Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 915 แบบนี้โอเคมั้ย?
ชูฮันพยายามระงับความโกรธเอาไว้”จำยังไง?”
”ฉันคิดว่าเรื่องนี้นายน่าจะช่วยฉันคิดได้”เกาช้าวฮุ่ยไม่กล้าสบตากับชูฮัน โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ชูฮันถือขวานซิ่วโหลอยู่ในมือ ตัวเขาไม่สามารถฆ่าชูฮันได้อย่างที่รู้กัน เวลาที่สู้กันเกาช้าวฮุ่ยทำได้แค่เพียงป้องกันตัวเองและคอยหาทางหลบหลีกเท่านั้น
ในตอนนี้เกาช้าวฮุ่ยกระตือรือร้นที่จะหามาตราการรับมือและชูฮันที่ไม่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆก็ติดต่อกับหวังไคในหัวทันที “หวังไค นายมีทางออกมั้ย?”
”ยังไม่มี”หวังไคตอบสั้นๆกระชับพร้อมกับน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเจ็บปวด “ฉันมีความสามารถแค่ 10% เท่านั้น แม้จะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนฉันก็ช่วยไม่ได้ ทำได้แค่ช่วยเชียร์เท่านั้น”
”มีแต่เพื่อนร่วมทีมมีประโยชน์ทั้งนั้น!”หน้าผากของชูฮันตึงเปรี๊ยะ ตอนนี้อารมณ์สบายๆเฉยๆได้สลายหายไปหมดแล้ว
ที่จริงตามที่วิธีการแรกที่เกาช้าวฮุ่ยกล่าวเอาไว้ การทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นนั้นก็น่าสนใจถ้าไม่ต้องคำนึงถึงการปรากฏตัวของป่ายยู มันล้วนเป็นภาคบังคับที่เกาช้าวฮุ่ยจะต้องแก้ไขด้วยตัวเอง แล้วชูฮันก็จะสามารถใช้โอกาสนั้นลอบหนีไปได้
เพราะชูฮันรู้ดีถึงพละกำลังของทั้งเขาและอีกฝ่ายในตอนนี้ตัวเขาเองยังไม่สามารถจะเผชิญหน้ากับคนจากตระกูลลึกลับได้ตรงๆ สำหรับเกาช้าวฮุ่ยนั้นแม้จะเป็นคนจากกตระกูลลึกลับก็จริงแต่ถือเป็นข้อยกเว้นพิเศษ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเกาช้าวฮุ่ยจะยังไม่สามารถพูดว่าเชื่อใจกันได้อย่างแท้จริง แต่เกาช้าวฮุ่ยก็ไม่จำเป็นจะต้องเสี่ยงตัวเองเจอกับปัญหามากมายเหล่านี้ถ้าอีกฝ่ายต้องการชีวิตของเขาจริงๆ
หรือทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์คือเพื่อกักตัวเขาเอาไว้ไม่ให้กลับไปที่ค่ายเขี้ยวหมาป่า? ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวชูฮันแต่แล้วเขาก็สลัดมันทิ้งไป ถ้าเกาช้าวฮุ่ยต้องการทำอย่างนั้นจริงๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องขโมยเฮลิคอปเตอร์และพาตัวมาติดกับที่แปลกๆแบบนี้กับเขา แม้เขาจะไม่ได้รู้จักเกาช้าวฮุ่ยดีอะไร แต่อีกฝ่ายฆ่าใครไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันคงไม่มีประโยชน์ที่จะมาพยายามทำให้ตัวเองติดกับอยู่แบบนี้
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ชูฮันก็ยิ่งไม่เข้าใจมากเท่านั้น สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงแค่กรีดร้องใส่เกาช้าวฮุ่ยยกใหญ่ “แม่งเอ๊ย! เมื่อไหร่จะคิดได้สักที!”
