Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 900 ถูกปล้นอำนาจไปต่อหน้าต่อตา
ช่วงข้ามคืนสถานการณ์ในค่ายหนานตู้ได้เปลี่ยนไปด้วยท่าทีแข็งกร้าวของฉางกวนยวีซิน ในตอนเช้าที่แสงจากพระอาทิตย์สาดส่องลงมา ค่ายหนานตู้ในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
จำนวนคนงานกลุ่มใหญ่ที่เคยหดหู่และร่วมกันประท้วงต่อต้านฉางกวนยวีซินได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เอาแต่คัดค้านทุกข้อเสนอและการกระทำของฉางกวนยวีซินก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนเป็นเงียบนิ่ง ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบ
ไม่รู้ว่าทำไมเกิดอะไรขึ้นกับฉางกวนยวีซินคืนก่อนและมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็มีการกระจายข่าวไปทั่วค่ายหนานตู้ถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ทำให้เหล่าชาวบ้านที่แม้จะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็รับรู้เรื่องราวกันหมด
และตอนที่เรื่องมันกระจายไปทั่วยามเช้าของวันใหม่ ค่ายหนานตู้ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้ง
ทว่าความวุ่นวายในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากกลุ่มกองกำลังที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดกลับกันมันเป็นความวุ่นวายที่เกิดจากการที่เหล่าชาวบ้านพากันออกมาส่งเสียงสนับสนุนฉางกวนยวีซิน เกือบแทบทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนและความมีอำนาจและการมองการณ์ไกลของเธอ ข่าวมันแพร่ไปทั่วค่ายหนานตู้จนหมดภายในเวลารวดเร็ว
ครั้งนี้ความสำเร็จของค่ายหนานตู้สามารถจัดการเพียงแค่ชั่วข้ามคืน!
ยามบ่ายฉางกวนหลงยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารที่สูงสุดในค่ายหนานตู้ เขามองไปที่กวนผิงซึ่งยืนประจำการอยู่ด้านล่างด้วยสายตาซับซ้อน ราวกับกำลังตรวจสอบคนที่มาสมัครงาน ฉางกวนหลงพิจารณาลักษณะท่าทาง จับสังเกตทุกการเคลื่อยไหวของกวนผิงไม่วางตา
วิธีการของชูฮันมันได้ผลเกินกว่าที่ฉางกวนหลงคาดไว้ไปไกลฉางกวนหลงไม่ได้เข้าร่วมเหตุการณ์เมื่อคืนเลย ผลพลอยที่เกิดขึ้นทุกอย่างนั้นเป็นผลมาจากการตัดสินและลงมือกระทำของฉางกวนยววีซินล้วนๆ กว่าจะฟ้าสาง คำสั่งการเด็ดขาด ทั้งสั่งฆ่า หรือขับไล่ออกจากค่ายหนานตู้ถูกฉางกวนยวีซินนำมาใช้ด้วยเหตุผลมากมาย
ทันใดนั้นฉางกวนหลงก็รู้สึกเหมือนว่าเขาไม่รู้จักลูกสาวคนนี้อีกแล้ว
เวลานี้ฉางกวนยวีซินกำลังยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนหน้าใหม่พร้อมกับไล่อ่านกฏระเบียบใหม่ที่เธอตั้งขึ้นมาสำหรับค่ายหนานตู้เธอแต่งตัวด้วยชุดเต็มยศที่ดูสง่าและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ฉางกวนยวีซินเงยหน้าขึ้นมองที่ด้านบนของอาคารที่สูงสุดในค่ายหนานตู้ สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิและศักดิ์ศรี
ค่ายหนานตู้แห่งนี้ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นค่ายของเธอเองจะกลายเป็นค่ายที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคตะวันออกของจีนและก็จะกลายเป็นพันธมิตรกับค่ายเขี้ยวหมาป่า ถ้าเธอต้องการจะแกร่งขึ้นเธอก็ต้องกุมอำนาจทั่วฟ้าเอาไว้ เมื่อเช่นนั้นแล้วเธอก็จะสามารถยืนเคียงข้างชูฮันได้
