Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย - ตอนที่ 958 จัดการผู้สมรู้ร่วมคิด
”กลับมา?”เฉินช่าวเย่มีสีหน้าพอใจ “ไม่เป็นไรถ้ายังไงหัวหน้าก็กลับมา ใช่มั้ย? แล้วมันนานเท่าไหร่?”
”หนึ่งอาทิตย์”คนที่ตอบคำถามไม่ใช่เกาช้าวฮุ่ยแต่เป็นเหอเฟิงที่ยืนจ้องแผนกลยุทธ์ในการฝึกทหารใหม่ตรงหน้าไม่ขยับ สีหน้าดุดันน่ากลัวราวกับสามารถฆ่าใครก็ได้ตอนนี้เลย
เขามัวแต่เสียเวลาหาคำตอบอยู่นานว่าทำไมชูฮันต้องเสียเวลาหนึ่งอาทิตย์ทิ้งไปกับการฝึกทหารใหม่แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าเหตุผลที่แท้จริงคือชูฮันต้องการใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ในการทำอย่างอื่นต่างหาก
ใช่…แต่มันสำหรับอะไรล่ะ?
ความรู้สึกประหลาดๆแผ่กระจายไปทั่วหัวใจของทุกคนในเต้นท์ทุกคนที่เคยคิดว่าชูฮันมาที่นี้เพื่อช่วยพวกเขาทำสงครามต่างไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีตอนนี้? ทั้งไหนจะเรื่องฝึกฝนทหารเกณฑ์ใหม่ 3,000 คนอีก…นี้หัวหน้าวางแผนไปไกลถึงขนาดไหน?
”โอ๊ะไม่ต้องเป็นกังวลไป!” เกาช้าวฮุ่ยที่เห็นสีหน้าไม่ดีของทุกคนก็รีบยิ้มกว้าง “ชูฮันต้องปลอดภัย เขาวางแผนทุกอย่างไว้สมบูรณ์แบบ”
”นายมันไม่รู้อะไรสักอย่าง”ซูเฟิงยิ้มเยาะใส่เกาช้าวฮุ่ย
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้เหอเฟิงตกใจอย่างมากเขาหันไปมองซูเฟิงอย่างอึ้งๆ ชูฮันสามารถพูดจาแบบนั้นกับเกาช้าวฮุ่ยได้เพราะชูฮันไม่ใช่คนธรรมดา และก็ไม่รู้ด้วยว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร…แต่สำหรับคนอื่นที่พึ่งเจอเกาช้าวฮุ่ยเป็นครั้งแรกและไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริง สถานการณ์มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซูเฟิงไม่ได้รับรู้เรื่องราวการมีตัวตนของตระกูลลึกลับบนโลกนี้เพราะฉะนั้นเมื่อพูดจบเขาก็ต้องการจะออกไปจากเต้นท์ทันทีหลังจากเจอเรื่องปวดหัวมามากพอแล้ว “ฉันจะไปเตรียมความพร้อมของทั้ง 4 ทีม ไม่รวมกุ้งเสือดำที่ไม่อยู่ ฉันจะเตรียมให้ทั้ง 4 ทีมคอยตั้งรับเพื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน”
ไม่รู้ว่าเกาช้าวฮุ่ยโกรธหรือต้องการหัวเราะเยาะใส่หน้าซูเฟิงเพื่อเป็นการเอาคืนกันแน่แต่ประโยคต่อมาของเกาช้าวฮุ่ยสามารถทำให้ซูเฟิงชะงักได้อย่างจัง “อ้อใช่! ลืมบอกไป ชูฮันพาทีมความลับของพระเจ้าไปด้วยนะ”
”กึก!”ซูเฟิงที่กำลังจะเดินออกไปชะงักขาทันที เขาหันมาถามด้วยน้ำเสียงตึงเครียดทันที “เขาเองทีมความลับของพระเจ้าไปด้วย?”
