Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 1062 ให้ราชานักล่ามาเจอฉัน
หลังจากวันนั้นชูฮันก็ดูเหมือนจะหายตัวไปจากทุกคนและเป็นเพราะพายุโกรธที่โหมกระหน่ำจนโด่งดังไปทั่วทั้งค่ายในวันนั้นทำให้ไม่มีใครกล้าจะไปหาหรือสร้างความรำคาญให้กับชูฮันอีกเลย ชาวบ้านและกลุ่มตัวแทนทั้งหลายต่างก็เข้าใจไปว่าชูฮันไม่ต้องการให้ใครรู้เรื่องน่าอับอายนั้น
ดังนั้นการที่ไม่ได้เห็นชูฮันตลอดหลายวันที่ผ่านมาจึงไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยหรือผิดปกติสำหรับทุกคนแถมยังไม่มีใครติดใจสงสัยเรื่องที่ชูฮันอาจจะบาดเจ็บร้ายแรงอีกต่อไปแล้ว
ชูฮันจึงโล่งอกและรักษาตัวเองอยู่ในบ้านพักเขาได้ย้ายห้องทำงานมาไว้ในบ้านพักเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นพลเอกของค่ายเขี้ยวหมาป่า เขายังมีงานในมืออีกมากมายที่ต้องรับผิดชอบ รวมถึงการวางกำลังพลและแผนการรบของกองทัพอีก
นอกเหนือจากซางจิ่วตี้ไม่มีใครได้เข้าพบชูฮันแม้แต่เหอเฟิงก็ยังถูกสั่งห้าม
และในยามบ่ายของวันที่แดดจ้าวันหนึ่งซางจิ่วตี้วางเอกสารงานกิจการของค่ายเขี้ยวหมาป่าลง หยิบแอปเปิ้ลมาปอกและหั่นส่งให้ชูฮัน “คุณนอนอยู่บนเตียงมาหลายวันแล้ว ถึงแม้การบาดเจ็บร้ายแรงจะเป็นเรื่องหนึ่งแต่คุณจะฟังทุกอย่างจากฉันแค่คนเดียวไม่ได้ ฉันก็ไม่ได้รู้สถานการณ์ของกองทัพเขี้ยวหมาป่าดีมากเท่าไหร่ คุณควรยอมให้เหอเฟิงเข้าพบและรายงานโดยตรง สมมติว่าถ้ามันมีเรื่องสำคัญจริงๆล่ะ?”
”อืม?ก็จริง” ชูฮันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เอาแต่กินผลไม้ที่ซางจิ่วตี้ส่งมาให้เข้าปาก
”นี้คุณฟังอยู่รึเปล่า?”ซางจิ่วตี้รู้สึกหมดหนทาง อยากจะชกอัดให้ชูฮันจุกสักทีด้วยความหมั่นไส้
”ฟังสิเธอต้องการให้ฉันพูดคุยพวกโง่นั่น” ชูฮันยังคงอารมณ์บูดอยู่ เวลานี้ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว การที่ชูฮันเรียกเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเขี้ยวหมาป่าว่าพวกโง่ทำให้ซางจิ่วตี้สะอึกไปพักหนึ่ง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาแก้คำพูดหรือความเข้าใจกับชูฮัน “ถ้าคุณรู้อยู่แล้ว แล้วคุณยังจะหลบหน้าพวกเขาทำไม? มันมีหลายเรื่องที่จำเป็นต้องปรึกษาหารือกันอย่างถี่ถ้วน รู้มั้ยว่าทุกครั้งที่ฉันต้องผ่านข้อความและคำสั่งจากคุณไปให้แต่ละคน ฉันอับอายมากขนาดไหน ยังดีที่อย่างน้อยเหอเฟิงก็รู้สถานการณ์แท้จริงของคุณ ฉันถึงได้ไม่ต้องอับอายไปมากกว่านี้”
ตอนแรกซางจิ่วตี้ก็ตั้งใจจะไม่พูดอะไรแต่ตอนนี้เธอคิดว่าชูฮันกำลังใช้เธอเพื่อเหตุผลบางอย่าง
”ก็ฉันขี้เกียจจะเจอหน้าโง่ๆของพวกมัน”คำตอบของชูฮันทำให้ซางจิ่วตี้อึ้ง หน้าตาพิลึกพิลั่นอย่างทำหน้าไม่ถูก
”อะไรนะ?”