ฉางกวนหลงมองดูลูกสาวของเขาที่เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แบบและอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือตัวเองไปจับผมที่เปลี่ยนเปนสีขาวหงอก ก่อนจะทำเพียงแค่ส่ายหัวเงียบๆและเดินจากไป
เขาแก่แล้ว…ไม่สามารถเข้าใจโลกของคนหนุ่มสาวได้
คนที่เหลือในค่ายไม่ว่าจะเป็นค่ายจินหยางหรือซางจิงต่างตกใจอย่างมากเมื่อได้รับข่าว ไม่มีใครคิดว่าค่ายหนานตู้จะสามารถรอดพ้นจากกองทัพซอมบี้มหาศาลที่โจมตีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งมันได้บีบให้ค่ายหนานตู้ต้องเลือกผู้สืบทอดตำแหน่ง และกลายเป็นฉางกวนยวีซินที่เหนือความคาดคิดของทุกคน
นี้มันแตกต่างไปจากค่ายเขี้ยวหมาป่าที่มีซางจิ่วตี้ดูแลโดยสิ้นเชิงพื้นที่ของเมืองอันลูทั้งหมดอยู่ภายใต้ชื่อของชูฮัน ทั้งค่ายเขี้ยวหมาป่าและกองทัพเขี้ยวหมาป่า รวมถึงซางจิ่วตี้ที่รับหน้าที่ดูแลและพัฒนาค่ายเขี้ยวหมาป่าชั่วคราวแทนชูฮันตามคำสั่งเท่านั้น เพราะเมื่อเจอเหตุการณ์ใหญ่ๆหรือสำคัญทุกคนก็ยังรอถามและรอการตัดสินใจจากชูฮัน โดยเฉพาะกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่เชื่อฟังคำสั่งจากชูฮันโดยตรงเท่านั้น
แล้วฉางกวนยวีซินจะทำได้หรือ?
ในฐานะลูกสาวของผู้นำค่ายหนานตู้ที่ได้รับตำแหน่งขึ้นมาท่ามกลางสถานการณ์ย่ำแย่ของค่ายหนานตู้ได้สร้างความตกใจที่ควบคุมไม่ได้แก่ผู้คนอย่างมากรวมถึงเดิมทีค่ายหนานตู้ก็เป็นหนึ่งในสามค่ายที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งที่สุดของจีนด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจึงถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกคน
ในขณะที่ทุกคนมัวแต่ตกใจยกเว้นแค่ชูฮันและหน่วยข่าวกรองลับแห่งกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่เป็นคนเตรียมการแผนการทุกอย่างในค่ำคืนที่ผ่านโดยไม่มีใครรู้เลยว่าแท้จริงแล้วผู้นำของแผนการสมคบคิดในครั้งนี้แล้วก็คือชูฮันนั้นเอง
คนที่ครอบครองอำนาจที่แท้จริง!
——————
”ผู้สืบทอด?นี้มันไม่ใช่ค่ายเล็กๆนะ! ค่ายหนานตู้ยังไม่ได้เปลี่ยนผู้นำอย่างเป็นทางการเลย!” ภายในบ้านพัก จงไคที่กำลังเครียดและไม่พอใจอย่างมาก แม้จะพูดออกไปแบบนั้นแต่เขาก็รู้ดีว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาไม่มียอมด้อยกว่าผู้หญิงที่เคยทำอะไรมาก่อนแบบนี้เด็ดขาด
นายทหารรับใช้ในบ้านพักต่างหวาดกลัวต่ออารมณ์ฉุนเฉียวของจงไคทั้งนั้นหลังจากจงไคถูกจัดการจังๆจนอับอายในครั้งล่าสุด อารมณ์ของจงไคก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน กลายเป็นคนที่หงุดหงิดและเจ้าอารมณ์ตลอดเวลาอย่างไม่สามารถหยุดได้ และอาการมันรุนแรงและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
”แน่นอนว่า…”จงไคเงียบไปสามวินทีก่อนจะพลิกโต๊ะตรงหน้าตัวเองคว่ำ ท่าทางคลุ้มคลั่งราวกับวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง “ผู้หญิงธรรมดาจู่ๆจะได้อำนาจมากขนาดนี้มาง่ายๆได้ยังไง?! ในขนาดที่กูไม่มีอะไรเลย เสียขาไปสองข้าง ถูกตาแก่จงคุยนั้นทอดทิ้งไม่สนใจไยดี!”