”อืมมมม”เกาช้าวฮุ่ยยิ้มตอบอย่างยียวน เชิดหน้าขึ้นอย่างเหนือกว่า
”ไม่ใช่ปัญหา”เหอเฟิงรีบเข้ามาขัดบทสนทนาระหว่างทั้งสองทันที เขากลัวสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากไปนี้ เกาช้าวฮุ่ยอาจจะทำลายค่ายตั้งรบจนพังพินาศหมดได้ ดังนั้นเหอเฟิงจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “มันเปล่าประโยชน์ที่จะมาพูดกันตอนนี้ ในเมื่อเรารู้ว่าชูฮันจะไปหนึ่งอาทิตย์ พวกเราก็ทำได้แค่ทำตามแผนของเขา เรื่องที่สำคัญที่สุดคือเราต้องช่วยกันแสดงให้ทุกคนเชื่อว่าชูฮันยังอยู่ที่ค่าย เรามาปรึกษากันดีกว่า ทุกคนคาดว่าพวกซอมบี้จะปรากฏตัวขึ้นอีกทีเมื่อไหร่”
การฝึกหนึ่งอาทติย์สำหรับเหล่าทหารใหม่นั้นเป็นงานง่ายๆแม้กระนั้นชูฮันก็ทิ้งไพ่ลับเอาไว้เผื่อทุกคนในกรณีฉุกเฉิน…นั่นก็คือ เกาช้าวฮุ่ยที่มีระดับพลังการต่อสู้สูงลิ่ว
ทว่าไพ่ลับนี้อาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ได้เกาช้าวฮุ่ยอาจจะไม่ได้แสดงฝีมือเลย เพราะความหมายขอวการจากไปของชูฮันนั้นไม่ใช่แค่การเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของเหอเฟิงเท่านั้น แต่มันยังเป็นการบอกว่าชูฮันเชื่อมั่นในทหารของกองทัพเขี้ยวหมาป่าทุกคนว่าสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง
โชคยังดีที่คนพวกนี้ไม่รู้รายละเอียดเจาะลึกของแผนการชูฮันทั้งหมดไม่อย่างนั้นคงเป็นลมกันเป็นแถว ————–
บนเฮลิคอปเตอร์5 ลำที่มีตราสัญลักษณ์ของค่ายจินหยางติดอยู่ตรงลำตัวเครื่อง ชูฮันนั่งอยู่ในท่าทีแสนจะสบาย สวมใสาเสื้อผ้าธรรมดาๆ เขานั่งหันหน้าชนกับเหมิงชีเหว่ยและทหารวิวัฒนาการระดับสูงในทีมความลับของพระเจ้าเหล่า
ทุกคนในที่นี้ที่ติดตามชูฮันมาในตอนแรกพวกเขาไม่มีใครรู้เลยว่าจะถูกชูฮันพาไปไหนและไปทำอะไร ตอนนี้หลายคนจึงยังอยู่ในสภาวะตกใจไม่หาย
จู่ๆชูฮันก็พาพวกเขาออกมาจากที่ตั้งค่ายรบ?
มุ่งหน้าไปค่ายจินหยาง?
แล้วชูฮันพูดว่าอะไรน่ะ?
ไปทำลายค่ายจินหยาง!
อึก!อึก!
เหมิงชีเหว่ยกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอพยายามต่อสู้กับแรงกดดันมหาศาลและพูดขึ้น “หะ-หัวหน้า จะไปกับพวกเราด้วยเหรอครับ?”
ชูฮันพยักหน้ารับ”ถ้าฉันไม่ไป พวกนายรู้วิธีทำลายค่ายจินหยางเองเหรอ?”
เหมิงชีเหว่ยส่ายหน้ารัวๆ”แล้วกองทัพเขี้ยวหมาป่าละครับ?”
ชูฮันเหลือบตามองสบตากับเหมิงชีเหว่ยเล็กน้อย”นายประเมิณกองทัพเขี้ยวหมาป่าต่ำเกินไป ถึงจะไม่มีฉันพวกเขาก็สามารถเผชิญและรับมือกับกองทัพซอมบี้ได้ ดูอย่างที่ผ่านมาสิ ฉันติดอยู่ที่หนานตู้ตั้งนาน แต่ทุกคนก็วางกลยุทธ์และสู้มาจนถึงตอนนี้ได้ จัดการซอมบี้ไปได้ตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ทุกคนอาจจะเป็นกังวลและกลัวพอเห็นว่าฉันไม่อยู่ แต่ที่จริงแล้วระดับการต่อสู้ของทุกคนอยู่ในจุดที่พุ่งสูงสุดเลยต่างหากพอไม่มีฉัน”
ไม่ใช่แค่ระดับการต่อสู้ที่พุ่งสูงสุดซึ่งทำให้เขาภูมิใจและวางใจแม้เกาช้าวฮุ่ยจะเชื่องช้าและดูโง่ไปหน่อย แต่ชูฮันเชื่อมั่นในไพ่ลับที่เขาทิ้งไว้ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่เขาไม่อยู่
การกำจัดค่ายจินหยางเป็นเรื่องที่จำเป็นและตอนนี้มันคือโอกาสที่จะหาไม่ได้อีกแล้วเป็นอีกร้อยปี คนอื่นอาจจะไม่รู้แต่ชูฮันที่เคยใช้ชีวิตในชาติที่แล้วมาสิบปีรู้ดีถึงเบื้องหลังของค่ายจินหยางและตระกูลป่าย เวลานี้ค่ายจินหยางมีพลเอกสองคนอยู่ในค่าย ซึ่งมันจะทำให้เกิดความกังขาแก่ตระกูลป่ายที่คอยหนุนหลังจงคุยอยู่
”ว้าว”เหมิงชีเหว่ยที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ไม่รู้จะพูดอะไรต่อกับประเด็นนี้ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อ “แล้วเราจะทำอะไรกับจินหยางครับ?”
