Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 1137 บันได
ตอนที่ 1137 บันได
ป่ายหวีเนอเองก็เห็นกระต่ายสีเทาเหมือนกันมันเป็นสิ่งมีชีวิตแรกในหุบเขาที่เธอได้เห็นตลอดห้าวันที่ผ่านมา ในช่วงเวลานี้ความสนใจทั้งหมดของเธอพุ่งไปที่กระต่ายสีเทาพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในหัวจนไม่ทันได้สังเกตว่าขณะนี้ชูฮันกำลังกุมมือเธอพาเดินตามหลังกระต่ายสีเทาอยู่
ทั้งสองเดินตามเจ้ากระต่ายสีเทาไปและได้เห็นภาพทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางที่แปลกตาไปจากเดิมอย่างน่าเหลือเชื่อพวกเขาเดินทางวนอยู่ในที่แห้งแล้งนี่ตั้งหลายวัน แต่ทันทีที่เดินมายังเส้นทางตามหลังเจ้ากระต่ายสีเทา…ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันกลายเป็นถนนที่มีภาพทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เส้นทางนี้ดูเหมือนจะเป็นถนนสายเก่าไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ในที่ของเผ่ามนุษย์ปลา ที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจำนวนมาก
ทุกระยะของทั้งสองฝั่งถนนจะมีเหล็กเก่าที่ถูกดัดเป็นตัวอักษรต่างๆที่ชูฮันไม่สามารถเข้าใจได้มันไม่ได้มีขนาดใหญ่มากอะไร
ถนนทอดตรงยาวไปข้างหน้าและเนื่องจากทั้งชูฮันและป่ายหวีเนอนั้นมีความรวดเร็วอย่างมากอยู่แล้ว ภาพที่เคยอยู่ไกลและเล็กนิดเดียวในสายตาจึงเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในเวลาแค่สั้นๆ จนกระทั่งทั้งคู่เดินทางมาถึงที่แห่งนี้และก็ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่ได้เจอ
ที่สุดทางเดินมันมีคฤหาสน์อยู่!
เต็มไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้งและแปลกตาแปลกใจที่ได้เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ปรากฏในที่แห่งนี้
ชูฮันก้าวเท้าไปข้างหน้าและหยุดอยู่ตรงทางเข้าสู่คฤหาสน์อยู่พักหนึ่งและก็ได้เห็นว่าที่ประตูทางเข้าสู่คฤหาสน์นั้นเป็นประตูหินสูงและที่มุมทั้งสองฝั่งมีรูปปั้นที่เป็นหน้าตาใครสักคนที่เขาไม่รู้จักและชูฮันก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็นว่ารองเท้าบู้ทของคนที่เป็นรูปปั้นนั้นเหมือนกับรองเท้าบู้ทของป่ายหวีเนอทุกอย่าง แถมคำที่สลักอยู่ก็เป็นตัวเดียว…ป่าย
แสดงว่าที่นี้คือที่อยู่เดิมของตระกูลป่าย!
ใหญ่โตมาก!
ชูฮันและป่ายหวีเนอเดินเคียงข้างกันเข้ามาถึงหน้าประตูทางเข้าของคฤหาสน์ซึ่งเป็นประตูหินสูงพร้อมกับความรู้สึกสงสัยและไม่เข้าใจชูฮันไม่สามารถหาคำตอบได้สักที…
ว่าทำไมเขาถึงสามารถเข้ามาในที่พักของตระกูลป่ายได้?
แสงสว่างจากคฤหาสน์นั้นสว่างจ้าจนแสบตาทำให้บางคนอาจจะไม่สามารถปรับระดับสายตาได้ ยากที่จะจินตนาการว่าภายในจะดูเป็นอย่างไร ประตูทางเข้านั้นสูงสามเมตร แม้ว่ามันจะดูเก่าเพราะกาลเวลาแต่จากรายละเอียดและภาพลักษณ์ทั้งหมดที่เห็นนั้นบ่งบอกได้ว่ามันมีราคาแพงมากแค่ไหน ในตอนนั้นตระกูลป่ายมีเงินมากขนาดนั้นเลยเหรอ?
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรูปแบบสถาปัตยกรรมหลังสมัยใหม่และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเคร่งขรึมที่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน!