ปึก!ปัก! โคร้ม! เพล้ง!
จงไคยังคงไม่หยุดอาละวาดเขี้ยงปาทำลายข้าวของในห้องระบายความโกรธในใจไม่หยุดจนทั้งบ้านพักแทบพัง
ตอนที่เจียงเหว่ยมาถึงและได้เห็นภาพนี้เจียงเหว่ยเดินก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่มีความกลัวใดๆ เขาเหลือบมองสภาพเละเทะในตัวบ้านพักเพียงแค่ชั่วแวบเดียว ก่อนจะส่งยิ้มไปให้เหล่าทหารที่มองมา “ท่านพลเอกจงไค โมโหอะไรงั้นเหรอครับ”
”โมโห?!”จงไคตาาแทบถลน นัยน์ตาแดงก่ำจ้องเจียงเหว่ยเขม็ง “กล้าดียังไงมาบอกว่าฉันโมโห? เวลาผ่านมาตั้งนาน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงอยู่ภายใต้การนำของจงคุย ทั้งๆที่ฉันพยายามอย่างหนักที่จะขึ้นไปถึงจุดสูงสุด แต่สุดท้ายแล้วฉันม่ได้อะไรเลยสักอย่าง! ในขณะที่ฉางกวนยวีซิน นังผู้หญิงโง่นั้นได้ทุกอย่างไป”
ทันทีที่จงไคพูดออกไปจู่ๆเขาก็ชะงักและมองเจียงเหว่ยนิ่ง “เมื่อกี้แกเรียกฉันว่าอะไรน่ะ?!”
เจียงเหว่ยยิ้มกว้าง”ท่านพลเอกจงไคครับ”
ในเวลาเดียวกันณ ห้องโถงประชุมของค่ายจินหยาง จงคุยกำลังตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยินจากนายทหารที่ซางจิงส่งตัวมา “คุณกำลังพูดเรื่องอะไร? พลเอกกอะไร?”
”ใช่ครับยินดีด้วยครับ ตอนนี้ค่ายของท่านเป็นค่ายเดียวในจีนที่มีพลเอกอยู่สองคน” นายทหารหนุ่มรายงานพร้อมยิ้มส่ง
”เดี๋ยวนะ”จงคุยไม่สามารถตามบทสนทนาได้ทัน “ใคร? ใครได้รับแต่งตั้งเป็นพลเอก?”
คิ้วของนายทหารหนุ่มกระตุกหากยังคงพยายามคุมอารมณ์และอธิบายให้จงคุยฟัง “แน่นอนครับว่าเป็นลูกชายของท่านจงคุย ซึ่งตอนนี้ก็คือท่านพลเอกจงไค ตอนนี้ผมจำเป็นต้องส่งมอบตราตำแหน่งให้กับท่านพลเอกจงไคด้วยตัวเองครับ”
จงคุยแทบจะล้มทั้งยืนหัวใจเกือบหยุดเต้นไปชั่วขณะ อารมณ์หลากหลายประดังประเดเข้ามาไม่หยุดจนพูดอะไรไม่ออก
จงไค?เป็นพลเอก?
จู่ๆก็ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร!
จงไคพิการขาทั้งสองข้างไม่ใช่เหรอไง?และมันก็ยังไม่มีการรักษาอะไรเลย ทำไมจู่ๆซางจิงถึงมอบตำแหน่งให้จงไคกระทันหันแบบนี้?
เป็นไปได้มั้ยว่า…
ทันใดนั้นแววตาของจงคุยก็เปลี่ยนไปความดุดันเปล่งประกายวาววับ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย…พลเอกสองคนในค่ายเดียวกัน นี้มันเพื่อเป็นการควบคุมอำนาจ ในอดีตค่ายจินหยางมีเสียงที่มีอำนาจสูงสุดเพียงเสียงเดียวคือตัวเขา และทุกคนก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา แต่แล้วจู่ๆตอนนี้สถานะของจงไคก็เลื่อนขึ้นเสมอกับเขา ในอนาคต หลายๆอย่างจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา เพราะมันจะต้องผ่านความเห็นชอบจากพลเอกทั้งสองคนพร้ออมกัน
เช่นนั้นแสดงว่า…สถานะ อำนาจและข้อได้เปรียบของเขาในค่ายจินหยางก็ถูกจงไคปล้นไปต่อหน้าต่อตาสินะ?