”คิดได้ครึ่งหนึ่งแล้ว”เกาช้าวฮุ่ยแทบจะเขื่อนน้ำตาแตก หนึ่งในสาเหตุเป็นเพราะถูกชูฮันซึ่งไม่ใช่คนในตระกูลลึกลับด้วยซ้ำตะคอกใส่ เขารู้สึกเสียหน้าและอับอาย อีกข้อเป็นเพราะว่าตัวเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
สุดท้ายเกาช้าวฮุ่ยก็ได้แต่พยายามอดกลั้นอารมณ์ตัวเองเอาไว้ “ที่นี้เป็นฐานลับของป่ายยู นั่นไง ใช่เลย มีแค่เขาคนเดียวที่จะเข้าไปได้ และเท่าที่ฉันรู้สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และปลอดภัยที่สุดในการจดจำของระบบเพื่อยืนยันตัวตนคือเลือด”
”เจาะจงกว่านี้”ชูฮันเอ่ยเสียงเย็น ทันใดนั้นความคิดบ้าคลั่งอย่งหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเขา
”เลือด…”เกาช้าวฮุ่ยไม่สามารถเดาได้เลยว่าชูฮันกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงพูดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกไป “เลือดมันค่อนข้างฟังดูสยอง แต่ที่จริงแล้วมันคือ DNA มันยืนยันตัวตนที่ได้ดีซะยิ่งกว่าลายนิ้วมือซะอีก ถึงอย่างนั้นลายนิ้วอาจจะเลือนหายหรือเปลี่ยนไปได้! ในอีกทางหนึ่งก็คือ ถ้านายอยากจะหยุดมัน ฉันเกรงว่านายจะต้องใช้เลือดของป่ายยูหรือไขกระดูก”
ยิ่งพูดเสียงของเกาช้าวฮุ่ยก็ยิ่งแผ่วลงเรื่อยๆเพราะเขาเริ่มสังเกตเห็นถึงอารมณ์ของชูฮันที่ค่อยๆปะทุขึ้น
ต้องใช้เลือดหรือไขกระดูกของป่ายยูแห่งตระกูลลึกลับป่าย?
ล้อเล่นรึไง!ใครมันจะไปเอาของแบบนั้นมาได้?! เกาช้าวฮุ่ยที่ไม่ได้ทันคิดถึงจุดนี้เหมือนชูฮันแต่แล้วชจู่ๆชูฮันก็ยกมือขึ้นมาลูบปลายคาง ก่อนจะถามคำถามแปลกๆที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา “เฮ้ ตระกูลลึกลับของนาย คนในตระกูลแต่งกันเอง ถ้าอย่างนั้นพวกนั้นก็น่าจะเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดทั้งหมดสิ? ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะใช้เลือดด้วยกันได้?”
คำถามของชูฮันไม่ได้ปกปิดแต่มันกลับค่อยๆเผยลักษณะของตระกูลลึกลับออกมา แม้ว่าเกาช้าวฮุ่ยจะไม่เคยบอกอะไรเกี่ยวกับตระกูลลึกลับก็ตาม แต่สถานการณ์ในตอนนี้ชูฮันไม่สามารถแสร้งว่าไม่รู้ต่อไปได้อีก
ในเมื่อเป็นตระกูลเดียวกันทั้งหมดถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีสายเลือดเดียวกัน!
เกาช้าวฮุ่ยมองชูฮันเงียบๆด้วยสายตาที่แปลกไป”มันไม่ใช่ประเด็น มันไม่ใช่อย่างนั้น ฉันเป็นคนจากตระกูลเกา เลือดในร่างที่ไหลเวียนอยู่มีความเกี่ยวข้องเพียงน้อยนิดเท่านั้น ป่ายยูเป็นคนตระกูลป่าย เพราะงั้น…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แววตาของเกาช้าวฮุ่ยก็แปลกไปก่อนจะพูดขึ้น “ไม่มีทางเป็นไปได้!”