ซางจิ่วตี้หน้าแดงก่ำเพราะเลือดสูบฉีดด้วยความโมโหเธอนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะเป็นสีหน้าเป็นไม่พอใจออกมาชัดเจน “อธิบายให้ฉันเข้าใจที เรื่องของคุณกับค่ายหนานตู้และฉางกวนยวีซิน…คุณต้องการจะทำอะไร?”
ชูฮันรีบกุมมือซางจิ่วตี้ทันทีเขากุมแน่นอย่างต้องการให้ซางจิ่วตี้เชื่อมั่นในตัวเขา “คิดจะเปลี่ยนเรื่องเหรอ?”
ซางจิ่วตี้พลันหน้าขึ้นสีพูดอุบอิบเสียงแผ่วด้วยความเขินอาย “ไม่ใช่นะ”
ชูฮันยิ้มจางๆไม่คิดจะแกล้งแซวซางจิ่วตี้อีก แต่จู่ๆเขาก็หยิบเอกสารในมือของซางจิ่วตี้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา “หึ อันนี้ปล่อยให้พวกเขาทำได้เลย”
ซางจิ่วตี้ตะลึงจ้องไปที่เอกสารที่มีขนาดหนาพอสมควรซึ่งมีรายละเอียดโครงการแน่น และหัวข้อของเอกสารที่มีคำว่า ‘เจ้าหน้าที่’ ก็เตะตาอย่างมาก
”คุณวางแผนจะทำอะไร?”ซางจิ่วตี้ประหลาดใจในตอนแรกแต่แล้วก็เข้าใจ เพราะที่ผ่านมาตัวเธอไม่ได้เป็นคนวางแผนการเพื่อพัฒนาในอนาคตสำหรับแผนกต่างๆทั้งแผนกกฏระเบียบ แผนกหน่วยข่าวกรอง แผนกโลจิสติกส์และแผนกอื่นๆแีหมาหมาย มีแต่พระเจ้าที่รู้ว่าแผนการในอนาคตสำหรับแต่ละแผนกจะเป็นอย่างไร
แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างถูกปรับแต่งและกำหนดโดยชูฮันเพียงคนเดียว?!
ซางจิ่วตี้ไม่ลืมว่าครั้งก่อนชูฮันจากไปพร้อมกับแผนการที่เขาวางไว้สำหรับทุกแผนกล่วงหน้าเป็นเวลากว่าครึ่งปีโดยมอบหมายหน้าที่ควบคุมดูแลให้เธอมันมีลำดับคำสั่งและโครงการมากมายที่ชูฮันวางเอาไว้เพื่อให้ค่ายเขี้ยวหมาป่าเติบโตและพัฒนาต่อไปได้แม้จะไม่มีชูฮันอยู่ แถมการพัฒนาก็ยังรวดเร็วกว่าที่ทุกคนคาดอีกด้วย
และครั้งนี้ชูฮันวางแผนทั้งหมดนี้ขึ้นมาด้วยตัวคน?
ทั้งๆที่ยังอยู่ในสภาพบาดเจ็บและต้องพักฟื้น! นี้เขาเป็นบ้ารึเปล่า?!