จำนวนคนงานกลุ่มใหญ่ที่เคยหดหู่และร่วมกันประท้วงต่อต้านฉางกวนยวีซินได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เอาแต่คัดค้านทุกข้อเสนอและการกระทำของฉางกวนยวีซินก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนเป็นเงียบนิ่ง ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบ
ไม่รู้ว่าทำไมเกิดอะไรขึ้นกับฉางกวนยวีซินคืนก่อนและมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่แล้วก็มีการกระจายข่าวไปทั่วค่ายหนานตู้ถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ทำให้เหล่าชาวบ้านที่แม้จะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็รับรู้เรื่องราวกันหมด
และตอนที่เรื่องมันกระจายไปทั่วยามเช้าของวันใหม่ ค่ายหนานตู้ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้ง
ทว่าความวุ่นวายในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากกลุ่มกองกำลังที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดกลับกันมันเป็นความวุ่นวายที่เกิดจากการที่เหล่าชาวบ้านพากันออกมาส่งเสียงสนับสนุนฉางกวนยวีซิน เกือบแทบทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนและความมีอำนาจและการมองการณ์ไกลของเธอ ข่าวมันแพร่ไปทั่วค่ายหนานตู้จนหมดภายในเวลารวดเร็ว
ครั้งนี้ความสำเร็จของค่ายหนานตู้สามารถจัดการเพียงแค่ชั่วข้ามคืน!
ยามบ่ายฉางกวนหลงยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารที่สูงสุดในค่ายหนานตู้ เขามองไปที่กวนผิงซึ่งยืนประจำการอยู่ด้านล่างด้วยสายตาซับซ้อน ราวกับกำลังตรวจสอบคนที่มาสมัครงาน ฉางกวนหลงพิจารณาลักษณะท่าทาง จับสังเกตทุกการเคลื่อยไหวของกวนผิงไม่วางตา
วิธีการของชูฮันมันได้ผลเกินกว่าที่ฉางกวนหลงคาดไว้ไปไกลฉางกวนหลงไม่ได้เข้าร่วมเหตุการณ์เมื่อคืนเลย ผลพลอยที่เกิดขึ้นทุกอย่างนั้นเป็นผลมาจากการตัดสินและลงมือกระทำของฉางกวนยววีซินล้วนๆ กว่าจะฟ้าสาง คำสั่งการเด็ดขาด ทั้งสั่งฆ่า หรือขับไล่ออกจากค่ายหนานตู้ถูกฉางกวนยวีซินนำมาใช้ด้วยเหตุผลมากมาย
ทันใดนั้นฉางกวนหลงก็รู้สึกเหมือนว่าเขาไม่รู้จักลูกสาวคนนี้อีกแล้ว
เวลานี้ฉางกวนยวีซินกำลังยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนหน้าใหม่พร้อมกับไล่อ่านกฏระเบียบใหม่ที่เธอตั้งขึ้นมาสำหรับค่ายหนานตู้เธอแต่งตัวด้วยชุดเต็มยศที่ดูสง่าและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ฉางกวนยวีซินเงยหน้าขึ้นมองที่ด้านบนของอาคารที่สูงสุดในค่ายหนานตู้ สีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิและศักดิ์ศรี
ค่ายหนานตู้แห่งนี้ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นค่ายของเธอเองจะกลายเป็นค่ายที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคตะวันออกของจีนและก็จะกลายเป็นพันธมิตรกับค่ายเขี้ยวหมาป่า ถ้าเธอต้องการจะแกร่งขึ้นเธอก็ต้องกุมอำนาจทั่วฟ้าเอาไว้ เมื่อเช่นนั้นแล้วเธอก็จะสามารถยืนเคียงข้างชูฮันได้