”รอฟังคำสั่งจากฉัน”ชูฮันตอบปัดก่อนจะเผยรอยยิ้มปีศาจออกมา “เราไม่มีเวลาเตรียมตัวแล้ว ทันทีที่เราไปถึงเราต้องรีบลงมือทันที ตรวจเช็คว่าอุปกรณ์เครื่องมือทุกอย่างพร้อมดีแล้ว”
”ครับ”เหมิงชีเหว่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทุกอย่างเรียบร้อยครับ เมื่อเราไปถึงจะมีคนจากหน่วยข่าวกรองลับรอสนับสนุนอยู่ครับ ขณะนี้ภายในของค่ายจินหยางเกิดจลาจลขึ้นครับ ทั้งสองพ่อลูกต่างแย่งชิงอำนาจกัน ตอนที่พวกเราไปถึงคงไม่มีใครทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำครับ”
”ดีทำดีมาก!” ชูฮันสบตากับเหมิงชีเหว่ยอย่างชื่นชม “รายงานทุกเหตุการณ์ภายในค่ายจินหยางมา ห้ามปิดบังข้อมูลใดๆทั้งนั้น ครั้งนี้เราจะสู้ในสงครามที่มีผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย!”
”ครับหัวหน้า!”
———————–
ค่ายจินหยางในตอนนี้เป็นช่วงเวลาย่ำแย่ทั้งค่ายดูเหมือนถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกหนาทึบขนาดใหญ่ ผู้คนไม่กล้าออกมาที่ถนน ชาวบ้านที่ยังมีกำลังแรงพอก็เริ่มเก็บข้าวของเพื่ออพยพหนีไปอยู่ค่ายอื่นแทน คนที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนแก่และเด็กที่ไม่สามารถเดินทางได้ หรือบางคนที่ทำมาค้าขายอยู่ในค่ายจินหยางก็ไม่กล้าจะทิ้งกิจการของตัวเองไป คนกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่คือพวกผู้ลี้ภัย หากทุกคนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในที่พักของตัวเอง ไม่กล้าออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอก
มันยังไม่มีการแบ่งแยกดินแดนชัดเจนภายในตัวค่ายจินหยางทว่าสิ่งที่ชัดเจนคือการแบ่งอำนาจพื้นที่ของทั้งสองฝั่ง แต่ละคนจะถือครองอำนาจครึ่งหนึ่งของตัวค่าย
และภายใต้บรรยากาศที่น่าตึงเครียดบนถนนร้างเส้นหนึ่งมีร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีลูกค้าเลย ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีดำคลุมสนิททั้งตัวจู่ๆก็เดินเข้ามาและตะโกนเสียงดัง “เถ้าแก่! เอาข้าวมาจานนึง!”
”มาแล้วๆ!”เถาแก่เจ้าของร้านตาโตและรีบวิ่งกุลีกุจอไปหาข้าวมาให้ชายในชุดสีดำทั้งตัวทันที มันชัดเจนว่าท่ามกลางบรรยากาศภายในค่ายจินหยางตอนนี้ คนที่จะกล้าเดินเข้ามาสั่งอาหารกินแบบนี้ได้จะต้องเป็นคนมีอำนาจในค่ายซางจิงอย่างแน่นอน
ขณะที่เถ้าแก่เจ้าของร้านกำลังจะรีบไปหาอาหารมาเสิร์ฟก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามาพร้อมกลุ่มคนเดินตามหลังเข้ามาจนนั่งเต็มทั้งร้าน ชายหนุ่มที่มาใหม่เอ่ยขึ้นสั่งเสียงดังด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “เหมาทั้งร้าน!”