ชูฮันไม่สนใจสีหน้าตกใจของซางจิ่วตี้ที่มองมาในความคิดเขานั้นเขาได้คิดทบทวนแผนการพวกนี้ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาอย่างดีแล้ว และครั้งนี้เขาใช้เวลาที่นอนว่างอยูไม่กี่วันกลั่นมันออกมา
การจะทำเช่นนี้ได้แม้แต่ตัวชูฮันเองยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยถึงระดับความฉลาดที่เขาสามารถไปถึงได้…สมองอัจฉริยะที่เขาได้รับมรดกมาจากพ่อแม่ซึ่งเป็นสมาชิกของMensa
ชูฮันก็ไม่รู้ว่าฮูเหมิงฮาวผู้ซึ่งอยากรู้ระดับIQ ของจะเป็นอย่างไรบ้างในเวลานี้…
ความคิดซับซ้อนตีกันไปมาอยู่ในหัวไม่นานชูฮันก็ขยับเนื้อตัวที่ตอนนี้เขารู้สึกว่าได้รับการฟื้นฟูแล้วประมาณ 70% เขาไม่คิดจะนอนนิ่งอยู่บนเตียงอีกต่อไป เขาก้าวลงจากเตียงและเริ่มเดินเพื่อขยับกระดูกกล้ามเนื้อให้เข้าที่
ซางจิ่วตี้ที่ยังคงตกใจอยู่กับข้อมูลจำนวนมากที่ได้รับและเมื่อยิ่งก้มลงมองเอกสารแผนการสำหรับทุกทีและการฝึกฝนสำหรับกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่ชูฮันคิดเอาไว้เรียบร้อย เธอก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว
นี้มัน…
การมีอำนาจครอบคลุมทั่วทั้งฟ้าชัดๆ!
สมองของชูฮันประกอบด้วยอะไรกัน?ซางจิ่วตี้มองชูฮันและก็คิดไม่คิดว่าคนคนหนึ่งจะฉลาดและเก่งกาจอย่างน่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไร
ชูฮันยืดตัวแอบลอบมองซางจิ่วตี้ที่อยู่ข้างหลัง แสงจากพระอาทิตย์ยามบ่ายส่องกระทบลงใบหน้าด้านข้าง บรรยากาศเงียบสงบขณะที่ลำแสงระยิบระยับประกายสีทอง ภาพตรงหน้าคือความงามอันบริสุทธิ์ที่ทำให้ชูฮันตาพร่า
แต่แล้วบรรยากาศนั้นก็หายไปแทบทันทีเมื่อสายตาของชูฮันเปลี่ยนไป
”ให้ราชานักล่ามาพบฉัน”ชูฮันเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มที่ซางจิ่วตี้ไม่เข้าใจ ——————————–
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเหล่าตัวแทนต่างไม่ค่อยสบอารมณ์กันเท่าไหร่ตั้งแต่ที่ชูฮันเหมือนมีปัญหา เหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของค่ายเขี้ยวหมาป่าก็มักจะมาพบพวกเขา โดยเฉพาะหัวหน้าแผนกกระทรวงการต่างประเทศ อีกทั้งเหล่าเจ้าหน้าที่ที่มาพบพวกเขาเป็นประจำก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องที่พวกเขาบุกรุกเข้าไปในบ้านพักส่วนตัวของพลเอกชูฮันเลย
สถานการณ์มันดูนิ่งเกินไปและพอตอนที่เหล่าตัวแทนทุกคนพูดถึงประเด็นนี้และจุดประสงค์ของค่ายพวกเขาทีไรหัวหน้าแผนกกระทรวงการต่างประเทศของค่ายเขี้ยวหมาป่าก็มักจะโยงประเด็นเรื่องการบุกรุกเข้ามาเสมอและก็ทำท่าทีข่มขู่สลับประนีประนอมไปมา
ในตอนแรกมีตัวแทนหลายคนที่ทนไม่ได้และต้องการจะใช้เรื่องนี้เพื่อหาผลประโยชน์จากค่ายเขี้ยวหมาป่าแต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือพวกเขาถูกหัวหน้าแผนกกระทรวงการต่างประเทศขวางเอาไว้ก่อนและตัวพวกนั้นก็ไม่มีโอกาสได้เจอชูฮันอีกต่อไป