ตระกูลป่ายนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการเก็บรักษาเลือดบริสุทธิ์โดยการให้พี่น้องในตระกูลดองกันเอง และมันก็ไม่ใช่ความลับอะไร ทุกตระกูลลึกลับต่างรู้เรื่องนี้ดี นอกจากตระกูลป่าย ตระกูลอื่นๆก็ไม่สามารถสืบเชื้อสายบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริงและทอดทิ้งมันไป ส่วนตระกูลเกาเองก็สืบทอดธรรมเนียมเดียวกับตระกูลป่ายเช่นกัน
”แล้วคำถามนี้มันเกี่ยวยังไง?”เกาช้าวฮุ่นมองชูฮันด้วยแววตาสงสัยและแคลงใจ
ความทรงจำเกี่ยวกับตระกูลลึกลับไหลกลับเข้ามาในหัวคำสาปที่ทำงานหลังจากเกิดการปะทุของโลกาวินาศ การสืบทายาทของทุกตระกูลหยุดชะงักพร้อมกัน ไม่มีใครสามารถสืบทายาทได้เลย แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็พยายามกลบฝังเรื่องนี้ไว้ในอดีตและพยายามสุดขีดที่จะเอ่ยถึงมัน เพราะมันคือความอับอายที่สุดของตระกูลลึกลับ ชูฮันไม่รู้ว่าเกาช้าวฮุ่ยกำลังเป็นกังวลเรื่องนี้และตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้ซึ้งถึงเรื่องราวที่แท้จริงภายในตระกูลลึกลับ แต่แล้วจู่ๆชูฮันก็นึกถึงของบางอย่างที่ครั้งหนึ่งเลาเสี่ยวเสียวเคยให้เขามา ของที่ถูกเก็บไว้ในประตูมิติมาเกือบจะหนึ่งปีเเต็ม มันเป็นของที่มีหน้าตาประหลาดและยังดูสดใหม่อยู่
คำบรรยายอาจจะดูแปลกประหลาดยิ่งเฉพาะคำว่าสดใหม่ ทว่าชูฮันนึกคำบรรยายอื่นไม่ออกเลย
ด้วยสีหน้าแปลกๆของเกาช้าวฮุ่ยที่มองมาชูฮันแสร้งทำเป็นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ทั้งที่ที่จริงแล้วเขาล้วงมือเข้าไปในประตูมิติอย่างช้าๆและค่อนข้างเกร็ง เขาพยายามค่อยๆควานหาของที่ว่าออกและดึงออกมา
ของที่ว่าคือชิ้นผ้าสีขาวส่วนตรงกลางนั้นมีสีแดงสด ราวกับเมล็ดทับทิมที่อยู่ท่ามกลางหิมะ
เกาช้าวฮุ่ยพยายามเพ่งมองของในมือชูฮันพยายามคิดว่ามันจะเป็นของพิเศษอะไรที่มีจุดสีแดงตรงกลาง แล้วมีลักษณะเหมือนจะเป็นชิ้นผ้า?
ไม่!
ทันใดนั้นแววตาของเกาช้าวฮุ่ยก็หดวูบ มองภาพตรงนั้นนิ่งค้าง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดจางๆมาจากชิ้นผ้าในมือของชูฮัน!
เลือด!
ของใคร?
นี้มันคืออะไรกัน?
อารมณ์เดือดดาลพุ่งออกมาจากอกเกาช้าวฮุ่ยความร้อนพุ่งขึ้นหน้าจนเกือบคุมตัวเองไม่อยู่!
ชูฮันไม่อธิบายอะไรทั้งนั้นเขาไม่ได้อยากจะใช้ชิ้นผ้านี่ แต่ตอนที่เขาอยู่ที่เมืองตง หลังจากคืนที่สงครามจบลง ในตอนนั้นป่ายหวีเนอและซางจิ่วตี้ที่มีอาการแปลกๆและพอเช้ามาทุกคนก็เข้าใจผิด!
คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ทุกคนต่างเอาไปพูดและเข้าใจผิดกันไป เลาเสี่ยวเสียวจึงตัดคราบที่เลอะผ้าปูที่นอนที่ทุกคนเข้าใจผิดมาให้เขาและบอกว่าสิ่งนี้จะมีค่าสำหรับการระลึกถึง และในตอนนี้เศษผ้าในมือของชูฮันผืนนี้ก็เป็นเลือดของป่ายหวีเนอ
��
”ฉันคิดว่าเรื่องนี้นายน่าจะช่วยฉันคิดได้”เกาช้าวฮุ่ยไม่กล้าสบตากับชูฮัน โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ชูฮันถือขวานซิ่วโหลอยู่ในมือ ตัวเขาไม่สามารถฆ่าชูฮันได้อย่างที่รู้กัน เวลาที่สู้กันเกาช้าวฮุ่ยทำได้แค่เพียงป้องกันตัวเองและคอยหาทางหลบหลีกเท่านั้น
ในตอนนี้เกาช้าวฮุ่ยกระตือรือร้นที่จะหามาตราการรับมือและชูฮันที่ไม่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆก็ติดต่อกับหวังไคในหัวทันที “หวังไค นายมีทางออกมั้ย?”
”ยังไม่มี”หวังไคตอบสั้นๆกระชับพร้อมกับน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเจ็บปวด “ฉันมีความสามารถแค่ 10% เท่านั้น แม้จะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนฉันก็ช่วยไม่ได้ ทำได้แค่ช่วยเชียร์เท่านั้น”
”มีแต่เพื่อนร่วมทีมมีประโยชน์ทั้งนั้น!”หน้าผากของชูฮันตึงเปรี๊ยะ ตอนนี้อารมณ์สบายๆเฉยๆได้สลายหายไปหมดแล้ว
ที่จริงตามที่วิธีการแรกที่เกาช้าวฮุ่ยกล่าวเอาไว้ การทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นนั้นก็น่าสนใจถ้าไม่ต้องคำนึงถึงการปรากฏตัวของป่ายยู มันล้วนเป็นภาคบังคับที่เกาช้าวฮุ่ยจะต้องแก้ไขด้วยตัวเอง แล้วชูฮันก็จะสามารถใช้โอกาสนั้นลอบหนีไปได้
เพราะชูฮันรู้ดีถึงพละกำลังของทั้งเขาและอีกฝ่ายในตอนนี้ตัวเขาเองยังไม่สามารถจะเผชิญหน้ากับคนจากตระกูลลึกลับได้ตรงๆ สำหรับเกาช้าวฮุ่ยนั้นแม้จะเป็นคนจากกตระกูลลึกลับก็จริงแต่ถือเป็นข้อยกเว้นพิเศษ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเกาช้าวฮุ่ยจะยังไม่สามารถพูดว่าเชื่อใจกันได้อย่างแท้จริง แต่เกาช้าวฮุ่ยก็ไม่จำเป็นจะต้องเสี่ยงตัวเองเจอกับปัญหามากมายเหล่านี้ถ้าอีกฝ่ายต้องการชีวิตของเขาจริงๆ
หรือทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์คือเพื่อกักตัวเขาเอาไว้ไม่ให้กลับไปที่ค่ายเขี้ยวหมาป่า? ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวชูฮันแต่แล้วเขาก็สลัดมันทิ้งไป ถ้าเกาช้าวฮุ่ยต้องการทำอย่างนั้นจริงๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องขโมยเฮลิคอปเตอร์และพาตัวมาติดกับที่แปลกๆแบบนี้กับเขา แม้เขาจะไม่ได้รู้จักเกาช้าวฮุ่ยดีอะไร แต่อีกฝ่ายฆ่าใครไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันคงไม่มีประโยชน์ที่จะมาพยายามทำให้ตัวเองติดกับอยู่แบบนี้
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ชูฮันก็ยิ่งไม่เข้าใจมากเท่านั้น สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงแค่กรีดร้องใส่เกาช้าวฮุ่ยยกใหญ่ “แม่งเอ๊ย! เมื่อไหร่จะคิดได้สักที!”