”หนึ่งอาทิตย์”คนที่ตอบคำถามไม่ใช่เกาช้าวฮุ่ยแต่เป็นเหอเฟิงที่ยืนจ้องแผนกลยุทธ์ในการฝึกทหารใหม่ตรงหน้าไม่ขยับ สีหน้าดุดันน่ากลัวราวกับสามารถฆ่าใครก็ได้ตอนนี้เลย
เขามัวแต่เสียเวลาหาคำตอบอยู่นานว่าทำไมชูฮันต้องเสียเวลาหนึ่งอาทิตย์ทิ้งไปกับการฝึกทหารใหม่แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าเหตุผลที่แท้จริงคือชูฮันต้องการใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ในการทำอย่างอื่นต่างหาก
ใช่…แต่มันสำหรับอะไรล่ะ?
ความรู้สึกประหลาดๆแผ่กระจายไปทั่วหัวใจของทุกคนในเต้นท์ทุกคนที่เคยคิดว่าชูฮันมาที่นี้เพื่อช่วยพวกเขาทำสงครามต่างไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีตอนนี้? ทั้งไหนจะเรื่องฝึกฝนทหารเกณฑ์ใหม่ 3,000 คนอีก…นี้หัวหน้าวางแผนไปไกลถึงขนาดไหน?
”โอ๊ะไม่ต้องเป็นกังวลไป!” เกาช้าวฮุ่ยที่เห็นสีหน้าไม่ดีของทุกคนก็รีบยิ้มกว้าง “ชูฮันต้องปลอดภัย เขาวางแผนทุกอย่างไว้สมบูรณ์แบบ”
”นายมันไม่รู้อะไรสักอย่าง”ซูเฟิงยิ้มเยาะใส่เกาช้าวฮุ่ย
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้เหอเฟิงตกใจอย่างมากเขาหันไปมองซูเฟิงอย่างอึ้งๆ ชูฮันสามารถพูดจาแบบนั้นกับเกาช้าวฮุ่ยได้เพราะชูฮันไม่ใช่คนธรรมดา และก็ไม่รู้ด้วยว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร…แต่สำหรับคนอื่นที่พึ่งเจอเกาช้าวฮุ่ยเป็นครั้งแรกและไม่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริง สถานการณ์มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซูเฟิงไม่ได้รับรู้เรื่องราวการมีตัวตนของตระกูลลึกลับบนโลกนี้เพราะฉะนั้นเมื่อพูดจบเขาก็ต้องการจะออกไปจากเต้นท์ทันทีหลังจากเจอเรื่องปวดหัวมามากพอแล้ว “ฉันจะไปเตรียมความพร้อมของทั้ง 4 ทีม ไม่รวมกุ้งเสือดำที่ไม่อยู่ ฉันจะเตรียมให้ทั้ง 4 ทีมคอยตั้งรับเพื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน”
ไม่รู้ว่าเกาช้าวฮุ่ยโกรธหรือต้องการหัวเราะเยาะใส่หน้าซูเฟิงเพื่อเป็นการเอาคืนกันแน่แต่ประโยคต่อมาของเกาช้าวฮุ่ยสามารถทำให้ซูเฟิงชะงักได้อย่างจัง “อ้อใช่! ลืมบอกไป ชูฮันพาทีมความลับของพระเจ้าไปด้วยนะ”
”กึก!”ซูเฟิงที่กำลังจะเดินออกไปชะงักขาทันที เขาหันมาถามด้วยน้ำเสียงตึงเครียดทันที “เขาเองทีมความลับของพระเจ้าไปด้วย?”