คนที่โชคดีที่สุดในนี้คือหลูชูซเวจากค่ายตวนเพราะในฐานะตัวแทนจากค่ายตวนซึ่งมีความสัมพันธุ์พิเศษ ติงซือเย้าซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกกระทรวงการต่างประเทศจึงมาเจรจาและดูแลเธอโดยตรง
ติงซือเย้าซึ่งเป็นคนที่ไม่เข้าใจวิธีหรือกลยุทธ์ในการสื่อสารใดๆทั้งนั้นที่จริงแล้วเขาถนัดการฆ่าแต่การต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าหลูชูซเวที่มีสายเฉียบแหลมเช่นนี้ทำให้ติงซือเย้านั้นต้องลำบากไม่น้อยเลย
ไม่เพียงแต่การเจรจาจะไม่ก้าวหน้าไปไหนแล้วแต่มันยังทำให้หลูชูซเวต้องปวดหัวไปอีกหลายวันด้วย
ดังนั้นการที่ไม่ได้เห็นชูฮันตลอดหลายวันที่ผ่านมาจึงไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยหรือผิดปกติสำหรับทุกคนแถมยังไม่มีใครติดใจสงสัยเรื่องที่ชูฮันอาจจะบาดเจ็บร้ายแรงอีกต่อไปแล้ว
ชูฮันจึงโล่งอกและรักษาตัวเองอยู่ในบ้านพักเขาได้ย้ายห้องทำงานมาไว้ในบ้านพักเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นพลเอกของค่ายเขี้ยวหมาป่า เขายังมีงานในมืออีกมากมายที่ต้องรับผิดชอบ รวมถึงการวางกำลังพลและแผนการรบของกองทัพอีก
นอกเหนือจากซางจิ่วตี้ไม่มีใครได้เข้าพบชูฮันแม้แต่เหอเฟิงก็ยังถูกสั่งห้าม
และในยามบ่ายของวันที่แดดจ้าวันหนึ่งซางจิ่วตี้วางเอกสารงานกิจการของค่ายเขี้ยวหมาป่าลง หยิบแอปเปิ้ลมาปอกและหั่นส่งให้ชูฮัน “คุณนอนอยู่บนเตียงมาหลายวันแล้ว ถึงแม้การบาดเจ็บร้ายแรงจะเป็นเรื่องหนึ่งแต่คุณจะฟังทุกอย่างจากฉันแค่คนเดียวไม่ได้ ฉันก็ไม่ได้รู้สถานการณ์ของกองทัพเขี้ยวหมาป่าดีมากเท่าไหร่ คุณควรยอมให้เหอเฟิงเข้าพบและรายงานโดยตรง สมมติว่าถ้ามันมีเรื่องสำคัญจริงๆล่ะ?”
”อืม?ก็จริง” ชูฮันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เอาแต่กินผลไม้ที่ซางจิ่วตี้ส่งมาให้เข้าปาก
”นี้คุณฟังอยู่รึเปล่า?”ซางจิ่วตี้รู้สึกหมดหนทาง อยากจะชกอัดให้ชูฮันจุกสักทีด้วยความหมั่นไส้
”ฟังสิเธอต้องการให้ฉันพูดคุยพวกโง่นั่น” ชูฮันยังคงอารมณ์บูดอยู่ เวลานี้ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว การที่ชูฮันเรียกเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเขี้ยวหมาป่าว่าพวกโง่ทำให้ซางจิ่วตี้สะอึกไปพักหนึ่ง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาแก้คำพูดหรือความเข้าใจกับชูฮัน “ถ้าคุณรู้อยู่แล้ว แล้วคุณยังจะหลบหน้าพวกเขาทำไม? มันมีหลายเรื่องที่จำเป็นต้องปรึกษาหารือกันอย่างถี่ถ้วน รู้มั้ยว่าทุกครั้งที่ฉันต้องผ่านข้อความและคำสั่งจากคุณไปให้แต่ละคน ฉันอับอายมากขนาดไหน ยังดีที่อย่างน้อยเหอเฟิงก็รู้สถานการณ์แท้จริงของคุณ ฉันถึงได้ไม่ต้องอับอายไปมากกว่านี้”
ตอนแรกซางจิ่วตี้ก็ตั้งใจจะไม่พูดอะไรแต่ตอนนี้เธอคิดว่าชูฮันกำลังใช้เธอเพื่อเหตุผลบางอย่าง
”ก็ฉันขี้เกียจจะเจอหน้าโง่ๆของพวกมัน”คำตอบของชูฮันทำให้ซางจิ่วตี้อึ้ง หน้าตาพิลึกพิลั่นอย่างทำหน้าไม่ถูก
”อะไรนะ?”