ขณะนี้ด้านนอกของคฤหาสน์มีกลุ่มกระต่ายสีเทาวิ่งวนอยู่รอบๆ บางตัวก็วิ่งอยู่บนผืนหญ้า บางตัวก็หลบอยู่ตรงมุม บางตัวก็ซุกอยู่ในพุ่มไม้
ชูฮันได้เห็นความพิเศษของกระต่ายสีเทาพวกนี้ตั้งแต่ที่เขามาถึงที่นี้ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่อะไรมากนัก
แต่สำหรับป่ายหวีเนอนั้นเธอนั้นประหลาดไม่น้อยเลย เธอเดินก้าวไปใกล้ประตูทางเข้าของคฤหาสน์เพิ่มขึ้น หน้าตาคิ้วขมวดก่อนจะยื่นข้อมือขาวๆของเธอออกไปผลักประตูเบาๆ
ประตูยังคงปิดอยู่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มาให้ฉันทำเอง! ชูฮันพูดและก้าวเข้าไป เขายกเท้าขึ้นมาถีบใส่ประตูอย่างแรง!
มีเสียงดังสะเทือนดังขึ้นมากระต่ายสีเทาทั้งหลายตกใจกับเสียงดังจากประตู มันแสดงให้เห็นชัดถึงพละกำลังของชูฮัน ทว่าประตูยังคงปิดอยู่แถมมันยังทำให้ชูฮันรู้สึกเจ็บเท้าอีกด้วย
ป่ายหวีเนอชำเลืองมองชูฮันอย่างอึ้งๆก่อนจะพยายามกลั้นขำเอาไว้
ผู้ชายบ้าบิ่นคนนี้น่าสนใจไม่น้อย!
ชูฮันไม่ได้รับรู้อะไรเขาลูบปลายคางตัวเองไปมาอย่างกำลังใช้ความคิด ดูเหมือนว่าจะใช้แรงไม่มากพอ! ก่อนจะมานี้ เธอรู้ข้อมูลอะไรบ้าง?
ในเมื่อที่อาศัยเดิมของตระกูลป่ายโผล่ขึ้นมาแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เดินเข้าไปสำรวจดู
ป่ายหวีเนอส่ายหัวและอดไม่ได้ที่จะนิ่วหน้าชูฮันกระพริบตาปริบๆขณะยืนมองใบหน้าขาวๆของเธอที่อยู่ใกล้ๆ
อะแฮ่ม! หวังไคกระแอม ทำให้ชูฮันได้สติและรีบผละหน้าตัวเองออกมา จากนั้นก็พูดขึ้นเล่นๆอย่างไม่ได้คิดจริงจัง ลองหยดเลือดของเธอดูสิ?
ครั้งก่อนที่เขาสามารถลอบเข้าไปในเกาะส่วนตัวของป่ายหยูได้ก็ต้องขอบคุณเลือดของป่ายหวีเนอที่ติดอยู่ที่ผ้าเช็ดหน้ามันอาจจะดูเหลือเชื่อที่จะคิดแบบนั้นเพราะขณะนี้ต่อหน้าคือที่อยู่ของตระกูลป่ายเมื่อหลายพันปีก่อน แต่ป่ายหวีเนอมีเลือดของตระกูลป่ายอยู่เพียงครึ่งเดียว ดังนั้นการใช้เลือดเพื่อเปิดทางอาจจะไม่ได้ผล
แต่ในขณะที่ชูฮันกำลังทำการวิเคราะห์อยู่นั้นจู่ๆ————
ตึกกกกกตึก ตึก!
ประตูตรงหน้าค่อยๆทำการเปิดออกฝุ่นปลิวว่อนลอยขึ้นจากพื้น เสียงดังกรอกแกรกจากประตูฟังดูเหมือนกับประตูกำลังจะพัง เปิดแล้ว?!