”อืมมมม”เกาช้าวฮุ่ยยิ้มตอบอย่างยียวน เชิดหน้าขึ้นอย่างเหนือกว่า
”ไม่ใช่ปัญหา”เหอเฟิงรีบเข้ามาขัดบทสนทนาระหว่างทั้งสองทันที เขากลัวสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากไปนี้ เกาช้าวฮุ่ยอาจจะทำลายค่ายตั้งรบจนพังพินาศหมดได้ ดังนั้นเหอเฟิงจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “มันเปล่าประโยชน์ที่จะมาพูดกันตอนนี้ ในเมื่อเรารู้ว่าชูฮันจะไปหนึ่งอาทิตย์ พวกเราก็ทำได้แค่ทำตามแผนของเขา เรื่องที่สำคัญที่สุดคือเราต้องช่วยกันแสดงให้ทุกคนเชื่อว่าชูฮันยังอยู่ที่ค่าย เรามาปรึกษากันดีกว่า ทุกคนคาดว่าพวกซอมบี้จะปรากฏตัวขึ้นอีกทีเมื่อไหร่”
การฝึกหนึ่งอาทติย์สำหรับเหล่าทหารใหม่นั้นเป็นงานง่ายๆแม้กระนั้นชูฮันก็ทิ้งไพ่ลับเอาไว้เผื่อทุกคนในกรณีฉุกเฉิน…นั่นก็คือ เกาช้าวฮุ่ยที่มีระดับพลังการต่อสู้สูงลิ่ว
ทว่าไพ่ลับนี้อาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ได้เกาช้าวฮุ่ยอาจจะไม่ได้แสดงฝีมือเลย เพราะความหมายขอวการจากไปของชูฮันนั้นไม่ใช่แค่การเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของเหอเฟิงเท่านั้น แต่มันยังเป็นการบอกว่าชูฮันเชื่อมั่นในทหารของกองทัพเขี้ยวหมาป่าทุกคนว่าสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง
โชคยังดีที่คนพวกนี้ไม่รู้รายละเอียดเจาะลึกของแผนการชูฮันทั้งหมดไม่อย่างนั้นคงเป็นลมกันเป็นแถว ————–
บนเฮลิคอปเตอร์5 ลำที่มีตราสัญลักษณ์ของค่ายจินหยางติดอยู่ตรงลำตัวเครื่อง ชูฮันนั่งอยู่ในท่าทีแสนจะสบาย สวมใสาเสื้อผ้าธรรมดาๆ เขานั่งหันหน้าชนกับเหมิงชีเหว่ยและทหารวิวัฒนาการระดับสูงในทีมความลับของพระเจ้าเหล่า
ทุกคนในที่นี้ที่ติดตามชูฮันมาในตอนแรกพวกเขาไม่มีใครรู้เลยว่าจะถูกชูฮันพาไปไหนและไปทำอะไร ตอนนี้หลายคนจึงยังอยู่ในสภาวะตกใจไม่หาย
จู่ๆชูฮันก็พาพวกเขาออกมาจากที่ตั้งค่ายรบ?
มุ่งหน้าไปค่ายจินหยาง?
แล้วชูฮันพูดว่าอะไรน่ะ?
ไปทำลายค่ายจินหยาง!
อึก!อึก!
เหมิงชีเหว่ยกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอพยายามต่อสู้กับแรงกดดันมหาศาลและพูดขึ้น “หะ-หัวหน้า จะไปกับพวกเราด้วยเหรอครับ?”
ชูฮันพยักหน้ารับ”ถ้าฉันไม่ไป พวกนายรู้วิธีทำลายค่ายจินหยางเองเหรอ?”
เหมิงชีเหว่ยส่ายหน้ารัวๆ”แล้วกองทัพเขี้ยวหมาป่าละครับ?”
ชูฮันเหลือบตามองสบตากับเหมิงชีเหว่ยเล็กน้อย”นายประเมิณกองทัพเขี้ยวหมาป่าต่ำเกินไป ถึงจะไม่มีฉันพวกเขาก็สามารถเผชิญและรับมือกับกองทัพซอมบี้ได้ ดูอย่างที่ผ่านมาสิ ฉันติดอยู่ที่หนานตู้ตั้งนาน แต่ทุกคนก็วางกลยุทธ์และสู้มาจนถึงตอนนี้ได้ จัดการซอมบี้ไปได้ตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ทุกคนอาจจะเป็นกังวลและกลัวพอเห็นว่าฉันไม่อยู่ แต่ที่จริงแล้วระดับการต่อสู้ของทุกคนอยู่ในจุดที่พุ่งสูงสุดเลยต่างหากพอไม่มีฉัน”
ไม่ใช่แค่ระดับการต่อสู้ที่พุ่งสูงสุดซึ่งทำให้เขาภูมิใจและวางใจแม้เกาช้าวฮุ่ยจะเชื่องช้าและดูโง่ไปหน่อย แต่ชูฮันเชื่อมั่นในไพ่ลับที่เขาทิ้งไว้ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่เขาไม่อยู่
การกำจัดค่ายจินหยางเป็นเรื่องที่จำเป็นและตอนนี้มันคือโอกาสที่จะหาไม่ได้อีกแล้วเป็นอีกร้อยปี คนอื่นอาจจะไม่รู้แต่ชูฮันที่เคยใช้ชีวิตในชาติที่แล้วมาสิบปีรู้ดีถึงเบื้องหลังของค่ายจินหยางและตระกูลป่าย เวลานี้ค่ายจินหยางมีพลเอกสองคนอยู่ในค่าย ซึ่งมันจะทำให้เกิดความกังขาแก่ตระกูลป่ายที่คอยหนุนหลังจงคุยอยู่
”ว้าว”เหมิงชีเหว่ยที่ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ไม่รู้จะพูดอะไรต่อกับประเด็นนี้ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อ “แล้วเราจะทำอะไรกับจินหยางครับ?”