ซางจิ่วตี้หน้าแดงก่ำเพราะเลือดสูบฉีดด้วยความโมโหเธอนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะเป็นสีหน้าเป็นไม่พอใจออกมาชัดเจน “อธิบายให้ฉันเข้าใจที เรื่องของคุณกับค่ายหนานตู้และฉางกวนยวีซิน…คุณต้องการจะทำอะไร?”
ชูฮันรีบกุมมือซางจิ่วตี้ทันทีเขากุมแน่นอย่างต้องการให้ซางจิ่วตี้เชื่อมั่นในตัวเขา “คิดจะเปลี่ยนเรื่องเหรอ?”
ซางจิ่วตี้พลันหน้าขึ้นสีพูดอุบอิบเสียงแผ่วด้วยความเขินอาย “ไม่ใช่นะ”
ชูฮันยิ้มจางๆไม่คิดจะแกล้งแซวซางจิ่วตี้อีก แต่จู่ๆเขาก็หยิบเอกสารในมือของซางจิ่วตี้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา “หึ อันนี้ปล่อยให้พวกเขาทำได้เลย”
ซางจิ่วตี้ตะลึงจ้องไปที่เอกสารที่มีขนาดหนาพอสมควรซึ่งมีรายละเอียดโครงการแน่น และหัวข้อของเอกสารที่มีคำว่า ‘เจ้าหน้าที่’ ก็เตะตาอย่างมาก
”คุณวางแผนจะทำอะไร?”ซางจิ่วตี้ประหลาดใจในตอนแรกแต่แล้วก็เข้าใจ เพราะที่ผ่านมาตัวเธอไม่ได้เป็นคนวางแผนการเพื่อพัฒนาในอนาคตสำหรับแผนกต่างๆทั้งแผนกกฏระเบียบ แผนกหน่วยข่าวกรอง แผนกโลจิสติกส์และแผนกอื่นๆแีหมาหมาย มีแต่พระเจ้าที่รู้ว่าแผนการในอนาคตสำหรับแต่ละแผนกจะเป็นอย่างไร
แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างถูกปรับแต่งและกำหนดโดยชูฮันเพียงคนเดียว?!
ซางจิ่วตี้ไม่ลืมว่าครั้งก่อนชูฮันจากไปพร้อมกับแผนการที่เขาวางไว้สำหรับทุกแผนกล่วงหน้าเป็นเวลากว่าครึ่งปีโดยมอบหมายหน้าที่ควบคุมดูแลให้เธอมันมีลำดับคำสั่งและโครงการมากมายที่ชูฮันวางเอาไว้เพื่อให้ค่ายเขี้ยวหมาป่าเติบโตและพัฒนาต่อไปได้แม้จะไม่มีชูฮันอยู่ แถมการพัฒนาก็ยังรวดเร็วกว่าที่ทุกคนคาดอีกด้วย
และครั้งนี้ชูฮันวางแผนทั้งหมดนี้ขึ้นมาด้วยตัวคน?
ทั้งๆที่ยังอยู่ในสภาพบาดเจ็บและต้องพักฟื้น! นี้เขาเป็นบ้ารึเปล่า?!
ชูฮันไม่สนใจสีหน้าตกใจของซางจิ่วตี้ที่มองมาในความคิดเขานั้นเขาได้คิดทบทวนแผนการพวกนี้ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาอย่างดีแล้ว และครั้งนี้เขาใช้เวลาที่นอนว่างอยูไม่กี่วันกลั่นมันออกมา
การจะทำเช่นนี้ได้แม้แต่ตัวชูฮันเองยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยถึงระดับความฉลาดที่เขาสามารถไปถึงได้…สมองอัจฉริยะที่เขาได้รับมรดกมาจากพ่อแม่ซึ่งเป็นสมาชิกของMensa
ชูฮันก็ไม่รู้ว่าฮูเหมิงฮาวผู้ซึ่งอยากรู้ระดับIQ ของจะเป็นอย่างไรบ้างในเวลานี้…
ความคิดซับซ้อนตีกันไปมาอยู่ในหัวไม่นานชูฮันก็ขยับเนื้อตัวที่ตอนนี้เขารู้สึกว่าได้รับการฟื้นฟูแล้วประมาณ 70% เขาไม่คิดจะนอนนิ่งอยู่บนเตียงอีกต่อไป เขาก้าวลงจากเตียงและเริ่มเดินเพื่อขยับกระดูกกล้ามเนื้อให้เข้าที่
ซางจิ่วตี้ที่ยังคงตกใจอยู่กับข้อมูลจำนวนมากที่ได้รับและเมื่อยิ่งก้มลงมองเอกสารแผนการสำหรับทุกทีและการฝึกฝนสำหรับกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่ชูฮันคิดเอาไว้เรียบร้อย เธอก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว
นี้มัน…
การมีอำนาจครอบคลุมทั่วทั้งฟ้าชัดๆ!
