีวิตไป
“ไปเดินดูรอบๆกัน ทิวทัศน์ที่มีค่อนข้างดงามเลยทีเดียว”อวี้ซีหยวนยิ้มในขณะที่ดวงตาของเธอกำลังจ้องมองพื้นที่รอบๆ
ทิวทัศน์โดยรอบเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้สดกำลังเบ่งบาน นกหลายชนิดกำลังร้องเรียกหาคู่ พระอาทิตย์ส่องแสงอบอุ่นทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบรู้สึกสบายใจ
“ไปกันเถอะ ในเมื่อพวกเราได้คัดเลือกมาถึงที่นี่ก็อย่าเสียเวลาอีกเลยมิฉะนั้นเราคงจะพลาดโอกาสดีๆแบบนี้”ชิงสุ่ยกล่าวก่อนจะอัญเชิญอสูรสยบมังกรออกมา
อสูรสยบมังกรมีขนาดใหญ่กว่าช้างในโลกใบก่อนอยู่เพียงแค่เล็กน้อย ชิงสุ่ยกระโดดขึ้นไปบนหลังจากนั้นก็มองไปที่หญิงสาวทั้งสองคน “พวกท่านทั้งสองสนใจจะไปพร้อมกับข้าหรือไม่?”
อวี้ซีหยวนตกลงขึ้นไปนั่งด้านข้างชิงสุ่ยโดยไม่ลังเล เป่ยหมิงเสวี่ยลังเลสักพักหนึ่งก่อนจะขึ้นไปนั่งข้างชิงสุ่ย
แผ่นหลังของเจ้าอสูรสยบมังกรอาจจะมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็เพียงพอจะให้ทั้ง 3 คนนั่งบนหลังมันได้
กลิ่นหอมต่างๆของหญิงสาวทั้งสองยังคงอบอวลเข้าไปในจมูกของชิงสุ่ย กลิ่นแต่ละคนเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ประจำตัวและมีเสน่ห์อย่างหาที่สุดไม่ได้
เป่ยหมิงเสวี่ยสูญเสียความมั่นใจเล็กน้อย เธอไม่เคยนั่งใกล้ชิดชายใดมาก่อน เธอจึงทำตัวไม่ค่อยปกติ
การเดินทางครั้งนี้คือการตามหาสมบัติ ชิงสุ่ยจึงเลือกใช้เจ้าอสูรสยบมังกรที่เก่งกาจด้านการตามหา หลังจากผ่านไปเพียงไม่นานทั้งสามคนก็เจอสมุนไพรชนิดแรกก็คือดอกบัวบก
ในตอนแรกหญิงสาวทั้งสองคนก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไร แต่เมื่อพวกเธอรู้สึกได้ว่าพวกเธอกำลังนั่งมีจุดมุ่งหมายที่มั่นคงและแม่นยำก่อนจะทำให้พวกเธอได้รับสมุนไพร มันทำให้พวกเธอเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าพวกเธอกำลังนั่งอยู่นั้น เป็นสัตว์อสูรที่ถนัดล่าสมบัติ
เวลา 1 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่พบสมบัติระดับสวรรค์แต่ก็ได้รับสมุนไพรมากมาย ระหว่างการเดินทางชิงสุ่ยยังไม่บอกเล่าอีกว่าเขาจะต้องปรุงยาก่อนจะทำสมุนไพรให้กลายเป็นตัวยาเพื่อทำการรักษา มันจึงทำให้หญิงสาวทั้งสองตกใจมาก
“ท่านก็เป็นนักปลุงยาด้วยอย่างนั้นหรือ?”เป่ยหมิงเสวี่ยถามด้วยความสงสัย
อวี้ซี่หยวนรับรู้ได้ว่าในตัวของชิงสุ่ยยังมีเรื่องราวอีกมากมาย แล้วเธอก็ประหลาดใจอย่างมากในความสามารถที่เขามี
“แน่นอน อันที่จริงแล้ว ข้าถือว่าเป็นนักปรุงยาที่เก่งกาจมาก อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ยังไม่เห็นใครเก่งกว่าข้าเลย”
“ข้าไม่เชื่อคำพูดท่าน นักปรุงยาที่แท้จริงจะไม่แสดงความหยิ่งทนงหรอกนะ”เป่ยหมิงเสวี่ยยิ้มกว้าง “นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่มั่นใจในตัวเองยังไงละ”ชิงสุ่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“หรือไม่อีกนัยหนึ่งคือท่านมั่นใจในตัวเองมากเกินไป”หลังจากได้พูดคุยกันเกือบวันเต็ม เป่ยหมิงเสวี่ยก็เริ่มมีความสนิทชิดเชื้อกับชิงสุ่ย ทำให้เรื่องพูดคุยเต็มไปด้วยความตลกขบขัน
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านเอายาที่ท่านเป็นคนกลางด้วยตัวเองออกมาพิสูจน์ให้พวกเราดูหน่อยสิ” อวี้ซีหยวนยิ้มขณะกล่าว
“ในเมื่อพวกเรามีความสนิทชิดเชื้อกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกท่าน”ชิงสุ่ยยิ้มแล้วหยิบยาวาสนาออกมา
“นี่คือยาวาสนา พวกท่านจะได้รับพลังเพิ่มขึ้นมากเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของตัวเอง ถ้าพึ่งทำมันได้เมื่อเร็วๆนี้”
“ยาเม็ดนี้อัดแน่นไปด้วยพลังปราณเข้มข้น ข้าชักสงสัยแล้วว่ามันจะลึกลับอย่างที่ท่านบอกหรือไม่”เป่ยหมิงเสวี่ยมองดูยาวาสนา ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม กลุ่มของชิงสุ่ยตั้งค่ายอยู่ในถ้ำบนภูเขาเพื่อใช้พักผ่อน ตัวหญิงสาวทั้งสองคนก็ไม่ได้สงสัยในตัวยาของชิงสุ่ย พวกเธอจึงรีบกินยาเม็ดวาสนา
ผ่านไปเพียงแค่ชั่วโมงเดียว หญิงสาวทั้งสองคนถึงกับหันมามองชิงสุ่ยด้วยสายตาเหลือเชื่อ ความแข็งแกร่งของพวกเธอเพิ่มขึ้นหมื่นล้านเต๋า แต่ช่างน่าเสียดายที่พวกเธอเองก็ยังคงไม่สามารถทะลวงผ่านไปสู่ระดับพลังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ 8 ได้ แต่พวกเธอก็พึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับอย่างมาก