ชูฮันตะลึงแต่แล้วพอเขาหันหน้าไปก็ได้เห็นว่าป่ายหวีเนอกำลังฉีกเศษผ้าจากชุดตัวเองเพื่อมาพันนิ้วที่มีเลือดไหลออกมา
ไปกัน ป่ายหวีเนอเอ่ยเสียงเย็น สายตาดุดันและเต็มไปด้วยอำนาจมองผ่านหน้าชูฮันและเดินนำผ่านประตูเข้าไป
มันเปิดแล้วจริงๆเหรอ? หวังไคก็ตกใจอย่างมาก เขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ซะอีก
ฉันแค่พูดลวกๆไม่คิดว่าจะได้ผลจริงๆ… ชูฮันเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง จากนั้นก็เดินตามหลังป่ายหวีเนอไป
พอเดินผ่านประตูทางเข้าเข้ามาและยังไม่ทันได้สำรวจอะไรเลยสิ่งแรกที่ชูฮันสัมผัสได้คือกลิ่นไม่พึงประสงค์บางอย่างที่ฉุนจัด คงมีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าที่แห่งนี้มันถูกปิดตายมานานขนาดไหน ข้างในมีเชื้อราที่ก่อตัวขึ้นมากขนาดไหนแล้วหรืออาจจะนานขนาดที่เห็ดขึ้นเป็นต้นแล้วก็ได้? พอเงยหน้าขึ้นมองก็เจอกับพื้นที่ขนาดใหญ่โตมีทางแยกออกไปทั้งซ้ายและขวา มีหลายชั้นและบันไดวนและที่สำคัญ มันไม่มีหน้าต่าง ทุกอย่างดำมืดและอับชื้นราวกับบ้านของแวมไพร์
ป่ายหวีเนอนิ่วหน้าแต่เธอไม่ได้มองสำรวจทุกอย่างรอบๆ เธอเพียงมองจ้องไปตรงๆและเงยหน้าขึ้นมองไปทางบันได มองไปที่ชั้นบนสุด
เพราะข้างในไม่มีแสงสว่างเลยมีเพียงแค่แสงจากประตูที่ทำให้มองพอเห็นด้านในเป็นลางๆเท่านั้น ชูฮันพอจะมองออกว่ามันมีบางอย่างห้อยอยู่ลงมาจากด้านบน แต่เพราะมันมืดเกินไปเขาจึงมองไม่ออกว่าสิ่งที่ว่านั้นจริงๆแล้วคืออะไร
ขึ้นไปดู? ชูฮันมองไปรอบๆและอยากจะรู้ว่าภายในคฤหาสน์กว้างใหญ่นี้จะมีกี่ชั้น และแต่ละชั้นจะมีอะไรบ้าง ทว่ามันก็ชัดเจนว่าป่ายหวีเนอนั้นสนใจเพียงแต่ชั้นบนสุดเท่านั้น
การเดินขึ้นบันไดนั้นคือพยายามพยายามของแต่ละบุคคลแม้ว่าชูฮันจะเป็นวิวัฒนาการระยะ 6 สูงสุด แต่การเดินขึ้นบันไดกลับทำให้เขาเหนื่อยจนหายใจไม่ทัน คนที่เป็นคนสร้างคฤหาสน์ตระกูลป่ายจะต้องเป็นคนไม่ปกติแน่ๆ…ใครกันจะอยู่ในบ้านที่เดินขึ้นลงสูงหลายชั้นมากขนาดไหน?
คนปกติสามารถเดินขึ้นลงได้ไหวเหรอ?
ขณะที่ชูฮันซึ่งเดินตามหลังนั้นเหนื่อยจนจุกอกแต่ทุกครั้งที่เขาเงยหน้าขึ้นมองก็จะได้เห็นป่ายหวีเนอที่เดินอย่างสบายๆและสง่างาม ราวกับว่าเดินอยู่บนทางเดินปกติ
ชูฮันที่พอเห็นภาพนั้นก็ต้องตะลึงทันใดนั้นในหัวก็ประมวลผลคำตอบในสิ่งที่สงสัยออกมาได้
ไม่แปลกใจที่ทำไมตระกูลป่ายถึงแข็งแกร่งกันนักก็แข็งแรงกันดีเหลือเกิน! ชูฮันพูดพึมพำกับตัวเองพร้อมยิ้มอย่างขมขื่น
คฤหาสน์นี่มันใหญ่โตเกินไปคงจะจุคนได้หลายหมื่นคนเลยด้วยซ้ำ ชูฮันวิเคราะห์ และบันไดนี่ก็ถูกสร้างมานานแล้ว บันได้ที่วนยาวรวมกันหลายร้อยเมตรและสูงจากพื้นขนาดนี้ มันไม่ใช่การก่อสร้างที่เกิดจากคนฝีมือในเวลาหลายพันปีก่อนจะทำได้ มันเป็นการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างผู้แข็งแกร่งและผู้ที่อ่อนแอ ว่ามีแต่คนที่แข็งแรงและทรงพลังเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นไปถึงชั้นบนสุดได้ ส่วนคนอื่นแม้ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่ไหวและก็คงไปไม่ถึง