ฉางกวนหลงมองดูลูกสาวของเขาที่เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แบบและอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือตัวเองไปจับผมที่เปลี่ยนเปนสีขาวหงอก ก่อนจะทำเพียงแค่ส่ายหัวเงียบๆและเดินจากไป
เขาแก่แล้ว…ไม่สามารถเข้าใจโลกของคนหนุ่มสาวได้
คนที่เหลือในค่ายไม่ว่าจะเป็นค่ายจินหยางหรือซางจิงต่างตกใจอย่างมากเมื่อได้รับข่าว ไม่มีใครคิดว่าค่ายหนานตู้จะสามารถรอดพ้นจากกองทัพซอมบี้มหาศาลที่โจมตีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งมันได้บีบให้ค่ายหนานตู้ต้องเลือกผู้สืบทอดตำแหน่ง และกลายเป็นฉางกวนยวีซินที่เหนือความคาดคิดของทุกคน
นี้มันแตกต่างไปจากค่ายเขี้ยวหมาป่าที่มีซางจิ่วตี้ดูแลโดยสิ้นเชิงพื้นที่ของเมืองอันลูทั้งหมดอยู่ภายใต้ชื่อของชูฮัน ทั้งค่ายเขี้ยวหมาป่าและกองทัพเขี้ยวหมาป่า รวมถึงซางจิ่วตี้ที่รับหน้าที่ดูแลและพัฒนาค่ายเขี้ยวหมาป่าชั่วคราวแทนชูฮันตามคำสั่งเท่านั้น เพราะเมื่อเจอเหตุการณ์ใหญ่ๆหรือสำคัญทุกคนก็ยังรอถามและรอการตัดสินใจจากชูฮัน โดยเฉพาะกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่เชื่อฟังคำสั่งจากชูฮันโดยตรงเท่านั้น
แล้วฉางกวนยวีซินจะทำได้หรือ?
ในฐานะลูกสาวของผู้นำค่ายหนานตู้ที่ได้รับตำแหน่งขึ้นมาท่ามกลางสถานการณ์ย่ำแย่ของค่ายหนานตู้ได้สร้างความตกใจที่ควบคุมไม่ได้แก่ผู้คนอย่างมากรวมถึงเดิมทีค่ายหนานตู้ก็เป็นหนึ่งในสามค่ายที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งที่สุดของจีนด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจึงถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกคน
ในขณะที่ทุกคนมัวแต่ตกใจยกเว้นแค่ชูฮันและหน่วยข่าวกรองลับแห่งกองทัพเขี้ยวหมาป่าที่เป็นคนเตรียมการแผนการทุกอย่างในค่ำคืนที่ผ่านโดยไม่มีใครรู้เลยว่าแท้จริงแล้วผู้นำของแผนการสมคบคิดในครั้งนี้แล้วก็คือชูฮันนั้นเอง
คนที่ครอบครองอำนาจที่แท้จริง!
——————
”ผู้สืบทอด?นี้มันไม่ใช่ค่ายเล็กๆนะ! ค่ายหนานตู้ยังไม่ได้เปลี่ยนผู้นำอย่างเป็นทางการเลย!” ภายในบ้านพัก จงไคที่กำลังเครียดและไม่พอใจอย่างมาก แม้จะพูดออกไปแบบนั้นแต่เขาก็รู้ดีว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลย เขาไม่มียอมด้อยกว่าผู้หญิงที่เคยทำอะไรมาก่อนแบบนี้เด็ดขาด
นายทหารรับใช้ในบ้านพักต่างหวาดกลัวต่ออารมณ์ฉุนเฉียวของจงไคทั้งนั้นหลังจากจงไคถูกจัดการจังๆจนอับอายในครั้งล่าสุด อารมณ์ของจงไคก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน กลายเป็นคนที่หงุดหงิดและเจ้าอารมณ์ตลอดเวลาอย่างไม่สามารถหยุดได้ และอาการมันรุนแรงและชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
”แน่นอนว่า…”จงไคเงียบไปสามวินทีก่อนจะพลิกโต๊ะตรงหน้าตัวเองคว่ำ ท่าทางคลุ้มคลั่งราวกับวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง “ผู้หญิงธรรมดาจู่ๆจะได้อำนาจมากขนาดนี้มาง่ายๆได้ยังไง?! ในขนาดที่กูไม่มีอะไรเลย เสียขาไปสองข้าง ถูกตาแก่จงคุยนั้นทอดทิ้งไม่สนใจไยดี!”
ปึก!ปัก! โคร้ม! เพล้ง!