”รอฟังคำสั่งจากฉัน”ชูฮันตอบปัดก่อนจะเผยรอยยิ้มปีศาจออกมา “เราไม่มีเวลาเตรียมตัวแล้ว ทันทีที่เราไปถึงเราต้องรีบลงมือทันที ตรวจเช็คว่าอุปกรณ์เครื่องมือทุกอย่างพร้อมดีแล้ว”
”ครับ”เหมิงชีเหว่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทุกอย่างเรียบร้อยครับ เมื่อเราไปถึงจะมีคนจากหน่วยข่าวกรองลับรอสนับสนุนอยู่ครับ ขณะนี้ภายในของค่ายจินหยางเกิดจลาจลขึ้นครับ ทั้งสองพ่อลูกต่างแย่งชิงอำนาจกัน ตอนที่พวกเราไปถึงคงไม่มีใครทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำครับ”
”ดีทำดีมาก!” ชูฮันสบตากับเหมิงชีเหว่ยอย่างชื่นชม “รายงานทุกเหตุการณ์ภายในค่ายจินหยางมา ห้ามปิดบังข้อมูลใดๆทั้งนั้น ครั้งนี้เราจะสู้ในสงครามที่มีผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย!”
”ครับหัวหน้า!”
———————–
ค่ายจินหยางในตอนนี้เป็นช่วงเวลาย่ำแย่ทั้งค่ายดูเหมือนถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกหนาทึบขนาดใหญ่ ผู้คนไม่กล้าออกมาที่ถนน ชาวบ้านที่ยังมีกำลังแรงพอก็เริ่มเก็บข้าวของเพื่ออพยพหนีไปอยู่ค่ายอื่นแทน คนที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนแก่และเด็กที่ไม่สามารถเดินทางได้ หรือบางคนที่ทำมาค้าขายอยู่ในค่ายจินหยางก็ไม่กล้าจะทิ้งกิจการของตัวเองไป คนกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่คือพวกผู้ลี้ภัย หากทุกคนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในที่พักของตัวเอง ไม่กล้าออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอก
มันยังไม่มีการแบ่งแยกดินแดนชัดเจนภายในตัวค่ายจินหยางทว่าสิ่งที่ชัดเจนคือการแบ่งอำนาจพื้นที่ของทั้งสองฝั่ง แต่ละคนจะถือครองอำนาจครึ่งหนึ่งของตัวค่าย
และภายใต้บรรยากาศที่น่าตึงเครียดบนถนนร้างเส้นหนึ่งมีร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีลูกค้าเลย ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสีดำคลุมสนิททั้งตัวจู่ๆก็เดินเข้ามาและตะโกนเสียงดัง “เถ้าแก่! เอาข้าวมาจานนึง!”
”มาแล้วๆ!”เถาแก่เจ้าของร้านตาโตและรีบวิ่งกุลีกุจอไปหาข้าวมาให้ชายในชุดสีดำทั้งตัวทันที มันชัดเจนว่าท่ามกลางบรรยากาศภายในค่ายจินหยางตอนนี้ คนที่จะกล้าเดินเข้ามาสั่งอาหารกินแบบนี้ได้จะต้องเป็นคนมีอำนาจในค่ายซางจิงอย่างแน่นอน
ขณะที่เถ้าแก่เจ้าของร้านกำลังจะรีบไปหาอาหารมาเสิร์ฟก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามาพร้อมกลุ่มคนเดินตามหลังเข้ามาจนนั่งเต็มทั้งร้าน ชายหนุ่มที่มาใหม่เอ่ยขึ้นสั่งเสียงดังด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “เหมาทั้งร้าน!”