”คิดได้ครึ่งหนึ่งแล้ว”เกาช้าวฮุ่ยแทบจะเขื่อนน้ำตาแตก หนึ่งในสาเหตุเป็นเพราะถูกชูฮันซึ่งไม่ใช่คนในตระกูลลึกลับด้วยซ้ำตะคอกใส่ เขารู้สึกเสียหน้าและอับอาย อีกข้อเป็นเพราะว่าตัวเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
สุดท้ายเกาช้าวฮุ่ยก็ได้แต่พยายามอดกลั้นอารมณ์ตัวเองเอาไว้ “ที่นี้เป็นฐานลับของป่ายยู นั่นไง ใช่เลย มีแค่เขาคนเดียวที่จะเข้าไปได้ และเท่าที่ฉันรู้สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และปลอดภัยที่สุดในการจดจำของระบบเพื่อยืนยันตัวตนคือเลือด”
”เจาะจงกว่านี้”ชูฮันเอ่ยเสียงเย็น ทันใดนั้นความคิดบ้าคลั่งอย่งหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจเขา
”เลือด…”เกาช้าวฮุ่ยไม่สามารถเดาได้เลยว่าชูฮันกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงพูดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกไป “เลือดมันค่อนข้างฟังดูสยอง แต่ที่จริงแล้วมันคือ DNA มันยืนยันตัวตนที่ได้ดีซะยิ่งกว่าลายนิ้วมือซะอีก ถึงอย่างนั้นลายนิ้วอาจจะเลือนหายหรือเปลี่ยนไปได้! ในอีกทางหนึ่งก็คือ ถ้านายอยากจะหยุดมัน ฉันเกรงว่านายจะต้องใช้เลือดของป่ายยูหรือไขกระดูก”
ยิ่งพูดเสียงของเกาช้าวฮุ่ยก็ยิ่งแผ่วลงเรื่อยๆเพราะเขาเริ่มสังเกตเห็นถึงอารมณ์ของชูฮันที่ค่อยๆปะทุขึ้น
ต้องใช้เลือดหรือไขกระดูกของป่ายยูแห่งตระกูลลึกลับป่าย?
ล้อเล่นรึไง!ใครมันจะไปเอาของแบบนั้นมาได้?! เกาช้าวฮุ่ยที่ไม่ได้ทันคิดถึงจุดนี้เหมือนชูฮันแต่แล้วชจู่ๆชูฮันก็ยกมือขึ้นมาลูบปลายคาง ก่อนจะถามคำถามแปลกๆที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา “เฮ้ ตระกูลลึกลับของนาย คนในตระกูลแต่งกันเอง ถ้าอย่างนั้นพวกนั้นก็น่าจะเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดทั้งหมดสิ? ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะใช้เลือดด้วยกันได้?”
คำถามของชูฮันไม่ได้ปกปิดแต่มันกลับค่อยๆเผยลักษณะของตระกูลลึกลับออกมา แม้ว่าเกาช้าวฮุ่ยจะไม่เคยบอกอะไรเกี่ยวกับตระกูลลึกลับก็ตาม แต่สถานการณ์ในตอนนี้ชูฮันไม่สามารถแสร้งว่าไม่รู้ต่อไปได้อีก
ในเมื่อเป็นตระกูลเดียวกันทั้งหมดถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีสายเลือดเดียวกัน!
เกาช้าวฮุ่ยมองชูฮันเงียบๆด้วยสายตาที่แปลกไป”มันไม่ใช่ประเด็น มันไม่ใช่อย่างนั้น ฉันเป็นคนจากตระกูลเกา เลือดในร่างที่ไหลเวียนอยู่มีความเกี่ยวข้องเพียงน้อยนิดเท่านั้น ป่ายยูเป็นคนตระกูลป่าย เพราะงั้น…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แววตาของเกาช้าวฮุ่ยก็แปลกไปก่อนจะพูดขึ้น “ไม่มีทางเป็นไปได้!”