จงไคยังคงไม่หยุดอาละวาดเขี้ยงปาทำลายข้าวของในห้องระบายความโกรธในใจไม่หยุดจนทั้งบ้านพักแทบพัง
ตอนที่เจียงเหว่ยมาถึงและได้เห็นภาพนี้เจียงเหว่ยเดินก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่มีความกลัวใดๆ เขาเหลือบมองสภาพเละเทะในตัวบ้านพักเพียงแค่ชั่วแวบเดียว ก่อนจะส่งยิ้มไปให้เหล่าทหารที่มองมา “ท่านพลเอกจงไค โมโหอะไรงั้นเหรอครับ”
”โมโห?!”จงไคตาาแทบถลน นัยน์ตาแดงก่ำจ้องเจียงเหว่ยเขม็ง “กล้าดียังไงมาบอกว่าฉันโมโห? เวลาผ่านมาตั้งนาน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างยังคงอยู่ภายใต้การนำของจงคุย ทั้งๆที่ฉันพยายามอย่างหนักที่จะขึ้นไปถึงจุดสูงสุด แต่สุดท้ายแล้วฉันม่ได้อะไรเลยสักอย่าง! ในขณะที่ฉางกวนยวีซิน นังผู้หญิงโง่นั้นได้ทุกอย่างไป”
ทันทีที่จงไคพูดออกไปจู่ๆเขาก็ชะงักและมองเจียงเหว่ยนิ่ง “เมื่อกี้แกเรียกฉันว่าอะไรน่ะ?!”
เจียงเหว่ยยิ้มกว้าง”ท่านพลเอกจงไคครับ”
ในเวลาเดียวกันณ ห้องโถงประชุมของค่ายจินหยาง จงคุยกำลังตกใจกับเรื่องราวที่ได้ยินจากนายทหารที่ซางจิงส่งตัวมา “คุณกำลังพูดเรื่องอะไร? พลเอกกอะไร?”
”ใช่ครับยินดีด้วยครับ ตอนนี้ค่ายของท่านเป็นค่ายเดียวในจีนที่มีพลเอกอยู่สองคน” นายทหารหนุ่มรายงานพร้อมยิ้มส่ง
”เดี๋ยวนะ”จงคุยไม่สามารถตามบทสนทนาได้ทัน “ใคร? ใครได้รับแต่งตั้งเป็นพลเอก?”
คิ้วของนายทหารหนุ่มกระตุกหากยังคงพยายามคุมอารมณ์และอธิบายให้จงคุยฟัง “แน่นอนครับว่าเป็นลูกชายของท่านจงคุย ซึ่งตอนนี้ก็คือท่านพลเอกจงไค ตอนนี้ผมจำเป็นต้องส่งมอบตราตำแหน่งให้กับท่านพลเอกจงไคด้วยตัวเองครับ”
จงคุยแทบจะล้มทั้งยืนหัวใจเกือบหยุดเต้นไปชั่วขณะ อารมณ์หลากหลายประดังประเดเข้ามาไม่หยุดจนพูดอะไรไม่ออก
จงไค?เป็นพลเอก?
จู่ๆก็ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร!
จงไคพิการขาทั้งสองข้างไม่ใช่เหรอไง?และมันก็ยังไม่มีการรักษาอะไรเลย ทำไมจู่ๆซางจิงถึงมอบตำแหน่งให้จงไคกระทันหันแบบนี้?
เป็นไปได้มั้ยว่า…
ทันใดนั้นแววตาของจงคุยก็เปลี่ยนไปความดุดันเปล่งประกายวาววับ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย…พลเอกสองคนในค่ายเดียวกัน นี้มันเพื่อเป็นการควบคุมอำนาจ ในอดีตค่ายจินหยางมีเสียงที่มีอำนาจสูงสุดเพียงเสียงเดียวคือตัวเขา และทุกคนก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา แต่แล้วจู่ๆตอนนี้สถานะของจงไคก็เลื่อนขึ้นเสมอกับเขา ในอนาคต หลายๆอย่างจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา เพราะมันจะต้องผ่านความเห็นชอบจากพลเอกทั้งสองคนพร้ออมกัน
เช่นนั้นแสดงว่า…สถานะ อำนาจและข้อได้เปรียบของเขาในค่ายจินหยางก็ถูกจงไคปล้นไปต่อหน้าต่อตาสินะ?