สมองของชูฮันประกอบด้วยอะไรกัน?ซางจิ่วตี้มองชูฮันและก็คิดไม่คิดว่าคนคนหนึ่งจะฉลาดและเก่งกาจอย่างน่ากลัวขนาดนี้ได้อย่างไร
ชูฮันยืดตัวแอบลอบมองซางจิ่วตี้ที่อยู่ข้างหลัง แสงจากพระอาทิตย์ยามบ่ายส่องกระทบลงใบหน้าด้านข้าง บรรยากาศเงียบสงบขณะที่ลำแสงระยิบระยับประกายสีทอง ภาพตรงหน้าคือความงามอันบริสุทธิ์ที่ทำให้ชูฮันตาพร่า
แต่แล้วบรรยากาศนั้นก็หายไปแทบทันทีเมื่อสายตาของชูฮันเปลี่ยนไป
”ให้ราชานักล่ามาพบฉัน”ชูฮันเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเข้มที่ซางจิ่วตี้ไม่เข้าใจ ——————————–
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเหล่าตัวแทนต่างไม่ค่อยสบอารมณ์กันเท่าไหร่ตั้งแต่ที่ชูฮันเหมือนมีปัญหา เหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของค่ายเขี้ยวหมาป่าก็มักจะมาพบพวกเขา โดยเฉพาะหัวหน้าแผนกกระทรวงการต่างประเทศ อีกทั้งเหล่าเจ้าหน้าที่ที่มาพบพวกเขาเป็นประจำก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องที่พวกเขาบุกรุกเข้าไปในบ้านพักส่วนตัวของพลเอกชูฮันเลย
สถานการณ์มันดูนิ่งเกินไปและพอตอนที่เหล่าตัวแทนทุกคนพูดถึงประเด็นนี้และจุดประสงค์ของค่ายพวกเขาทีไรหัวหน้าแผนกกระทรวงการต่างประเทศของค่ายเขี้ยวหมาป่าก็มักจะโยงประเด็นเรื่องการบุกรุกเข้ามาเสมอและก็ทำท่าทีข่มขู่สลับประนีประนอมไปมา
ในตอนแรกมีตัวแทนหลายคนที่ทนไม่ได้และต้องการจะใช้เรื่องนี้เพื่อหาผลประโยชน์จากค่ายเขี้ยวหมาป่าแต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือพวกเขาถูกหัวหน้าแผนกกระทรวงการต่างประเทศขวางเอาไว้ก่อนและตัวพวกนั้นก็ไม่มีโอกาสได้เจอชูฮันอีกต่อไป
คนที่โชคดีที่สุดในนี้คือหลูชูซเวจากค่ายตวนเพราะในฐานะตัวแทนจากค่ายตวนซึ่งมีความสัมพันธุ์พิเศษ ติงซือเย้าซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกกระทรวงการต่างประเทศจึงมาเจรจาและดูแลเธอโดยตรง
ติงซือเย้าซึ่งเป็นคนที่ไม่เข้าใจวิธีหรือกลยุทธ์ในการสื่อสารใดๆทั้งนั้นที่จริงแล้วเขาถนัดการฆ่าแต่การต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าหลูชูซเวที่มีสายเฉียบแหลมเช่นนี้ทำให้ติงซือเย้านั้นต้องลำบากไม่น้อยเลย
ไม่เพียงแต่การเจรจาจะไม่ก้าวหน้าไปไหนแล้วแต่มันยังทำให้หลูชูซเวต้องปวดหัวไปอีกหลายวันด้วย