ตระกูลป่ายนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการเก็บรักษาเลือดบริสุทธิ์โดยการให้พี่น้องในตระกูลดองกันเอง และมันก็ไม่ใช่ความลับอะไร ทุกตระกูลลึกลับต่างรู้เรื่องนี้ดี นอกจากตระกูลป่าย ตระกูลอื่นๆก็ไม่สามารถสืบเชื้อสายบริสุทธิ์ได้อย่างแท้จริงและทอดทิ้งมันไป ส่วนตระกูลเกาเองก็สืบทอดธรรมเนียมเดียวกับตระกูลป่ายเช่นกัน
”แล้วคำถามนี้มันเกี่ยวยังไง?”เกาช้าวฮุ่นมองชูฮันด้วยแววตาสงสัยและแคลงใจ
ความทรงจำเกี่ยวกับตระกูลลึกลับไหลกลับเข้ามาในหัวคำสาปที่ทำงานหลังจากเกิดการปะทุของโลกาวินาศ การสืบทายาทของทุกตระกูลหยุดชะงักพร้อมกัน ไม่มีใครสามารถสืบทายาทได้เลย แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็พยายามกลบฝังเรื่องนี้ไว้ในอดีตและพยายามสุดขีดที่จะเอ่ยถึงมัน เพราะมันคือความอับอายที่สุดของตระกูลลึกลับ ชูฮันไม่รู้ว่าเกาช้าวฮุ่ยกำลังเป็นกังวลเรื่องนี้และตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้ซึ้งถึงเรื่องราวที่แท้จริงภายในตระกูลลึกลับ แต่แล้วจู่ๆชูฮันก็นึกถึงของบางอย่างที่ครั้งหนึ่งเลาเสี่ยวเสียวเคยให้เขามา ของที่ถูกเก็บไว้ในประตูมิติมาเกือบจะหนึ่งปีเเต็ม มันเป็นของที่มีหน้าตาประหลาดและยังดูสดใหม่อยู่
คำบรรยายอาจจะดูแปลกประหลาดยิ่งเฉพาะคำว่าสดใหม่ ทว่าชูฮันนึกคำบรรยายอื่นไม่ออกเลย
ด้วยสีหน้าแปลกๆของเกาช้าวฮุ่ยที่มองมาชูฮันแสร้งทำเป็นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ทั้งที่ที่จริงแล้วเขาล้วงมือเข้าไปในประตูมิติอย่างช้าๆและค่อนข้างเกร็ง เขาพยายามค่อยๆควานหาของที่ว่าออกและดึงออกมา
ของที่ว่าคือชิ้นผ้าสีขาวส่วนตรงกลางนั้นมีสีแดงสด ราวกับเมล็ดทับทิมที่อยู่ท่ามกลางหิมะ
เกาช้าวฮุ่ยพยายามเพ่งมองของในมือชูฮันพยายามคิดว่ามันจะเป็นของพิเศษอะไรที่มีจุดสีแดงตรงกลาง แล้วมีลักษณะเหมือนจะเป็นชิ้นผ้า?
ไม่!
ทันใดนั้นแววตาของเกาช้าวฮุ่ยก็หดวูบ มองภาพตรงนั้นนิ่งค้าง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดจางๆมาจากชิ้นผ้าในมือของชูฮัน!
เลือด!
ของใคร?
นี้มันคืออะไรกัน?
อารมณ์เดือดดาลพุ่งออกมาจากอกเกาช้าวฮุ่ยความร้อนพุ่งขึ้นหน้าจนเกือบคุมตัวเองไม่อยู่!
ชูฮันไม่อธิบายอะไรทั้งนั้นเขาไม่ได้อยากจะใช้ชิ้นผ้านี่ แต่ตอนที่เขาอยู่ที่เมืองตง หลังจากคืนที่สงครามจบลง ในตอนนั้นป่ายหวีเนอและซางจิ่วตี้ที่มีอาการแปลกๆและพอเช้ามาทุกคนก็เข้าใจผิด!
คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ทุกคนต่างเอาไปพูดและเข้าใจผิดกันไป เลาเสี่ยวเสียวจึงตัดคราบที่เลอะผ้าปูที่นอนที่ทุกคนเข้าใจผิดมาให้เขาและบอกว่าสิ่งนี้จะมีค่าสำหรับการระลึกถึง และในตอนนี้เศษผ้าในมือของชูฮันผืนนี้ก็เป็นเลือดของป่ายหวีเนอ
��